ยิ่งเธออ่านคำตอบของโจวเว่ยชิงจากทางด้านหลัง ความรู้สึกประหลาดใจของหมิงฮัวก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น จากคำตอบของเขาเธอสามารถบอกได้อย่างง่ายดายว่าเขาไม่มีความรู้ทางการทหารเลย อันที่จริงคนพาลคนนี้น่าจะไม่ได้ผ่านการเรียนเรื่องนี้อย่างเป็นทางการด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม คำตอบที่ดูกล้าหาญและน่าประหลาดใจของเขาก็สดใหม่และให้มุมมองที่แตกต่างออกไป ไม่ได้ยึดถือตามขนบธรรมเนียมคร่ำครึแบบเดิมๆ ของกองทัพ เมื่อมองแวบแรกอาจดูเหมือนคำตอบไร้สาระ แต่ถ้าลองคิดดูให้ดีๆ แล้ว คำตอบของเขาก็ยอดเยี่ยมอย่างน่าประหลาดใจ แม้จะดีในแบบที่หยาบช้าไปเสียหน่อยก็ตาม
เจ้าคนพาลนี่เป็นอัจฉริยะที่รอบรู้จริงๆ หรือนี่! หมิงฮัวถอนหายใจ แม้ว่าเธอจะยังคงรู้สึกเกลียดชังเจ้าคนไร้ยางอายที่เคยเอาเปรียบเธอคนนี้ แต่เธอก็ต้องยอมรับว่าตนรู้สึกชื่นชมเด็กคนนี้มากเพราะพรสวรรค์และความสำเร็จของเขา เพราะอย่างไรเขาก็ยังเด็กกว่าเธอมาก!
โดยธรรมชาติแล้วโจวเหว่ยชิงย่อมรู้ว่าหมิงฮัวยืนอยู่ข้างๆ เขา แต่เขาก็ไม่ได้สนใจอะไรอีกฝ่ายมากนัก อย่างมากเขาก็แค่ต้องไปทำความสะอาดห้องน้ำ และแม้ว่ามันอาจจะเป็นเรื่องน่าอับอายเล็กน้อย ทว่าเมื่อเทียบกับโชคดีที่ทำให้เขารอดพ้นจากอันตรายเมื่อคืนที่ผ่านมาได้ เขาก็ตัดสินใจว่าต่อจากนี้จะไม่สนใจอะไรอีกแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะหญิงสาวชุดขาวที่ชื่อว่าเทียนเอ๋อร์ บางทีเขาอาจจะต้องตกเป็นทาสรับใช้ของนิกายปีศาจสวรรค์ไปแล้วก็ได้
เวลายังผ่านไปไม่ถึงครึ่งเช้าดี อ้วนน้อยโจวก็ทำข้อสอบเสร็จเรียบร้อยทั้งๆ ที่มีหมิงฮัวยืนกำกับอยู่ข้างๆ ตลอดเวลา แน่นอนว่าคนที่ต้องทนทุกข์ทรมานที่สุดไม่ใช่โจวเหว่ยชิง เพราะตำแหน่งที่เธอยืนอยู่คือตรงกลางที่มีโจวเหว่ยชิงอยู่ทางซ้ายและหม่าฉุนอยู่ทางขวา ภายใต้สถานการณ์ปกติ หม่าฉุนอาจมีความสุขมากที่มีอาจารย์ผู้งดงามเช่นนี้มายืนอยู่ข้างๆ เขา แต่นี่เป็นช่วงสอบนะเฟ้ย! ความรู้เรื่องทหารของเขาไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่าโจวเหว่ยชิง และการที่หมิงฮัวยืนอยู่ข้างๆ ทำให้เขาไม่สามารถแม้แต่จะหันไปลอกคนอื่นได้ไม่ว่าเขาจะต้องการมากแค่ไหนก็ตาม เมื่อเป็นเช่นนี้ สีหน้าของเขาจึงขมขื่นราวกับกินมะระเข้าไป เขากัดปากกาในมือหลายครั้งจนบนนั้นมีแต่รอยฟันเต็มไปหมด
“อาจารย์ ข้าทำข้อสอบเสร็จแล้ว ข้าส่งก่อนเวลาได้ไหม?” โจวเหว่ยชิงวางกระดาษในมือลง หายใจเข้าลึกขณะพิงเก้าอี้อย่างผ่อนคลาย เขาไม่รู้ว่าตนจะต้องทำความสะอาดห้องน้ำหรือไม่ แต่เขามีความสุขมากในการตอบคำถามพวกนี้และเขียนไปตามความรู้สึกของตน…การได้ทำเช่นนั้นราวกับเป็นการผ่อนคลายอย่างแท้จริง
“ไม่” เมื่อได้ยินคำพูดของโจวเหว่ยชิง หมิงฮัวก็ฟื้นสติขึ้นมาได้ เมื่อมองไปที่กระดาษของโจวเหว่ยชิง เธอก็ต้องแอบกลั้นหัวเราะอีกครั้ง ไม่ต้องพูดถึงคำตอบของเขา แม้แต่การเขียนด้วยลายมือที่น่าเกลียดของเขาก็ทำให้เธออยากจะหัวเราะออกมาแล้ว “นักเรียนโจวเหว่ยชิง อาจารย์คนก่อนของเจ้าไม่ได้สอนให้เจ้าตรวจสอบคำตอบของเจ้าหลังจากทำเสร็จเพื่อคิดทบทวนสิ่งที่เขียนหรือ? ไม่ว่าเจ้าจะเป็นนักเรียนหรือเป็นทหารในอนาคต เจ้าก็ควรจริงจังกับสิ่งที่ทำอยู่เสมอ ทัศนคติเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง นี่คือสิ่งที่เราพยายามปลูกฝังให้กับนักเรียนทุกคนในโรงเรียนทหารโรงเรียนอาณาจักรเฟยหลี่แห่งนี้ ในฐานะผู้มีความสามารถทางทหาร หากเจ้าประมาทและละเลยในรายละเอียดต่างๆ เจ้าอาจทำให้เกิดหายนะได้!”
โจวเหว่ยชิงกลอกตา แน่นอนว่าดอกไม้แห่งยมโลกย่อมไม่ปล่อยโอกาสที่จะโจมตีเขาให้หลุดลอยไป! เธอมองไม่ออกหรือว่าคำตอบของเขาเป็นเพียงคำพูดเรื่อยเปื่อยของเขาเอง? เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคำตอบที่ถูกต้องคืออะไร?! อย่างไรก็ตาม เธอเป็นอาจารย์ของเขาและเขาเพิ่งกลายเป็นหัวหน้าห้อง เขาไม่สามารถตำหนิเธอในที่สาธารณะได้ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงควบคุมอารมณ์ตนเองอย่างหงุดหงิด
แน่นอนว่าสำหรับเขา การตรวจสอบคำตอบของตัวเองอีกครั้งคงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ โจวเหว่ยชิงโยนกระดาษของเขาไปที่มุมโต๊ะ นอนแผ่ลงไปบนนั้นก่อนจะหลับตาลง เพราะอีกฝ่ายจะไม่อนุญาตให้เขาส่งข้อสอบและออกไปก่อนเวลา เขาจึงทำได้แค่งีบหลับที่นี่เท่านั้น!
หมิงฮัวเกือบจะว่ากล่าวตักเตือนเขาอีกครั้ง แต่ในที่สุดเธอก็จำคำพูดของบิดาได้ เธอจ้องมองเขาอีกครั้งก่อนจะเชิดหน้าเดินผ่านไปวนดูรอบๆ ชั้นเรียนต่อ
โจวเหว่ยชิงนอนหลับสนิท แม้ว่าคนพาลคนนี้อาจจะชอบพูดจาส่อเสียดและเจ้าเล่ห์ไปบ้าง แต่เขาก็สามารถมองโลกในแง่ดีได้แบบแปลกๆ และยังไม่ระมัดระวังตัวอีกด้วย
มีเพียงคนเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถนอนหลับได้ทุกที่ทุกเวลา โชคดีที่เขาไม่มีปัญหาในการนอนกรน แม้ว่าจะมีน้ำลายไหลยืดออกมาเล็กน้อยตามแขนเสื้อขณะที่เขางีบหลับก็ตาม
ในที่สุดคาบนี้ก็จบลงพร้อมกับเสียงระฆังของโรงเรียน นักเรียนในห้องเรียนสามัญชนทุกคนต่างรู้สึกราวกับว่าพวกเขาหัวหมุนไปหมดหลังจากต้องใช้เวลานั่งสอบทั้งเช้า การทดสอบครั้งนี้ใช้เวลานานมาก นอกจากโจวเหว่ยชิงที่เขียนไปเรื่อยเปื่อยตามที่เขานึกออกแล้ว ยังมีนักเรียนอีกสองสามคนที่ยังทำไม่เสร็จและใบหน้าส่วนใหญ่ของพวกเขาก็ค่อนข้างมืดครึ้ม
“อ้วนน้อย หมดเวลาแล้ว” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เดินไปที่โต๊ะของโจวเหว่ยชิงและร้องเรียกเขา ทว่าโจวเหว่ยชิงก็ยังคงหลับสนิท แม้แต่เสียงระฆังที่ดังก้องก็ไม่อาจทำให้เขาตื่นได้
หม่าฉุนซึ่งนั่งอยู่อีกด้านหนึ่งกล่าวอย่างค่อนข้างอิจฉาว่า “ลูกพี่โจวแตกต่างจากพวกเราทุกคนจริงๆ! เขาสามารถหลับสนิทได้แม้กระทั่งระหว่างการสอบ”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เหลือบมองหม่าฉุนแต่ก็ไม่ได้มีท่าทีสนใจเขา เธอไม่ชอบเพื่อนตัวใหญ่คนนี้เอาเสียเลย เขาเป็นคนกลิ้งกลอกที่มักจะพูดและแสดงท่าทีที่แตกต่างจากความคิดของเขา หรืออาจพูดได้ว่าเขาเป็นคนประเภทเดียวกับโจวเหว่ยชิง!
เมื่อไม่เห็นปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ จากโจวเหว่ยชิง ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จึงตะโกนออกมาอย่างโกรธเคือง “เจ้าอ้วนน้อย ได้เวลากินข้าวแล้ว!”
“อ๊ะ! กินข้าว? มีอะไรให้กินบ้าง?” ดวงตาของโจวเหว่ยชิงเบิกโพลง น้ำลายยังไหลอยู่ตามมุมปาก ดวงตาของเขายังคงพร่ามัวขณะมองไปรอบๆ เพื่อตามหาอาหาร ทำให้นักเรียนที่อยู่ใกล้เคียงบางคนหัวเราะคิกคักออกมา
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดมุมปากให้เขา “ดูเจ้าหลับสิ ไปกันได้แล้ว เวลาอาหารกลางวันแล้ว เจ้าเหน็ดเหนื่อยกับการทำม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์เมื่อคืนนี้มากหรือ? เช่นนั้นวันนี้เราควรรีบกลับไปพักผ่อนก่อนเวลาเลิกเรียน เจ้าไม่ต้องเร่งรีบสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์หรอก เรายังมีเวลาอีกมาก…อย่างไรสุขภาพของเจ้าก็ย่อมสำคัญกว่า” หลังจากเช็ดน้ำลายออกแล้ว ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ช่วยพยุงเขาลุกขึ้นและมองอย่างเป็นห่วง เมื่อเห็นเขามีท่าทางดูร่าเริงแข็งแรงดี เธอก็ผ่อนคลายลงในที่สุด
โจวเหว่ยชิงยิ้มและกล่าวว่า “ไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหา ตราบใดที่วิญญาณจิ้งจอกบางตัวไม่มาหาข้าในตอนกลางคืน ข้าจะมีปัญหาได้อย่างไร” ขณะที่พูดเช่นนี้ เขาก็พูดออกมาเสียงดังอย่างตั้งใจ หมิงฮัวซึ่งเกือบจะเก็บข้อสอบเสร็จพลันตัวแข็งทื่อ
ในขณะนั้นเองน้ำเสียงอันสง่างามดังออกมาจากด้านนอกประตู “โจวเหว่ยชิง”
“เอ๋?” โจวเหว่ยชิงร้องออกมาขณะที่เขามองไปทางต้นเสียง เขาเพียงเห็นประตูห้องเรียนเปิดอยู่และท่านคณบดีเซียวก็เดินยิ้มเข้ามาพร้อมกับโบกมือให้โจวเหว่ยชิง “โปรดตามมาที่นี่สักครู่”
โจวเหว่ยชิงไม่กล้าชักช้า เขาหันไปหาซ่างกวนปิงเอ๋อร์และพูดว่า “ปิงเอ๋อร์ เจ้าไปกินข้าวในโรงอาหารก่อน ข้าจะตามไปหาเจ้าทีหลัง”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พยักหน้าเล็กน้อย โจวเหว่ยชิงจึงเดินตามคณบดีเซียวออกจากห้องเรียนไป
หม่าฉุนมองพวกเขาจากด้านข้างด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความอิจฉา! ดูคนรักของเขาสิ เจ้านั่นหลับไประหว่างการทดสอบ แต่เธอก็ยังคงเป็นห่วงเขามากถึงขนาดเช็ดน้ำลายให้เขา อ๊า…ทั้งอิจฉา ทั้งริษยา ทั้งเกลียด! ทำไมข้าถึงหาผู้หญิงดีๆ แบบนั้นไม่ได้บ้างนะ
เมื่อโจวเหว่ยชิงตามคณบดีเซียวออกไป ผู้มาเยือนอีกคนก็มาถึงประตูห้องเรียนสามัญชนเช่นกัน คราวนี้ไม่ใช่อาจารย์ท่านอื่น แต่เป็นนักเรียนชนชั้นสูงคนหนึ่ง อันที่จริงก็คือหญิงสาวที่งดงามผู้หนึ่ง เด็กสาวผมแดงผู้นี้ตรงเข้าไปในห้องเรียนสามัญชน มุ่งหน้าไปหาหมิงฮัวและถามเธอเบาๆ “พี่หมิงฮัว ท่านพี่หมิงหยูอยู่ที่ไหนหรือ? ข้าไม่เห็นเขามาหลายวันแล้ว”
หมิงฮัวเหลือบมองเธออย่างเหลืออดและพูดว่า “พี่ชายของข้ากลับไปที่แนวหน้าแล้ว ทำไมเจ้าถึงยังตามหาเขาอยู่อีก? เขาไม่ได้พูดกับเจ้าชัดเจนแล้วหรือ? เขาจะไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ กับเจ้าอีกต่อไป จากนี้ไปอย่ารบกวนเขาอีก”
“ท่าน…ท่านคือองค์หญิงตี้ฝูหยา?” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จำเส้นผมสีแดงของอีกฝ่ายได้ทันที แท้จริงแล้วเธอคือองค์หญิงตี้ฝูหยาแห่งอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์และยังเป็นคู่หมั้นของโจวเหว่ยชิงด้วย! ด้วยรูปลักษณ์ที่น่าสงสารของเธอขณะยืนอยู่ข้างๆ หมิงฮัว ทำให้ตอนนี้เธอดูไม่ค่อยเหมือนเจ้าหญิงเท่าไหร่นัก
เมื่อได้ยินใครบางคนเรียกชื่อของเธอ ตี้ฝูหยาก็รู้สึกประหลาดใจ เมื่อได้เห็นซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เธอร้องเรียกอีกฝ่ายด้วยความตกใจทันที “ปิงเอ๋อร์? เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” ด้วยความงามและตำแหน่งอัจฉริยะรุ่นเยาว์ในอาณาจักร ตี้ฝูหยาจึงจำเธอได้เช่นกัน แม้ว่าเธอจะค่อนข้างหยิ่งผยองตามธรรมชาติ แต่ก็ชัดเจนว่าสถานะของเธอใน อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์นั้นเทียบไม่ได้กับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ด้วยเหตุนี้แม้ว่าเธอจะมีนิสัยเย่อหยิ่งและหยาบคาย แต่เธอก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ หรืออย่างน้อยก็เคยมีนั่นแหละ
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ชี้ไปที่เครื่องแบบของเธอและพูดว่า “ข้ามาที่นี่กับโจวเหว่ยชิงเพื่อศึกษาเล่าเรียน! ก่อนหน้านี้เขาก็อยู่ที่นี่ เจ้าไม่เห็นเขาหรือ?” ขณะพูดเช่นนั้น เธอรู้สึกว่าตนเองตั้งแง่กับอีกฝ่ายมากขึ้น แม้โจวเหว่ยชิงจะบอกเธอก่อนหน้านี้ว่าตี้ฝูหยาอยู่ในโรงเรียนเดียวกันกับพวกเขา แต่การรู้ก็เป็นเรื่องหนึ่งและการได้เห็นจริงๆ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ปัจจุบันเธอไม่ไว้ใจองค์หญิงตี้ฝูหยาเท่าไหร่นัก อย่างไรตอนนี้อีกฝ่ายก็ยังถือว่าเป็นคู่หมั้นอย่างเป็นทางการของโจวเหว่ยชิง!
เมื่อได้ยินซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดถึงโจวเหว่ยชิง การแสดงออกของตี้ฝูหยาก็ดูน่าเกลียดขึ้นมาทันที เมื่อมองไปที่หมิงฮัว เธอก็เห็นใบหน้าของหมิงฮัวเปลี่ยนไปเป็นกังวล เธอจึงขมวดคิ้วและพูดว่า “ปิงเอ๋อร์ เจ้าสนิทกับโจวเหว่ยชิงได้อย่างไร? เจ้านั่นไร้ยางอายและน่ารังเกียจมากนะ! ในอดีตเขายังเป็นเจ้าเศษสวะที่โด่งดังของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์อยู่เลย แม้ว่าตอนนี้มณีสวรรค์ของเขาจะตื่นขึ้นแล้ว แต่เขาก็ยังไม่แข็งแกร่งเท่าใดนัก อย่าหลงเชื่อใบหน้าซื่อๆ ของเจ้านั่นเชียว! เขาเป็นคนประเภทที่ทำตัวเหมาะสมเพียงฉากนอก แต่ข้างในเป็นพวกเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอก หึ ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมเสด็จพ่อถึงชอบเขาขนาดนี้!”
เมื่อได้ยินคำพูดของตี้ฝูหยา ทั้งซ่างกวนปิงเอ๋อร์และหมิงฮัวต่างก็พูดไม่ออก หมิงฮัวมีสีหน้าแปลกๆ มองไปที่ตี้ฝูหยาราวกับว่าอีกฝ่ายเป็นพวกโง่เง่า เธอคิดกับตัวเอง: แม้ว่าเจ้าจะไม่รู้ แต่เจ้าก็ไม่น่าจะไม่รู้ถึงขนาดนี้ได้! หากบอกว่าเขาเป็นพวกเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอก ข้าเห็นด้วยอย่างเต็มที่! แต่ถ้าบอกว่าเขาเป็นเศษสวะ เช่นนั้นคนทั้งโลกก็คงเป็นเศษสวะ เช่นกัน! องค์หญิงผู้นี้ช่าง…โง่เง่าจริงๆ
ด้านซ่างกวนปิงเอ๋อร์กลับมีความคิดที่แตกต่างออกไป เมื่อตี้ฝูหยาเปิดปากครั้งแรกและเรียกโจวเหว่ยชิงว่าเจ้าคนไร้ยางอายและคนน่ารังเกียจ เธอก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อยด้วยความโล่งใจ อย่างน้อยนั่นก็แสดงให้เห็นว่าโจวเหว่ยชิงไม่ได้โกหกเธอและตี้ฝูหยาก็ไม่ชอบเขาเลยแม้แต่น้อย ทว่าขณะที่ตี้ฝูหยายังคงต่อว่าเขา สีหน้าของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็เปลี่ยนไปเป็นน่าเกลียดขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าเจ้าอ้วนน้อยจะไม่มีอะไรดี แต่เขาก็ยังคงเป็นอ้วนน้อยของข้า! เจ้ากล้าด่าทอสามีข้าเช่นนั้นได้อย่างไร? ไม่น่าแปลกใจที่อ้วนน้อยไม่ต้องการเจ้า ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว!
…………………………………