เมื่อกลุ่มเฟยหลี่กลับมาเดินทางต่ออีกครั้ง พวกเขาก็ได้เปลี่ยนวิธีเดินทางไปเป็นนั่งรถม้า 3 คันที่โจวเหว่ยชิงวิ่งไปยังเมืองที่ใกล้ที่สุดเพื่อซื้อหามาแทน ความจริงพวกเขามีจำนวนเพียง 8 คน ดังนั้นรถม้าคันใหญ่เพียงคันเดียวก็น่าจะเพียงพอแล้ว อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีผู้บาดเจ็บถึง 4 คน โจวเหว่ยชิงจึงตัดสินใจภายในเสี้ยววินาทีเลือกซื้อรถม้ามา 3 คัน อู่หยาที่มีน้ำหนักตัวมากและซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะใช้รถม้าหนึ่งคันเนื่องจากเป็นผู้หญิงเพียง 2 คนในกลุ่ม ส่วนรถม้าอีก 2 คันที่เหลือ โจวเหว่ยชิงและเย่เป่าเปาจะแยกกันไปรถม้าคนละคันเพื่อคอยดูแลเพื่อนร่วมทางที่บาดเจ็บ 2 คน วิธีนี้จะช่วยให้พวกเขาได้พักผ่อนอย่างเพียงพอระหว่างการเดินทางและยังหายจากอาการบาดเจ็บเร็วขึ้นอีกด้วย
ในเวลานี้โจวเหว่ยชิงพบว่าเขาคิดถึงหมิงฮัว จะดีแค่ไหนถ้าตอนนี้มีจ้าวมณีสวรรค์ที่มีธาตุชีวิตอยู่กับพวกเขาเพื่อช่วยเหลือผู้บาดเจ็บทั้งหมด
แม้ว่ารถม้าแต่ละคันจะถูกลากด้วยม้าที่มีพละกำลังแข็งแกร่งจำนวน 4 ตัว แต่ความเร็วในการเดินทางก็ช้ากว่าการขี่ม้าด้วยตัวเองมาก หลังจากผ่านไป 15 วัน ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงอาณาจักรจ้งเทียน ดังนั้นตอนนี้จึงเหลือเวลาเพียง 5 วันก่อนที่งานประลองมณีสวรรค์จะเริ่ม
หากมองจากระยะไกลๆ ด้านหน้าพวกเขาคือหุบเขาขนาดใหญ่และเห็นได้ชัดว่ามีผู้คนจำนวนมากกำลังเดินทางสัญจรผ่านไปมา ตามคำบอกเล่าของคนขับรถม้า ขณะนี้พวกเขากำลังจะถึงเมืองจ้งเทียนแล้ว
หลินเทียนอ้าวบอกคนขับให้หยุดรถม้าและสั่งให้ทุกคนลงจากรถ
“หัวหน้า เรากำลังจะถึงเมืองจ้งเทียนไม่ใช่หรือ? เช่นนั้นทำไมพวกเราไม่หยุดพักเมื่อเดินทางถึงในตัวเมืองล่ะ” ขี้เมาเป่าถามอย่างสงสัย
หลินเทียนอ้าวยิ้มน้อยๆ และกล่าวว่า “พวกเจ้าลองเงยหน้าและมองขึ้นไปสิ ข้าแค่อยากจะให้ทุกคนได้ยลว่าเกาะมณีสวรรค์เป็นอย่างไร”
เมื่อทุกคนมองขึ้นไปด้านบน พวกเขาก็ต้องรู้สึกตกใจ
ตอนนี้พวกเขาอยู่บนถนนสายหลัก และจากตำแหน่งของพวกเขาสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าอีกประมาณ 2-3 ลี้ข้างหน้ามีเสาหินต้นใหญ่ตั้งตระหง่านเสียดแทงขึ้นไปบนท้องฟ้าจนหายลับไปในกลุ่มก้อนเมฆ เพียงแค่มองด้วยตาเปล่า พวกเขาก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่าแท้จริงแล้วเสาหินเหล่านั้นมีขนาดใหญ่เพียงใด แต่เพียงแค่ได้ยืนอยู่ที่นี่พร้อมกับมองภาพเสาขนาดยักษ์16 ต้นสูงขึ้นไปเหนือท้องฟ้าก็เป็นภาพที่น่าอัศจรรย์ใจมากแล้ว แม้แต่เสือขาวตัวน้อยหรือเจ้าแมวอ้วนก็ยังโผล่หัวออกมาจากอกของโจวเหว่ยชิงเพื่อแอบมองดู แสงเยียบเย็นผุดขึ้นมาในดวงตาของมันทันที
นั่นคือภูเขาจ้งเทียน และเป็นสถานที่ยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุดในอาณาจักรจ้งเทียน เมืองจ้งเทียนทั้งเมืองตั้งอยู่ใต้เสาค้ำสวรรค์ทั้ง 16 ต้น ส่วนด้านบนคือเกาะมณีสวรรค์ซึ่งเป็นที่ตั้งของวังสวรรค์ไพศาล อาณาจักรจ้งเทียนภาคภูมิใจที่จะเรียกตัวเองว่าเป็นศูนย์กลางของแผ่นดินมาโดยตลอด และพวกเขาก็มีสิทธิ์ที่จะเชิดหน้าทำเช่นนั้นได้เช่นกัน เพราะเห็นได้ชัดว่าทิวทัศน์ที่น่าอัศจรรย์ใจเช่นนี้มีอยู่เพียงที่นี่เท่านั้น
“นั่นน่าทึ่งมาก! เสาขนาดใหญ่พวกนี้เป็นเหมือนโซ่ที่เชื่อมโลกกับท้องฟ้าเอาไว้จริงๆ ชื่อเสาค้ำสวรรค์นั้นเหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง!” สี่น้อยอุทานด้วยความชื่นชม
โจวเหว่ยชิงยืนอยู่ที่เดิมพร้อมกับเงยหน้ากรุ่นคิดกับตัวเอง ไม่น่าแปลกใจเลยที่อาณาจักรจ้งเทียนถูกยกย่องว่าเป็นอาณาจักรที่แข็งแกร่งที่สุดในแผ่นดิน จากเมืองหลวงจ้งเทียนที่ตั้งอยู่บริเวณท้องเขาไปจนถึงเกาะมณีสวรรค์ที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า สิ่งนี้ก็ถือได้ว่าเป็นสถานที่อัศจรรย์ที่สุดในโลกแล้ว ขณะนี้เขาจึงรู้สึกคาดหวังกับงานประลองมณีสวรรค์มากขึ้นเรื่อยๆและอดไม่ได้ที่จะอยากให้งานประลองมาถึงเร็วๆ ไม่น่าแปลกที่ทุกคนต่างกระตือรือร้นที่จะติด 4 อันดับแรกให้ได้! แม้ว่าจะไม่มีของรางวัลที่ล่อตาล่อใจขนาดนี้ แต่ทุกคนก็ยังคงมีใจฝักใฝ่ที่จะขึ้นไปบนเกาะมณีสวรรค์เพื่อเปิดหูเปิดตา! พวกเขาจะได้เห็นสถานที่แปลกประหลาดแบบไหนกันบ้างนะ?
หลินเทียนอ้าวกล่าวอย่างเฉยชาว่า “เรากำลังจะถึงเมืองจ้งเทียนและก็เหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่วันก่อนที่การประลองจะเริ่มขึ้น ตอนนี้ข้าขอประกาศให้โจวเหว่ยชิงเป็นหัวหน้ากลุ่มชั่วคราวและเขาจะเป็นผู้ตัดสินใจทุกอย่างในระหว่างการประลอง”
โจวเหว่ยชิงมองไปที่หลินเทียนอ้าวด้วยความประหลาดใจ แต่หลินเทียนอ้าวกลับพยักหน้าให้โจวเหว่ยชิงอย่างให้กำลังใจสนับสนุน
ขี้เมาเป่าถามขึ้นมาว่า “หัวหน้า นั่นไม่จำเป็นไม่ใช่หรือ? แม้ว่าบาดแผลของท่านจะยังไม่หายดี แต่นั่นก็ไม่มีผลต่อการออกคำสั่งนี่!”
หลินเทียนอ้าวส่ายหัวและพูดว่า “ไม่หรอก ตอนนี้เหว่ยชิงเป็นหัวหน้า เขารู้เกี่ยวกับพลังของตัวเองและปิงเอ๋อร์ดีที่สุด ข้าจะคอยอยู่เคียงข้างเขาเพื่อให้คำแนะนำ แต่ข้าก็เชื่อว่าเขาจะไม่ทำอะไรที่ตัวเองไม่มั่นใจเด็ดขาด ข้าคิดว่าเขาเหมาะมากที่จะเป็นหัวหน้ากลุ่มชั่วคราว”
หลังจากพักผ่อนมาหลายสิบวัน คนทั้งกลุ่มก็มีสภาพร่างกายดีขึ้นมาก แต่ก็มีจำนวนหนึ่งที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส โดยเฉพาะคนที่ได้รับบาดเจ็บภายใน พวกเขายังไม่สามารถออกไปต่อสู้ได้ แม้ว่าจ้าวมณีสวรรค์จะมีร่างกายที่แข็งแกร่ง แต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บดังกล่าวได้ในช่วงเวลาสั้นๆ แน่นอน
หลินเทียนอ้าวพยักหน้าให้กับโจวเหว่ยชิงและกล่าวว่า “การประลองแต่ละรอบจะจัดขึ้นในทุกๆ 3 วันเพื่อให้ผู้เข้าแข่งขันได้พักผ่อนระหว่างแต่ละรอบ จากสภาพอาการบาดเจ็บของพวกเรา อย่างน้อยก็จะต้องใช้เวลา 10 วันในการฟื้นตัว เซียวเอี๋ยนและขี้เมาเป่ามีอาการแย่ลง ดังนั้นพวกเขาอาจใช้เวลานานกว่านี้ ดังนั้นเจ้าจะต้องนำสมาชิกที่ไม่ได้รับบาดเจ็บผ่านเข้าไปในรอบที่ลึกขึ้น อย่างน้อยก็รอบที่ 2 นี่เป็นเรื่องยากมาก แต่ข้าก็หวังว่าเจ้าจะทำได้ บางทีกลุ่มของเราอาจต้องลองเสี่ยงดวงกับโชคของเจ้าดูบ้าง เผื่อว่าพวกเราจะไม่ต้องพบกับกลุ่มที่แข็งแกร่งเร็วเกินไป”
โจวเหว่ยชิงพยักหน้าและกล่าวว่า “ข้าไม่อาจรับประกันกับทุกคนได้ แต่ข้าสัญญาว่าจะพยายามอย่างเต็มที่ ไปกันเถอะ เร่งเข้าไปในเมืองจ้งเทียนเพื่อหาที่พักกันดีกว่า เราจะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่เสียที”
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา แม้ว่าพวกเขาจะอยู่บนท้องถนนตลอดเวลา แต่ก็อาจกล่าวได้ว่าเป็นโจวเหว่ยชิงที่ทำงานหนักที่สุด เนื่องจากเขาให้คำมั่นว่าจะเป็นเสาหลักของกลุ่ม เขาจึงรู้สึกถึงน้ำหนักที่แบกเอาไว้บนบ่าของตัวเอง แม้ว่าพลังปราณสวรรค์เขาจะเพิ่มระดับขึ้นเป็นขั้นทะลวงพิภพแล้ว แต่เขาก็ยังมีมณีเพียง 3 ชุดอยู่ดี ดูจากระดับพลังของบรรดาสมาชิกกลุ่มหลักที่มาจากโรงเรียนจ้าวมณีแล้ว เขาก็คาดเดาได้ว่าผู้ที่เข้าร่วมงานประลองน่าจะต้องมีมณีอย่างน้อย 4-5 ดวง หรืออาจจะมีมากกว่านั้นด้วยซ้ำ
แม้ว่าจะเป็นเพียงการลับมีดก่อนเข้าสู่สนามจริง แต่การทุ่มเทฝึกฝนอย่างหนักและพยายามทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้ก่อนการต่อสู้จะเริ่มก็ยังถือเป็นเรื่องที่ควรทำ
แม้ว่าพวกเขาจะมองเห็นเสาค้ำสวรรค์แล้ว แต่ระยะทางทั้งหมดก็ยังดูค่อนข้างลวงตาอยู่มาก กว่าพวกเขาจะมาถึงเมืองหลวงจ้งเทียนก็เป็นเวลามืดค่ำแล้ว
ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงประตูเมืองและได้เห็นชัดๆ ว่าเสาทั้ง 16 ต้นนั้นใหญ่โตขนาดไหน เสาแต่ละต้นมีเส้นผ่านศูนย์กลางอย่างน้อย 2,000-3,000 เมตร ทั้งยังใช้เสาทั้ง 16 ต้นนี้เป็นฐานก่อกำแพงขึ้นมาล้อมรอบเมืองเอาไว้ ทุกคนต่างก็รู้ดีว่านี่คือเมืองหลวงที่ใหญ่ที่สุดในแผ่นดิน พวกเขามองไม่เห็นจุดสิ้นสุดของกำแพงด้วยซ้ำ โจวเหว่ยชิงมั่นใจอย่างยิ่งว่าแม้แต่อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ทั้งอาณาจักรก็ไม่ใหญ่โตเท่าเมืองหลวงแห่งนี้ เพราะอย่างไรที่นี่ก็มีขนาดใหญ่มากกว่า 5,000 ตารางกิโลเมตร!
เมืองหลวงส่วนใหญ่ล้วนทำการเกษตรและอุตสาหกรรมอื่นๆ ด้านนอกกำแพงเมือง แต่ เพราะเมืองจ้งเทียนแห่งนี้ใหญ่เกินไป ดังนั้นแม้แต่การเพาะปลูกและทำเกษตรต่างๆ พวกเขาก็ยังทำกันอยู่ในเมือง! แค่กำแพงเมืองขนาดใหญ่เพียงอย่างเดียวก็เห็นได้ชัดแล้วว่าพวกเขามีเงินจำนวนมหาศาลแค่ไหน อีกทั้งเมืองจ้งเทียนทั้งเมืองก็เหมือนกับอาณาจักรเล็กๆแห่งหนึ่งที่สามารถปกครองตนเองได้ ขณะนี้เมฆหมอกกำลังลอยปกคลุมไปทั่วทั้งเมือง ดวงอาทิตย์สามารถส่องผ่านเข้ามาได้เพียงจากด้านข้างเท่านั้น จึงไม่มีใครสามารถมองเห็นเกาะมณีสวรรค์ที่ตั้งอยู่ด้านบนได้ถนัดนัก
กว่าพวกเขาจะเข้าไปถึงตัวเมืองชั้นในได้ ท้องฟ้าก็มืดสนิทแล้ว เมืองชั้นในเป็นหัวใจหลักของเมืองทั้งเมือง และแค่พื้นที่ของเมืองชั้นในเพียงอย่างเดียวก็ใหญ่กว่าเมืองเฟยหลี่ซึ่งเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรเฟยหลี่แล้ว
กว่าทุกคนจะได้พักผ่อนก็เป็นเวลาเที่ยงคืน
ในฐานะหัวหน้ากลุ่มชั่วคราว โจวเหว่ยชิงได้เลือกโรงเตี๊ยมเล็กๆ แต่ดูสะอาดสะอ้านให้กลุ่มของเขาเข้าพัก เหตุผลไม่ใช่เพราะต้องการประหยัดเงิน แต่เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะสามารถพักผ่อนกันได้อย่างสงบสุข แน่นอนว่าเมื่อเริ่มใกล้ถึงงานประลองมณีสวรรค์ เมืองจ้งเทียนก็จะเริ่มคึกคักและวุ่นวายขึ้นมาก ถึงอย่างไรผู้ทรงพลังรุ่นเยาว์ของทั้งโลกก็กำลังมารวมตัวกันที่นี่ และเพราะพวกเขาล้วนเป็นคู่แข่งกัน หากได้พบหน้ากัน แน่นอนว่าย่อมต้องเกิดการประทบกระทั่งกันขึ้นแน่ ตอนนี้กลุ่มของพวกเขามีคนเจ็บจำนวนมาก โดยเฉพาะหลินเทียนอ้าวที่เป็นกำลังหลัก นี่จึงไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมที่จะพวกเขาจะปะทะกับคนอื่นๆ โดยไม่จำเป็น ด้วยเหตุนี้ โจวเหว่ยชิงจึงเลือกพักในโรงเตี๊ยมธรรมดาๆให้เพื่อนร่วมกลุ่มที่บาดเจ็บพักผ่อนกันได้อย่างสบายใจ ขณะนี้ยังมีเวลาอีก 5 วันกว่าการประลองจะเริ่มต้นขึ้นจริงๆ
คืนแรกของพวกเขาในเมืองจ้งเทียนนั้นผ่านไปด้วยดี และในเช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากที่ทุกคนทานอาหารเช้าแล้ว หลินเทียนอ้าวก็เรียกทุกคนไปที่ห้องของเขา เขาเป็นคนเดียวที่เคยเข้าร่วมงานประลองมณีสวรรค์มาก่อนและถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องแจ้งให้ทั้งกลุ่มทราบเกี่ยวกับกฎและสิ่งต่างๆ ที่ควรสังเกต โดยเฉพาะโจวเหว่ยชิงซึ่งตอนนี้เป็นผู้นำชั่วคราว
หลินเทียนอ้าวมองไปยังบรรดาสหายที่นั่งอยู่ล้อมรอบตัวเขาและพูดขึ้นอย่างจริงจัง “งานประลองมณีสวรรค์กำลังจะเริ่มขึ้น เซียวเอี๋ยน สี่น้อย ขี้เมาเป่า สำหรับการประลอง 2 รอบแรก เจ้าทั้ง 3 คนไม่ต้องเข้าร่วม บาดแผลของข้ารุนแรงน้อยกว่า ดังนั้นข้ากับเหว่ยชิงจะพาคนอื่นๆ ไปเข้าร่วมงานประลอง แต่แน่นอนว่าข้าจะไม่เข้าร่วมการประลองเพราะเกรงว่าบาดแผลของข้าจะยิ่งแย่ลงกว่าเดิม ยกเว้นแต่กรณีที่จำเป็นจริงๆ เท่านั้น”
“ทั่วทั้งแผ่นดินมีอาณาจักรมากกว่า 30 แห่ง ทั้งเล็กและใหญ่ นอกจากนี้ อาณาจักรที่สามารถเสาะหาและรวบรวมจ้าวมณีสวรรค์รุ่นเยาว์ได้อย่างน้อย 5 คนก็มีเพียง 20 แห่งเท่านั้น การแข่งขันทั้งหมดแบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ คือรอบอุ่นเครื่องและรอบชิงชนะเลิศ ในรอบอุ่นเครื่อง ทุกกลุ่มจะถูกแบ่งออกเป็น 4 สายใหญ่ๆ โดยวิธีการจับฉลาก แต่ละสายจะมีกลุ่มตัวเต็งอยู่ 1 กลุ่ม นั่นก็คือกลุ่มที่มาจาก 4 ใน 5 มหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ยกเว้นนิกายปีศาจสวรรค์ แน่นอนว่าคำแถลงของพวกเขาต่อโลกภายนอกคือบรรดากลุ่มตัวเต็งเป็นกลุ่มที่เคยชนะมาก่อนหน้า เลยได้รับการขนานนามว่ากลุ่มตัวเต็ง แน่นอนว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา 4 อันดับแรกก็มักเป็นผู้ที่ได้รับการสนับสนุนจากมหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ในรอบอุ่นเครื่องเบื้องต้นจะเป็นการแข่งขันแบบพบกันหมด กล่าวคือในแต่ละสาย ทุกกลุ่มจะต้องได้ต่อสู้กันหมด”
“ในการแข่งขันรอบแรก แต่ละสายจะนำ 2 กลุ่มที่มีผลงานดีที่สุดผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ นั่นคือ 8 อันดับแรกของการประลองทั้งหมดนั่นเอง หลังจากนั้น พวกเขาจะต่อสู้กันอีกครั้งเพื่อตัดสินว่าใครจะได้เป็น 4 อันดับแรก และรอบชิงชนะเลิศระหว่าง 4 อันดับแรกจะถูกจัดขึ้นที่เกาะมณีสวรรค์”
โจวเหว่ยชิงกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าการประลองจะค่อนข้างตรงไปตรงมา ไม่ได้ซับซ้อนอะไรนัก”
หลินเทียนอ้าวยิ้มและกล่าวว่า “อันที่จริงมันตรงไปตรงมามาก แต่ในเวลาเดียวกันก็ยากที่จะผ่านในแต่ละรอบเช่นกัน กลุ่มตัวเต็งแต่ละสายมักจะเป็นกลุ่มที่ได้อันดับ 1 ไปครองอยู่ก่อนแล้ว ส่วนอาณาจักรอื่นๆ ก็จะต้องต่อสู้อย่างสุดกำลังเพื่อแย่งชิงอันดับ ที่ 2 ในสายนั้น 3 ปีที่แล้วกลุ่มของเราต่อสู้อย่างสุดกำลัง แลกไปกับการที่รุ่นพี่สองคนที่ต้องกลายเป็นคนพิการตลอดชีวิต ก่อนที่จะผ่านเข้ารอบที่ 2 ไปได้อย่างอย่างหืดขึ้นคอ แต่ทว่าหลังจากนั้นเราพ่ายแพ้ไปอย่างง่ายดายในระหว่างการประลอง 8 อันดับแรก ดังนั้นเพื่อที่จะเข้าสู่รอบ 2 ได้อย่างปลอดภัย เราต้องเอาชนะกลุ่มอื่นๆ ในรอบอุ่นเครื่องให้ได้”
จู่ๆ ความคิดบางอย่างก็แล่นขึ้นมาในสมอง โจวเหว่ยชิงกล่าวว่า “ท่านหมายความว่า เราจะต้องพ่ายแพ้ให้กับกลุ่มตัวเต็งในสายการประลองของเรา?”