ขณะที่อู่หยากลับไปที่เรือนพัก สมาชิกในกลุ่มเฟยหลี่ทุกคนต่างก็ยกนิ้วให้เธอ
โจวเหว่ยชิงอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “เจ้าเตี้ยนั่นไม่ได้ตายไปอย่างไร้ประโยชน์แล้ว!” ไม่ว่าใครก็ตาม หากพวกเขาทำผิดพลาดโดยการประเมินอู่หยาต่ำเกินไปและคิดว่าเธอเป็นพวกมีกล้ามเนื้อแต่ไม่มีสมอง พวกเขาย่อมต้องตกตายในมือของเธออย่างแน่นอน
อู่หยากล่าวอย่างไร้เดียงสา “ข้าไม่ได้บอกว่าจะปะทะกับเขาอย่างไม่ยั้งคิดจนตายเสียหน่อย น่าเสียดาย ระดับพลังปราณของเขายังไม่แข็งแกร่งพอจะควบคุมเปลวไฟแห่งชีวิตได้อย่างถูกต้อง และเขาก็ทำได้เพียงแค่โจมตีลงมาตรงๆเท่านั้น เช่นนั้นทำไมข้าจะไม่หลบล่ะ? เฮ้อ หมอนั่นไม่ได้คิดให้ดีในตอนท้าย ดังนั้นข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากช่วยเขาไปมีชีวิตที่ 2…”
หลินเทียนอ้าวหัวเราะและพูดว่า “เจ้า! ความกระหายเลือดของเจ้าน่ากลัวเกินไปแล้ว เอาเถอะ เจ้าก็ทำได้ดี! จ้าวมณีสวรรค์ที่ทรงพลังของอาณาจักรป่ายต้าทุกคนที่เราฆ่าจะช่วยให้ทหารเฟยหลี่ของเรารอดได้อีกนับร้อยนับพัน เอาล่ะ เรื่องนั้นพอแล้ว เหว่ยชิง เจ้าจะมอบหมายให้ใครออกไปต่อสู้อีก?”
โจวเหว่ยชิงครุ่นคิดสักครู่ก่อนที่จะพูดว่า “เดิมทีข้าคิดจะให้อู่หยาขึ้นไปกับข้าในรอบที่กำลังจะมาถึงนี้ แต่ตอนนี้นางค่อนข้างเหนื่อยจากการต่อสู้ครั้งก่อน และนี่เป็นการต่อสู้ที่สำคัญสำหรับเรา ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย หัวหน้า ท่านกับข้าจะเป็นคนออกไป”
หลินเทียนอ้าวพยักหน้าและกล่าวว่า “ได้” แม้แต่คนที่มีนิสัยหนักแน่นมั่นคงเช่นเขาก็ยังถูกปลุกปั่นจากการต่อสู้ครั้งก่อนและเผยประกายแวววาวออกมาจากดวงตา
โจวเหว่ยชิงลดเสียงลงและกระซิบข้างหูของเขา จากนั้นหลินเทียนอ้าวก็พยักหน้าตอบรับ ถึงเวลาสำหรับการต่อสู้แบบคู่แล้ว!
ในการต่อสู้ 2 ครั้งแรก ทั้งสองฝ่ายก็ต่างได้รับชัยชนะ แน่นอนว่าการต่อสู้ครั้งที่ 3 นี้จึงเป็นนัดที่สำคัญอย่างยิ่ง ใครก็ตามที่ชนะนัดนี้ ไม่เพียงแต่จะได้กลายเป็นผู้นำเท่านั้น แต่ยังรวมถึงได้รับแต้มซึ่งอาจนำไปสู่ชัยชนะ!
แผนของโจวเหว่ยชิงนั้นง่ายมาก ในรอบแรก แรงจูงใจของเขาในการส่งเย่เป่าเปาออกไปเป็นเพราะเขาคาดหวังให้ฝ่ายตรงข้ามส่งผู้ที่มีพลังสูงสุด 1 ใน 2 อันดับแรกออกมาและใช้เย่เป่าเปากับกลยุทธ์เผาผลาญพลังคู่ต่อสู้ให้มากที่สุดก่อนจะยอมแพ้ นั่นคือการบังคับให้ฝ่ายตรงข้ามต้องปล่อยบุคคลที่ทรงพลังออกมาก่อนโดยที่ฝ่ายของตนเองยังคงไม่ได้บาดเจ็บใดๆ และเพราะอีกฝ่ายเสียหนึ่งในสมาชิกอันดับต้นๆ ของตนเองไปในรอบแรกแล้ว ดังนั้นมีแนวโน้มที่พวกเขาจะเก็บสมาชิกที่ทรงพลังที่สุดไว้ในรอบท้ายๆ นั่นหมายความว่าสมาชิกที่จะออกมาต่อสู้ครั้งที่ 2 อาจจะไม่แข็งแกร่งมากนัก ดังนั้นการส่งอู่หยาซึ่งเป็นหนึ่งในบุคคลที่โดดเด่นที่สุดของพวกเขาออกไปจะช่วยให้พวกเขาสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้คนนั้นได้อย่างแน่นอน และนั่นจะนำไปสู่การเสมอกันดังเช่นตอนนี้
หากพวกเขาสามารถคว้าชัยชนะในการต่อสู้ครั้งที่ 3 มาได้ กลุ่มนักรบเฟยหลี่ก็จะสามารถคว้าชัยชนะในครั้งนี้ไปได้ด้วยความสูญเสียน้อยที่สุด แน่นอนว่าหัวใจหลักของแผนการนี้คือโจวเหว่ยชิงเอง เพราะเขาจะเป็นแกนนำในการต่อสู้ทั้งครั้งที่ 3 และครั้งที่ 4
เวทีได้รับการซ่อมแซมเร็วมาก ตั้งแต่เริ่มงานประลองมณีสวรรค์จนถึงตอนนี้ มีเพียง 2 ครั้งเท่านั้นที่ต้องซ่อมแซมเวที และทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นในการต่อสู้ของกลุ่มนักรบเฟยหลี่! ที่น่าขบขันมากกว่านั้นคือในทั้ง 2 ครั้งนั้น ผู้ที่ทำลายเวทีต่างก็เป็นคู่ต่อสู้ของพวกเขาทั้งสิ้น!
ขณะที่โจวเหว่ยชิงและหลินเทียนอ้าวก้าวขึ้นเวที ผู้นำฝ่ายตรงข้ามอย่างหลางเซี่ยและจ้าวมณีสวรรค์ทักษะธาตุมืดที่ต่อสู้ในการประลองครั้งแรก ชิงเฉียน ก็ขึ้นเวทีมาด้วยกัน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลางเซี่ยเองก็มุ่งมั่นที่จะเอาชนะในนัดที่ 3 ซึ่งเป็นนัดที่สำคัญนี้เช่นกัน ทั้งเขาและชิงเฉียนเป็น 2 คนที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มนักรบป่ายต้า และในกลุ่มของพวกเขา มีเพียงทั้ง 2 คนเท่านั้นที่มีมณี 5 ชุด
แม้ว่าชิงเฉียนจะใช้พลังปราณสวรรค์ในการต่อสู้ครั้งแรกไปเป็นจำนวนมาก แต่เธอก็ยังมีสภาพค่อนข้างดี ที่สำคัญไปกว่านั้น เนื่องจากเธอเคยต่อสู้ในการประลองแบบ 1 ต่อ 1 มาแล้ว หากกลุ่มต้องการใช้พลังของเธอ สิ่งเดียวก็คือเธอต้องออกมาต่อสู้ในศึก 2 ต่อ 2 นี้นั่นเอง
เมื่อมองเห็นความโกรธเกรี้ยวในดวงตาของหลางเซี่ยและชิงเฉียน โจวเหว่ยชิงก็ยิ้มออกมา “สวัสดีทั้งสองคน ไม่ต้องกังวลไป ทั้งหัวหน้าและข้าใจดีมาก พวกเราไม่ดุร้ายเท่าอู่หยาหรอก เฮ้อ…ช่างน่าละอายเหลือเกิน…นักรบศาสตร์ลับอัคคีระดับมณี 4 ชุดเช่นนี้คงยากที่จะบ่มเพาะขึ้นมาใช่ไหม?”
ชิงเฉียนร้องด้วยความโกรธ “หยุดแสดงละครและทำตัวเสแสร้งได้แล้ว ข้าจะฆ่าเจ้าในภายหลังแน่!”
เมื่อเห็นว่าความเกลียดชังระหว่างทั้งสองฝ่ายนั้นรุนแรงมาก ผู้ตัดสินจึงขัดจังหวะอย่างรวดเร็ว “ทั้งสองฝ่ายโปรดรายงานชื่อตัวเอง ต่อสู้เริ่มได้!” เขาข้ามขั้นตอนทั้งหมดไปอย่างสิ้นเชิง และหลังจากพูดสิ่งนั้น เขาก็กระโดดถอยไปที่มุมเวทีอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายแนะนำตัวแล้ว โจวเหว่ยชิงก็ปลดปล่อยธนูราชันย์ของเขาออกมาทันที
ในที่สุดการแข่งขันแบบ 2 ต่อ 2 ที่สำคัญนี้ก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว
คนแรกที่ลงมือคือชิงเฉียน แสงสีดำวูบวาบแผ่กระจายออกจากเท้าของเธอพุ่งเข้าหาโจวเหว่ยชิงอย่างรวดเร็ว มันคือคำสาปเฉื่อยชานั่นเอง
กลุ่มนักรบป่ายต้าได้กรุ่นคิดอย่างหนักเกี่ยวกับการปรากฏตัวของโจวเหว่ยชิงในการแข่งขันครั้งก่อน แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงจ้าวมณีสวรรค์ระดับ 3 ชุด แต่ประสิทธิภาพในการต่อสู้ของโจวเหว่ยชิงก็ทำให้พวกเขารู้สึกถึงอันตราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการต่อสู้เมื่อ 3 วันก่อน เมื่อโจวเหว่ยชิงใช้ทักษะกระชากมิติทำให้กลุ่มได้รับชัยชนะไปอย่างท่วมท้น สิ่งนั้นประทับอยู่ในใจพวกเขาอย่างลึกล้ำ สำหรับจ้าวมณีสวรรค์ระดับ 3 ชุดที่สามารถใช้ทักษะในระดับดังกล่าวได้ กว่าจะมาเป็นตัวแทนของกลุ่มนักรบเฟยหลี่ในการแข่งขันที่สำคัญเช่นนี้ เขาย่อมต้องเป็นคนที่มีสถานะและอันดับสูงส่งในกลุ่มอย่างแน่นอน ดังนั้นหลางเซี่ยและชิงเฉียนจึงไม่คิดประมาทเขาแม้แต่น้อย
ในเวลาเดียวกับที่ชิงเฉียนพุ่งเข้าใส่โจวเหว่ยชิง หลางเซี่ยก็พุ่งเข้าหาหลินเทียนอ้าวเช่นกัน เขายกมือขึ้น กระบองหนามขนาดใหญ่ปรากฏในมือของเขาทันที น่าแปลกที่กระบองหนามของเขาก็เป็นชุดประสานศาสตรามณียุทธ์เช่นกัน!
มณียุทธ์ของหลางเซี่ยก็เป็นประเภทความแข็งแกร่ง ส่วนกระบองหนามของเขาก็สร้างจากชุดประสานศาสตรามณียุทธ์ 5 ชิ้น ซึ่งเกือบจะเป็นขั้วตรงกันข้ามกับการป้องกันขั้นสุดยอดของหลินเทียนอ้าว
กระบองหนามมีสีเงินทั้งอัน โดยมีหลุมบรรจุมณี 5 ช่องติดอยู่โดยรอบ มันถูกล้อมรอบไปด้วยม่านพลังปราณสวรรค์ที่เปล่งแสงออกมาเป็นชั้นๆ ก่อเกิดเป็นกลิ่นอายแห่งความตายและพลังทำลายล้างที่แสนน่ากลัว
มณีธาตุของหลางเซี่ยเป็นธาตุลม และด้วยความตั้งใจที่จะใช้ความเร็วสูงสุดในการต่อสู้ระยะประชิด มณีธาตุของเขาจึงกักเก็บไว้แต่ทักษะสนับสนุนที่ช่วยเพิ่มความเร็ว ด้วยเหตุนี้ ไม่เพียงแต่ความเร็วในการเคลื่อนที่ของเขาจะเร็วมากเท่านั้น แม้แต่ความเร็วในการโจมตีของกระบองหนามขนาดใหญ่ก็ยังเพิ่มขึ้นมาก เพื่อให้บรรลุความสามารถในการโจมตีขั้นสูงสุด หลางเซี่ยจึงไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การป้องกันเลย
เมื่อการโจมตีที่ทรงพลังรวมกับความเร็วสูง หลางเซี่ยก็เปลี่ยนตัวเองกลายเป็นเครื่องบดเนื้อในสนามรบอย่างรวดเร็ว การต่อสู้ครั้งนี้เป็นการปะทะกันระหว่างสายรุกและสายรับ เห็นได้ชัดจากการต่อสู้ระหว่างผู้นำทั้ง 2 ที่ร้อนแรงขึ้นจนแทบเห็นควันสีขาวพวยพุ่งออกมา
หลินเทียนอ้าวยกขาซ้ายขึ้นและก้าวเท้าไปข้างหน้า โล่ประสานระดับมณี 5 ชุดของเขาพุ่งเข้าใส่กระบองหนามยาว 2 เมตรของหลางเซี่ยซึ่งหนาพอๆกับต้นขาของผู้ชายทันที เมื่อศาสตรามณียุทธ์ที่ทรงพลังทั้ง 2 กระทบกัน แสงสีเงินและสีเหลืองก็เปล่งประกายวูบวาบตามลำดับจากแรงปะทะทันที
ทั้ง 2 คนเป็นผู้นำของแต่ละกลุ่มและยังเป็นผู้มีความสามารถที่โดดเด่นที่สุดในรุ่นของพวกเขาอีกด้วย ในแง่ของความสามารถในการต่อสู้ ทักษะและประสบการณ์ พวกเขาเกือบจะมีเท่าเทียมกันทั้งหมด ดังนั้นการจะใช้ประโยชน์จากความผิดพลาดของศัตรูจึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ทั้งสองจึงตกอยู่ในสถานการณ์จนมุมเช่นเดียวกัน
เสียงสิ่งของกระทบกันดังลั่น หลินเทียนอ้าวเพียงยืนอยู่ที่เดิมอย่างไม่ขยับในขณะที่หลางเซี่ยเดินเซถอยหลังไปหนึ่งก้าว
ทั้งสองฝ่ายต่างก็กำลังใช้ชุดประสานศาสตรามณียุทธ์ที่มีหลุมบรรจุมณีอยู่พร้อมสรรพและมีระดับพลังปราณเกือบเท่ากัน แต่เหตุใดหลางเซี่ยจึงเสียเปรียบกว่าเล็กน้อยเมื่อปะทะกันตรงๆ? คำตอบนั้นง่ายมาก นั่นเป็นเพราะหลินเทียนอ้าวเป็นจ้าวมณีสวรรค์ประเภทป้องกันขั้นสุดยอด เมื่อทักษะธาตุดินของเขารวมกับคุณสมบัติประเภทป้องกัน ทั้งคู่จึงช่วยเพิ่มพลังป้องกันให้เขาได้เป็นอย่างดี แม้ว่าทักษะธาตุลมของหลางเซี่ยจะช่วยเพิ่มความเร็วของเขา แต่ก็ไม่ได้ช่วยในด้านพลังโจมตีของเขาด้วย ดังนั้นพลังที่แท้จริงของเขาจึงด้อยกว่าเมื่อเทียบกับหลินเทียนอ้าวผู้ซึ่งมีทักษะการต่อสู้เพียงพอที่จะรับมือกับความเร็วที่เพิ่มขึ้นของเขา
หลางเซี่ยรู้ว่าในแง่ของพลัง เขาด้อยกว่าหลินเทียนอ้าวเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้เขาก็ไม่ลังเลที่จะโจมตีใส่หลินเทียนอ้าวอย่างหนักหน่วง ทั้งสองฝ่ายกำลังเค้นพลังออกมาอย่างสุดความสามารถ เมื่อพลังโจมตีที่รุนแรงปะทะพลังป้องกันที่แข็งแกร่ง ทั้งสองจึงฟาดฟันกันท่ามกลางเศษซากพายุที่โหมซัดกระหน่ำ แสดงทักษะและพลังที่แท้จริงออกมาให้ผู้ชมที่เฝ้าดูได้ประจักษ์กับตาตัวเอง ความจริงแผนของหลางเซี่ยนั้นง่ายมาก เพื่อรั้งหลินเทียนอ้าวไว้และป้องกันไม่ให้เขาเข้าไปยุ่งกับชิงเฉียน ในทางกลับกัน ชิงเฉียนจะต้องกำจัดโจวเหว่ยชิงให้เร็วที่สุดก่อนที่จะเข้ามาช่วยเขาจัดการกับหลินเทียนอ้าว เมื่อทั้งคู่ร่วมมือกันต่อสู้กับหลินเทียนอ้าว พวกเขาก็จะจัดการอีกฝ่ายได้ง่ายกว่าเดิมมาก
ในสายตาของหลางเซี่ย ด้วยระดับระดับพลังปราณของชิงเฉียน การจัดการกับโจวเหว่ยชิงจึงน่าจะเป็นเรื่องง่ายสำหรับเธอ แม้ว่าอีกฝ่ายจะเคยแสดงพลังของตนเองออกมาแล้ว ทว่าเขาก็ยังคงเป็นเพียงแค่จ้าวมณีสวรรค์ระดับมณี 3 ชุดเท่านั้น ไม่ว่าการควบคุมทักษะของเขาจะอยู่ในระดับสูงส่งเช่นใด แต่นั่นก็ยังไม่สามารถเอาชนะความแตกต่างที่แท้จริงระหว่างระดับพลังและพลังปราณสวรรค์ได้
น่าเสียดายที่เหตุการณ์ไม่เป็นไปตามที่เขาคาดคิด
ในอีกด้านหนึ่ง เมื่อโจวเหว่ยชิงเห็นว่าชิงเฉียนเปิดใช้งานคำสาปเฉื่อยชากับเขา แสงสีดำก็สว่างวาบขึ้นใต้เท้าของเขาทันที อย่างไรก็ตาม ในกรณีของเขา สิ่งนี้ถูกปลดปล่อยออกไปหาหลางเซี่ย ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่แม้แต่จะพยายามหลบเลี่ยงคำสาปของชิงเฉียนเช่นเดียวกับเย่เป่าเปา
เมื่อชิงเฉียนเห็นแสงสีดำใต้เท้าของโจวเหว่ยชิง เธอก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นมาทันที ตั้งแต่เริ่มงานประลองมาจนถึงตอนนี้ แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะออกมาต่อสู้หลายครั้ง แต่เขาก็ใช้เพียงแค่ทักษะธาตุมิติของเขาเท่านั้น
ในการต่อสู้ครั้งแรก แม้ว่าลูกศรที่เขายิงออกไปจะมีทักษะธาตุอื่นๆ แต่นั่นก็ยังทำให้ทุกคนเชื่อได้ว่ามันเป็นผลจากทักษะที่น่าประทับใจของธนูราชันย์ อย่างไรก็ตาม ในครั้งนี้โจวเหว่ยชิงได้เปิดใช้งานแสงสีดำจากทักษะคำสาปลงทัณฑ์ของเขาด้วยตัวเองอย่างชัดเจน ชิงเฉียนจึงตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าเด็กหนุ่มผู้มีมณี 3 ชุดนี้มีทั้งทักษะธาตุมืดและทักษะธาตุมิติ! นอกจากนี้ ทักษะของเขายังมีระดับดาวสูงมาก!
ชิงเฉียนไม่ใช่คนเดียวที่ประหลาดใจขณะได้เห็นทักษะคำสาปลงทัณฑ์ แม้แต่เหล่าบุคคลทรงพลังหลายคนบนแท่นนั่งของผู้ชมระดับสูงก็เผยสีหน้าตกใจออกมาไม่แพ้กัน
ซ่างกวนเทียนซินกล่าวด้วยความประหลาดใจ “ทักษะธาตุมืดและทักษะธาตุมิติรึ? ยิ่งไปกว่านั้น ทั้ง 2 ธาตุนี้ยังเป็นมหาทักษะธาตุที่ยิ่งใหญ่ ไม่น่าแปลกใจที่กลุ่มนักรบเฟยหลี่ให้ความสำคัญกับเขาถึงขนาดยอมให้จ้าวมณีสวรรค์ระดับ 3 ชุดเข้าร่วมการต่อสู้ที่สำคัญเช่นนี้ ก่อนหน้านี้เขายังเป็นหัวหน้ากลุ่ม แน่นอนว่านั่นเป็นความลับที่ถูกเก็บซ่อนไว้เป็นอย่างดี อืม ชายหนุ่มคนนี้ทำให้เราประหลาดใจได้มากมายจริงๆ”
หัวหน้าวังกักเก็บทักษะอย่างซ่างกวนหลงหยินกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ฝ่าบาท เราควรไปพบเขาหรือไม่?
ซ่างกวนเทียนซินโบกมือและพูดว่า “ ไม่ต้องรีบร้อนไป รอดูก่อนว่ากลุ่มนักรบเฟยหลี่จะไปได้ไกลแค่ไหน ดูเหมือนว่าสหายตัวน้อยคนนี้จะมีความลับอื่นๆ ซ่อนอยู่อีกมาก พวกเราค่อยตัดสินใจและดำเนินการหลังสำรวจให้แน่ใจก็แล้วกัน มหาทักษะธาตุ 2 ชนิดงั้นรึ นั่นหาได้ยากมากทีเดียว! ดูเหมือนว่ามณีธาตุของเขาจะเป็นไพฑูรย์สองสี อืม หลงหยิน รายงานเรื่องนี้ต่อวังสวรรค์ไพศาลด้วย เด็กหนุ่มเช่นนี้หาได้ยากมาก ตรวจสอบอายุปัจจุบันของเขาด้วย”
“ขอรับ ฝ่าบาท” ซ่างกวนหลงหยินพยักหน้าขณะที่ดวงตาของเขาปรากฏแววครุ่นคิด จากนั้นก็หันไปมองโจวเหว่ยชิงด้วยความสนอกสนใจมากขึ้น