เมื่อหลินเทียนอ้าวขึ้นเวทีและประกาศว่าพวกเขาจะแข่งขันกับกลุ่มนักรบตันตุ้น ทุกคนต่างก็ตกตะลึงกันไปทั้งจตุรัส แต่กลุ่มคนที่ประหลาดใจที่สุดย่อมเป็นสมาชิกกลุ่มนักรบตันตุ้น แน่นอนว่าไม่มีใครคาดคิดว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นจริง พวกเขาถูกจู่โจมโดยไม่รู้ตัวและไม่มีเวลาให้ทันได้ตอบสนองด้วยซ้ำ
ตามกฎงานประลอง เมื่อผู้ตัดสินประกาศให้เริ่มการต่อสู้ก็ถือว่าสายเกินไปแล้วที่จะเปลี่ยนตัวสมาชิกบนเวที ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้การแข่งขันมีความยุติธรรม สายเกินไปแล้วที่พวกเขาจะเปลี่ยนตัวผู้เข้าประลองคนแรก
หญิงสาวจากกลุ่มนักรบตันตุ้นที่นั่งอยู่ในเรือนพักของพวกเขาพูดอย่างกรุ่นคิดว่า “กลุ่มนักรบเฟยหลี่กำลังจะทำอะไรกันแน่?”
เด็กหนุ่มที่อยู่ข้างๆ เธอพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “พวกมันเป็นเพียงตัวอ่อนจั๊กจั่นที่พยายามเขยื้อนเสาหิน ก็เหมือนกับโยนหินถมทะเลนั่นแหละ ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร บางทีพวกมันอาจจะแค่ออกมาสู้พอเป็นพิธีเท่านั้น”
หญิงสาวส่ายหัวและพูดว่า “ไม่ มันไม่ง่ายอย่างนั้นแน่นอน ถ้าเป็นเจ้า เจ้าจะทำอะไรที่ไร้ประโยชน์เช่นนี้หรือไม่? หลานเฟิงแข็งแกร่งเป็นลำดับที่ 4 ในบรรดาสมาชิกหลักทั้ง 5 คน และหลินเทียนอ้าวก็ได้แสดงพลังของเขาออกมาเป็นที่ประจักษ์ในระหว่างการต่อสู้กับกลุ่มนักรบป่ายต้าแล้ว การต่อสู้ในรอบแรก กลุ่มของพวกเราอาจไม่จบลงด้วยชัยชนะ ดังนั้นรอบต่อไปให้เจ้าขึ้นไปลุยต่อ ตราบใดที่พวกเราชนะ 1 ใน 2 รอบแรก พวกเขาก็ไม่มีโอกาสแล้ว หากพึ่งเพียงจ้าวมณีสวรรค์ระดับ 3 ชุดที่ดูโดดเด่น 2 คนนั้น พวกเขาก็ไม่อาจต่อกรกับเราได้อยู่แล้ว”
“หัวหน้า พวกมันก็แค่กลุ่มนักรบเฟยหลี่ เราต้องจริงจังขนาดนี้เลยหรือ?” เด็กหนุ่มถามอย่างสงสัย
หญิงสาวแค่นเสียงและพูดว่า “เราต้องรอบคอบเพื่อความปลอดภัย ทำตามที่ข้าพูดซะ”
เมื่อมาถึงจุดนี้ ผู้ชมในจตุรัสก็เพิ่งรับรู้ว่ากลุ่มนักรบเฟยหลี่กำลังท้าทายกลุ่มนักรบตันตุ้น และความปั่นป่วนครั้งใหญ่ก็เกิดขึ้นท่ามกลางฝูงชนทันที แน่นอนว่ายังมีคนอีกนับไม่ถ้วนที่คร่ำครวญว่าเหตุใดตนไม่วางเดิมพันว่ากลุ่มนักรบเฟยหลี่จะต่อสู้กับกลุ่มตัวเต็ง
บนเวที หลังจากทั้งสองฝ่ายแนะนำตัว การต่อสู้ก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการทันที หลานเฟิงที่โกรธแค้นจากการถูกท้าทายก็จู่โจมก่อนทันที เขาไม่ได้ปลดปล่อยศาสตรามณียุทธ์ออกมา แต่กลับพุ่งออกไปด้วยความเร็วดุจสายฟ้าและจู่โจมหลินเทียนอ้าวด้วยฝ่ามือของเขา
แม้ว่ามันจะเป็นเพียงการฟาดฝ่ามือแบบธรรมดาๆ แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเขาในฐานะสมาชิกหลักของกลุ่มตัวเต็ง แม้เขาไม่ใช้ศาสตรามณียุทธ์และทักษะกักเก็บ แต่ในทันทีที่เริ่มการต่อสู้ เขาก็ยังคงสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว ไร้ความลังเลขณะที่เขาขยับตัวออกไป ราวกับว่าฝ่ามือของเขาพุ่งไปอยู่ตรงหน้าหลินเทียนอ้าวทันทีหลังจากที่ผู้ตัดสินประกาศเริ่มการแข่งขัน
ณ จุดนั้น ฝ่ามือของหลานเฟิงก็เปลี่ยนเป็นสีขาว
เมื่อพลังปราณของจ้าวมณีสวรรค์มาถึงขั้นทะลวงพิภพ เขาจะสามารถปลดปล่อยพลังปราณสวรรค์ออกมาจากร่างกายได้ แต่คราวนี้หลานเฟิงกลับไม่ได้ทำเช่นนั้น ในทางตรงกันข้าม เขากลับซ่อนมันไว้ในฝ่ามือของเขาแทน แน่นอนว่านั่นจะช่วยเพิ่มพลังในการโจมตีด้วยฝ่ามือของเขา ในเวลาเดียวกัน ความเร็วในการโจมตีก็จะขัดขวางไม่ให้หลินเทียนอ้าวได้ทันปลดปล่อยทักษะหรือเรียกศาสตรามณียุทธ์ออกมา หลินเทียนอ้าวจะทำได้เพียงรับการโจมตีของเขาเท่านั้น
หลินเทียนอ้าวไม่สามารถปลดปล่อยทักษะหรือเรียกศาสตรามณียุทธ์ออกมาได้ แต่ปฏิกิริยาของเขากลับไม่เป็นไปตามความคาดหมายของหลานเฟิง
หลินเทียนอ้าวไม่แม้แต่จะพยายามปิดกั้นฝ่ามือของหลานเฟิง แต่กลับยื่นหน้าอกของเขาออกมาเพื่อรับการโจมตี ในเวลาเดียวกัน ฝ่ามือขวาของเขาก็พุ่งออกไปที่ศีรษะของหลานเฟิงอย่างโหดเหี้ยม
หลินเทียนอ้าวสูงกว่าหลานเฟิงมาก และเมื่อทั้งคู่ใช้การโจมตีแบบเดียวกัน แม้ว่าการโจมตีของหลินเทียนอ้าวจะช้ากว่าเล็กน้อย แต่จุดที่พวกเขาโจมตีเข้าใส่ก็ยังแตกต่างกันมาก
เห็นได้ชัดว่าการโจมตีของหลานเฟิงจะโดนฝ่ายตรงข้ามก่อนและทำให้เขาเป็นฝ่ายได้เปรียบ อย่างไรก็ตาม ในกรณีนี้เขาจะโจมตีใส่หน้าอกของหลินเทียนอ้าวที่มีกล้ามเนื้อหนาแน่นทรงพลังและซี่โครงแข็งแกร่งคอยปกป้องเอาไว้ กระนั้น ฝ่ามือของหลินเทียนอ้าวกลับพุ่งเข้าที่ศีรษะของเขา ศีรษะซึ่งเป็นจุดที่อ่อนแอที่สุด และแม้ว่ามันจะไม่สามารถฆ่าเขาได้ในทันที แต่มันก็อาจทำให้เขามึนงงและไม่สามารถตอบสนองได้ชั่วขณะ
ในการทำเช่นนี้ หลินเทียนอ้าวกำลังใช้กลยุทธ์ล้อมเวยช่วยจ้าว [1] แสดงถึงประสบการณ์การต่อสู้และความสามารถในการต่อสู้ของเขา
อย่างไรก็ตาม หลานเฟิงก็ยังสามารถแสดงให้เห็นว่าเขาคู่ควรที่จะเป็นสมาชิกหลักของกลุ่มนักรบตันตุ้นและตอบสนองได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน เมื่อเห็นฝ่ามือของหลินเทียนอ้าวพุ่งเข้ามา เขาก็ตัดสินได้ทันทีว่าตนจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบหากพวกเขาแลกหมัดกันจริงๆ อย่างไรก็ตาม แทนที่จะล่าถอย เขากลับลงมือต่อไป หลานเฟิงเร่งความเร็วและก้มตัวต่ำลงทันที ในการทำเช่นนั้น เขาจะสามารถหลีกเลี่ยงการโจมตีของหลินเทียนอ้าวได้ในขณะที่การโจมตีของเขาจะเปลี่ยนตำแหน่งไปกระแทกลงที่ท้องของหลินเทียนอ้าวแทนที่จะเป็นหน้าอก
การเคลื่อนไหวของหลินเทียนอ้าวกลับง่ายดายกว่ามาก ในขณะที่หลานเฟิงปรับเปลี่ยนทิศทาง เข่าขวาของเขาก็กระแทกขึ้นราวกับว่าเขาคาดการณ์ทุกอย่างไว้ได้ล่วงหน้าแล้ว เข่าของเขาพุ่งเข้าใส่ฝ่ามือของหลันเฟิงที่กำลังจะปะทะกับท้องของเขาทันที ในเวลาเดียวกัน ฝ่ามือที่เฉียดศีรษะของหลานเฟิงออกไปก็กำลังลอยอยู่ด้านบน เขาเปลี่ยนมันเป็นหมัดแล้วฟาดลงไปที่แผ่นหลังของหลานเฟิงทันที
*ปั่ก* เสียงเข่าและฝ่ามือปะทะกันอย่างรุนแรง หลานเฟิงรู้ดีว่าการโจมตีของเขาถูกฝ่ายตรงข้ามกำจัดออกไปได้แล้ว เขาจึงใช้แรงปะทะเพื่อผลักตัวเองกลับ ก่อนจะกระโดดหนีไปอย่างรวดเร็วเมื่อหมัดของหลินเทียนอ้าวกระแทกลงมา หลังจากช่วงเวลานั้น ทั้ง 2 ก็พุ่งเข้าปะทะกันหลายครั้งก่อนจะกระเด็นออกจากกันในจังหวะที่ดูเหมือนว่าทั้งคู่เสมอกัน
แม้ว่าการปะทะกันอย่างรวดเร็วนี้จะเสร็จสิ้นลงในเวลาชั่วอึดใจเดียว แต่เสียงตะโกนโห่ร้องของผู้ชมก็ดังสนั่นหวั่นไหวขึ้นมาทันที
เมื่อเทียบกับการต่อสู้ก่อนหน้า การต่อสู้ครั้งนี้เป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นและเร้าใจมากเนื่องจากพวกเขาได้แสดงฝีมืออันน่าทึ่งระหว่างการแลกเปลี่ยนการโจมตีที่รวดเร็วซึ่งกันและกัน
ทั้งสองฝ่ายได้แสดงให้เห็นถึงพลังและทักษะของพวกเขาอย่างแท้จริง โดยหลานเฟิงได้ชิงลงมือบุกก่อน เขาใช้การจู่โจมอย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันไม่ให้หลินเทียนอ้าวได้ปลดปล่อยศาสตรามณียุทธ์และทักษะกักเก็บของเขา ด้านหลินเทียนอ้าวก็ใช้ประสบการณ์การต่อสู้อันน่าทึ่งของตัวเองจัดการกับฝ่ายตรงข้ามอย่างดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และทั้งสองฝ่ายก็สามารถโต้ตอบซึ่งกันและกันได้เกือบสมบูรณ์แบบโดยที่ทั้งสองฝ่ายไม่มีใครได้เปรียบหรือเสียเปรียบกันแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตาม ในแง่ของความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ หลานเฟิงล้มนั้นเหลวในการป้องกันหลินเทียนอ้าวและเสียเปรียบเล็กน้อยในแง่นั้น
ในสนามรบจริง จ้าวมณีสวรรค์จะไม่ปลดปล่อยพลังออกมาเต็มที่ตลอดเวลา และโดยปกติแล้วพวกเขาจะไม่ใช้ศาสตรามณียุทธ์หรือทักษะกักเก็บเว้นแต่ในกรณีที่จำเป็นจริงๆ เท่านั้น เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็มีพลังปราณสวรรค์ปริมาณจำกัด และในการต่อสู้ครั้งใหญ่ๆ สิ่งสำคัญคือต้องกักเก็บพลังไว้ให้มากที่สุด ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงมักจะใช้ความสามารถในการต่อสู้ของตัวเองร่วมกับพลังปราณสวรรค์ในการโจมตีเท่านั้น การปะทะกันสั้นๆ ระหว่างทั้งสองคนจึงได้แสดงให้เห็นถึงพลังที่แท้จริงของจ้าวมณีสวรรค์ในแบบฉบับที่ว่านี้
หลินเทียนอ้าวไม่ได้พยายามไล่ตามหลานเฟิงเมื่อเขาล่าถอย ในทางตรงกันข้าม มีแสงสีเหลืองเข้มข้นปรากฏขึ้นรอบตัวเขาขณะที่โล่ประสานทั้ง 5 ปรากฏขึ้นในมือ หลานเฟิงก็ไม่ได้โจมตีต่ออีกเช่นกัน เห็นได้ชัดว่ามีแสงเจิดจ้าขึ้นรอบๆ ตัวเขา แน่นอนว่าเขาก็นำศาสตรามณียุทธ์ของตนออกมาด้วยเช่นกัน
มณียุทธ์หยกหินมังกรสีเขียว 5 ดวงปรากฏขึ้นเป็นแสงเรืองรอง พวกมันรวมตัวกันอย่างรวดเร็วบริเวณขาทั้งสองข้างและแขนขวาของหลานเฟิง ขาทั้งสองข้างมีเกราะสีเขียวหุ้มอยู่เช่นเดียวกับแขนขวาและมือทั้งสองข้าง ในเวลาเดียวกัน ดาบสั้นสีเขียวก็ปรากฏขึ้นในมือขวาของหลานเฟิงทันที
เมื่อศาสตรามณียุทธ์ปรากฏขึ้นรอบๆ ร่างของหลานเฟิง สีหน้าของสมาชิกกลุ่มนักรบเฟยหลี่ที่เหลือในเรือนพักก็เปลี่ยนไปทันที
ดูจากมณียุทธ์ประเภทความว่องไวของเขา เห็นได้ชัดว่าหลานเฟิงผู้นี้เชี่ยวชาญในด้านความเร็ว อนิจจา ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการป้องกันขั้นสูงสุด ศัตรูที่เลวร้ายที่สุดของหลินเทียนอ้าวคือจ้าวมณีสวรรค์ประเภทความเร็วนั่นเอง
กลยุทธ์ของโจวเหว่ยชิงนั้นดีมาก พวกเขาจัดให้หัวหน้ากลุ่มออกไปต่อสู้กับสมาชิกที่อ่อนแอคนหนึ่งของกลุ่มนักรบตันตุ้น น่าเสียดาย พวกเขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าสมาชิกคนนี้จะเป็นประเภทที่เกิดมาเพื่อสยบหลินเทียนอ้าวโดยเฉพาะ
เมื่อรู้สึกถึงสายตาเป็นห่วงของเพื่อนร่วมกลุ่ม โจวเหว่ยชิงก็พูดเบาๆ ว่า “จับตาดูต่อไปเถอะ พวกเราเชื่อใจหัวหน้าได้อยู่แล้ว ข้ามั่นใจว่าเขาจะยังคว้าชัยชนะมาได้”
ทันทีที่หลานเฟิงปลดปล่อยศาสตรามณียุทธ์ของเขา หลินเทียนอ้าวก็ตอบสนองทันที เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วและเปลี่ยนตำแหน่งไปหันหลังชนมุมเวที
เขาได้ตัดสินใจเลือกสังเกตการณ์ทักษะธาตุของคู่ต่อสู้ในระยะไกลๆ กฎงานประลองมณีสวรรค์คือใครก็ตามที่ไม่ได้อยู่บนเวทีจะเป็นฝ่ายแพ้ และในการทำเช่นนี้ เขาจะสามารถลดความเป็นไปได้ที่หลันเฟิงจะใช้ความเร็วกับเขาและเหลือมุมไว้ให้อีกฝ่ายใช้โจมตีเขาน้อยลง
แน่นอนว่าหลานเฟิงไม่สามารถใช้ความเร็วโจมตีเขาจากด้านหลังได้ แต่นั่นก็จะเปิดโอกาสให้หลานเฟิงผลักเขาลงจากเวทีได้ในเวลาเดียวกัน หลินเทียนอ้าวจึงพยายามใช้ประโยชน์จากกฎของงานประลองอย่างเต็มที่และกำจัดข้อเสียของเขาออกไปให้มากที่สุด
ในขณะนั้นหลานเฟิงก็ได้ลงมืออีกครั้ง แม้ว่าร่างกายของเขาดูเหมือนจะขยับเพียงเล็กน้อยก็ตาม ในเวลาต่อมา เขาก็พุ่งตัวเข้ามาปิดช่องว่างเกือบ 20 หลาในพริบตาเดียว ดาบสั้นในมือของเขาสะบัดออกราวกับสายฟ้าฟาด เร็วเกินกว่าที่มนุษย์ทั่วไปจะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าด้วยซ้ำ
การโจมตีด้วยดาบของหลานเฟิงไม่ได้มุ่งเป้าหมายไปที่หลินเทียนอ้าว แต่กลับฟาดลงไปยังพื้นบริเวณที่หลินเทียนอ้าวยืนอยู่ หลินเทียนอ้าวนั้นยืนอยู่ใกล้ขอบเวที ดังนั้นแผนการของหลานเฟิงคือทำลายพื้นเวทีและทำให้เขาเสียการทรงตัวจนร่วงลงไป
เกิดเสียงดังกึกก้องเมื่อดาบสั้นของหลานเฟิงฟาดลงกับพื้น ด้วยระดับพลังปราณและพลังของเขา หลานเฟิงจึงสามารถตัดผ่านหินเพชรที่เป็นของแข็งได้โดยธรรมชาติ แต่ในช่วงเวลานั้น ดาบสั้นของเขากลับถูกปิดกั้นเอาไว้ แน่นอนว่ามันไม่ได้ถูกปิดกั้นด้วยหินเพชร แต่เป็นเกราะหนักของหลินเทียนอ้าว
เมื่อฝุ่นคลุ้งได้สลายตัวออกไปหมดแล้ว ผู้ชมก็พลันสังเกตเห็นว่าโล่ประสาน 5 ชิ้นได้ปักลึกลงไปที่พื้นอย่างโหดเหี้ยมเพื่อปิดกั้นการโจมตีของมีดสั้นได้อย่างสมบูรณ์แบบ หลานเฟิงแกว่งดาบขึ้นไปข้างบน ลากมันเสียดสีกับโล่ทำให้เกิดประกายไฟกระเซ็นออกมา ร่างกายของเขาดูคล้ายหมอกควันในขณะที่ปลดปล่อยการโจมตีกะทันหันกว่า 100 ครั้งจากทุกมุมที่เป็นไปได้ เขาเหมือนวิญญาณที่ลอยละล่องไปมาขณะมองหามุมที่เป็นจุดอ่อนของโล่ป้องกันหลินเทียนอ้าว
ในขณะนั้น หลินเทียนอ้าวก็แสดงให้เห็นว่าเขาคู่ควรกับพลังป้องกันขั้นสุดยอดของเขามากแค่ไหน เมื่อเผชิญหน้ากับการจู่โจมอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องจากมุมต่างๆ จำนวนมาก เขากลับไม่ได้เผยท่าทีตื่นตระหนกออกมา หลินเทียนอ้าวอาจจะไม่เร็วเท่าคู่ต่อสู้ แต่เพียงแค่เขาขยับโล่ขนาดใหญ่เล็กน้อยในเวลาและตำแหน่งที่เหมาะสม แม้ว่าดาบของหลานเฟิงจะสามารถเอี้ยวหลบเข้ามาด้านหลังโล่ได้ มันก็ถูกปัดออกไปอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่สามารถแทรกตัวผ่านโล่ไปด้านหลังและเข้าถึงตัวหลินเทียนอ้าวได้อย่างที่หวัง
แท้จริงแล้วหลานเฟิงก็คู่ควรกับภูมิหลังในมหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์จริงๆ การโจมตีรุกเร้าของเขาประสานกันได้เป็นอย่างดีจนเกือบจะเรียกว่าสมบูรณ์แบบ อีกทั้งท่าทางของเขายังเฉียบคมและเด็ดขาด ไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นถึงความเร็วและความคล่องตัวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความสามารถในการตัดสินใจของเขาด้วย แม้แต่จ้าวมณีสวรรค์ประเภทป้องกันขั้นสุดยอดอย่างหลินเทียนอ้าวก็ถูกบังคับให้ตั้งสมาธิรับการโจมตีอย่างเต็มที่และใช้ความพยายามทั้งหมดเพื่อสกัดกั้นเขาเอาไว้ อย่างไรก็ตาม หลานเฟิงก็ยังลงมือต่อไป ปลดปล่อยพายุการโจมตีราวกับว่ามันไม่ได้ทำให้เขาสูญเสียพลังปราณสวรรค์ใดๆ เลยแม้แต่น้อย การโจมตีของเขาดูพลิ้วไหวสวยงาม แผ่กระจายไปรอบด้านและโอบล้อมศัตรูไว้ทั้งหมด ในขณะที่หลานเฟิงปลดปล่อยระบำแห่งความตายออกมาก็ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ชะลอตัวลงแม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้าม เขากลับค่อยๆเร่งความเร็ว เพิ่มระยะและมุมในการโจมตีขึ้นเรื่อยๆ จนมีหลายครั้งที่เขาเกือบจะแทรกตัวผ่านโล่ของหลินเทียนอ้าวและเข้าถึงตัวอีกฝ่ายได้อย่างหวุดหวิด
เมื่อทั้งสองฝ่ายปะทะกันอย่างรวดเร็ว พลังปราณสวรรค์ของพวกเขาทั้งสองก็ถูกใช้ไปในอัตราที่สูงมาก อย่างไรก็ตาม หากสังเกตสีหน้าของพวกเขา ผู้ชมก็จะเห็นว่าใบหน้าของพวกเขาทั้งคู่ล้วนฉายแววมุ่งมั่นอยู่เต็มเปี่ยม ดวงตาของทั้งคู่ดูจริงจังและแน่วแน่ เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครยอมถอยจนกว่าจะถึงจุดจบแน่นอน
ในเรือนพักอาณาจักรตันตุ้น หญิงสาวที่เป็นผู้นำเอียงศีรษะเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “หลินเทียนอ้าวผู้นี้น่าประทับใจจริงๆ การที่เขาสามารถใช้รูปแบบการต่อสู้แบบตั้งรับได้เช่นนี้ ใช้ชุดประสานศาสตรามณียุทธ์ได้อย่างสมบูรณ์แบบเช่นนี้ นั่นไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยทีเดียว ถ้าเขาสามารถยืนหยัดฝึกตนต่อไปในเส้นทางนี้จนถึงระดับมณี 9 ชุด พลังป้องกันของเขาย่อมต้องน่ากลัวอย่างแท้จริง”
………………………………………………………….
[1] กลยุทธ์ล้อมเวยช่วยจ้าว 围魏救赵 เป็นหนึ่งในกลศึกสามก๊ก กลยุทธ์ที่หมายถึงการที่ศัตรูรวบรวมกำลังทหารและไพร่พลไว้เป็นจุดศูนย์กลาง ทำให้เกิดกำลังและความเข้มแข็งเพิ่มมากขึ้น ควรที่จะใช้กลยุทธ์ในการดึงแยกศัตรูให้แตกออกจากกัน เพื่อให้กำลังไพร่พลทหารกระจัดกระจาย คอยระแวดระวังมีความห่วงหน้าพะวงหลังแล้วจึงบุกเข้าโจมตี