อนิจจา สำหรับซ่างกวนหลงหยินนั้น เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าแม้โจวเหว่ยชิงจะไม่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับจ้าวมณีสวรรค์จากอาจารย์ของเขา แต่เขาก็ได้เรียนรู้ทั้งประสบการณ์ข้างถนนและทักษะเอาชีวิตรอดจากตาแก่คนนั้น นอกจากนี้ยังมี… ศิลปะการเป็นอันธพาล นักต้มตุ๋นหลอกไถเงิน การเล่นละครตบตา ถ้ำมองผู้หญิงอาบน้ำ…ทักษะดังกล่าวได้รับการขัดเกลามาเสียจนเด่นชัด
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเขาเติบโตขึ้น ทักษะเหล่านี้ก็ถูกเก็บงำเอาไว้อย่างดี ลึกลงไปถึงกระดูกดำและไม่อาจตรวจพบได้ง่ายๆ จากการสังเกตภายนอกเพียงอย่างเดียว โจวเหว่ยชิงนั้นอันตรายมากกว่าที่คนอื่นคิดอย่างไม่ต้องสงสัย…บางทีคำว่าเจ้าเล่ห์ปลิ้นปล้อนอาจจะเหมาะสมกว่าด้วยซ้ำ
เมื่อเขาได้ยินว่าซ่างกวนหลงหยินต้องการวิชาเทพอมตะ หัวใจของโจวเหว่ยชิงแทบจะระเบิดออกมาด้วยความสุขสม วิชาเทพอมตะนั้นมหัศจรรย์มาก แต่ในความเป็นจริงแล้ว ถ้ามีทางเลือกมีใครบ้างจะอยากเต็มใจฝึกวิชาบ้าๆ แบบ นี้? ถ้าไม่ใช่เพราะไข่มุกดำที่เขากลืนกินเข้าไปเมื่อนานมาแล้ว โจวเหว่ยชิงก็คงตายไปหลายครั้งจากการฝึกวิชานี้
อาจกล่าวได้ว่าวิชานี้ไม่มีประโยชน์สำหรับคนส่วนใหญ่ แม้แต่อัจฉริยะที่โดดเด่นก็ตาม เพราะถึงการทะลวงจุดตายเพียงไม่กี่ครั้งจะไม่ก่อให้เกิดปัญหาใดๆ แต่พวกเขาจะสามารถทนไปได้ตลอดทางจริงหรือ? ในความเป็นจริงโจวเหว่ยชิงไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าจะสามารถทำสำเร็จได้ด้วยตัวเอง แต่ตอนนี้เขาก็ดันติดอยู่ในเส้นทางนี้แล้ว ทั้งยังไม่มีทางเลือกอื่นอีกด้วย
วิธีการฝึกปราณแบบฆ่าตัวตายเช่นนี้จะคุ้มค่าแค่ไหนกัน? มันเป็นเรื่องมหัศจรรย์ก็จริง แต่คงไม่มีใครอยากตายจากการฝึกฝนหรอก!
แน่นอนโจวเหว่ยชิงคงไม่พูดเรื่องนี้ในตอนนี้…ข้ออ้างของเขาก็คือ…ซ่างกวนหลงหยินไม่ได้ถามต่อ!
หากเขาสามารถใช้วิชาเทพอมตะเพื่อแลกเปลี่ยนกับสมบัติชิ้นสำคัญบางอย่าง นั่นจะเป็นผลกำไรมหาศาลสำหรับเขาเลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม นั่นคือครอบครัวของพ่อตาในอนาคตของเขา และเขาก็จะทำการแลกเปลี่ยนกับความสามารถของตัวเอง…เหตุใดจะทำไม่ได้ล่ะ?
ด้วยเหตุนี้ โจวเหว่ยชิงจึงหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความหวังลงไป ถ้ามู่เอินมาที่นี่และเห็นท่าทางกลัดกลุ้มของเขา…ตาแก่นั่นจะรู้ได้ทันทีว่านี่คือจุดเริ่มต้นของศิลปะการปอกลอกของเจ้าตัวนั่นเอง
โจวเหว่ยชิงขมวดคิ้วราวกับอยู่ในห้วงความคิด หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ดูเหมือนว่าเขาจะตัดสินใจได้ ใบหน้าของเขาดูจริงจังขึ้นหลายส่วน “ผู้อาวุโสซ่างกวน มีบางอย่างที่ข้าต้องบอกท่าน คู่หมั้นของข้าชื่อซ่างกวนปิงเอ๋อร์ หากข้าจำไม่ผิดนางเป็นลูกสาวของหนึ่งในบุคคลระดับสูงของวังสวรรค์ไพศาล ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ ในที่สุดพวกเขาก็ได้พบกันและบิดาของนางก็พานางไปโดยบอกว่าข้าไม่มีคุณสมบัติที่จะแต่งงานกับลูกสาวของเขา หาไม่แล้ว ข้าก็คงจะไม่เปิดเผยไพ่ตายของตนเองในการสู้แลกชีวิตกับปีศาจน้อยเซินในวันนี้แน่ เพื่อพิสูจน์ตัวเองกับบิดาของนาง เพื่อพิสูจน์ว่าข้ามีพลังที่จะปกป้องปิงเอ๋อร์ วันนี้ข้าเกือบตายบนเวทีเลยทีเดียว ข้าสามารถยกวิชาเทพอมตะนี้ให้ท่านได้ แต่ข้ามีเงื่อนไขอยู่ 2 ข้อ”
สีหน้าของซ่างกวนหลงหยินเปลี่ยนเป็นลำบากใจและยิ้มอย่างขมขื่น เขากล่าวว่า “ถ้าเป็นสินค้าหรือสมบัติใดๆ ข้าสามารถตัดสินใจได้อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม แม่นางปิงเอ๋อร์อยู่นอกเหนือการควบคุมของข้า เนื่องจากนางเป็นลูกสาวของรองจ้าววัง หรือก็คือหลานสาวของท่านจ้าววังของเรา การแต่งงานกับนางไม่ใช่เรื่องง่ายและข้าก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจเช่นนั้นแทนรองเจ้าวัง”
โจวเหว่ยชิงถอนหายใจและกล่าวว่า “เดิมทีข้าต้องการมอบวิชาเทพอมตะเป็นของขวัญแต่งงาน แต่เมื่อท่านพูดเช่นนั้น ข้าก็ปล่อยเรื่องนี้ไว้ก่อน อย่างไรก็ตาม ข้าก็มั่นใจว่าจะสามารถพิชิตใจพ่อตาในอนาคตของข้าได้ด้วยความจริงใจและพลังของตัวเอง” ความจริงเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะใช้วิชาเทพอมตะแลกเปลี่ยนกับปิงเอ๋อร์ ไม่ต้องพูดถึงความจริงที่ว่าซ่างกวนเทียนเยว่อาจไม่เห็นด้วย แต่โดยส่วนตัวแล้วเขาย่อมรู้สึกว่าการทำเช่นนั้นเป็นการกระทำของคนขี้ขลาด โจวเหว่ยชิงจึงจะใช้ความสามารถของตัวเองเพื่อพิสูจน์ให้ซ่างกวนเทียนเยว่เห็นว่าเขาสามารถปกป้องปิงเอ๋อร์ได้ ทั้งยังคู่ควรกับเธอ!
สำหรับเหตุผลที่เขาเริ่มต้นด้วยเรื่องนี้ในการเจรจากับซ่างกวนหลงหยิน ก็อย่างที่มีคนเคยกล่าวเอาไว้นั่นแหละ หากเปิดราคาสูงในตอนเริ่มแล้วไซร้ เจ้าก็จะมีสิทธิ์ต่อรองมากกว่า!
“เนื่องจากท่านไม่สามารถยอมรับเงื่อนไขแรกได้ เช่นนั้นเรามาพูดถึงเงื่อนไขที่สองกัน ก่อนหน้านี้ท่านบอกว่ามีถ้ำมังกร 13 แห่งบนเกาะมณีสวรรค์…นั่นหมายความว่าท่านมีมังกรทั้งหมดอยู่ด้วยใช่หรือไม่? วิชาเทพอมตะของข้าเป็นสมบัติล้ำค่าอย่างแน่นอน เช่นนั้นข้าจะเอาไปแลกกับการเลี้ยงมังกรสักตัว…นั่นคงไม่มากไปใช่หรือไม่? อ่า…ถ้าข้ามีทักษะปรมาจารย์อสูรแห่งภูเขาหิมะสวรรค์ใช้ควบคุมมังกรก็คงจะดีกว่านี้”
เมื่อได้ยินคำพูดของโจวเหว่ยชิง ซ่างกวนหลงหยินก็เหงื่อตก ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าโจวเหว่ยชิงมีสีหน้าซื่อตรง ดูไม่หลอกลวงหรือเจ้าเล่ห์ อีกทั้งเด็กหนุ่มยังมองใบหน้าของเขาราวกับว่าตนปราถนาเช่นนั้นจริงๆ ซ่างกวนหลงหยินก็คงคิดว่าคนๆ นี้กำลังหลอกลวงและเยาะเย้ยเขาไปแล้ว
“เจ้าคิดว่ามังกรคืออะไรงั้นรึ? แม้ว่าเราจะมีมังกรจริงๆ แต่พวกเราจะมอบให้เจ้าได้อย่างไร! นั่นคือสัญลักษณ์ของเรา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของเรา!”
โจวเหว่ยชิงเบิกตากว้างมองเขาอย่างไร้เดียงสาด้วยสีหน้าประหลาดใจ “ผู้อาวุโสซ่างกวน ท่านหมายความว่าวิชาเทพอมตะของข้าไม่ค่าไม่เท่าเทียมกับมังกร? ไม่ว่ามังกรจะมีชีวิตอยู่นานแค่ไหน มันก็จะตายในวันหนึ่งอยู่ดี…แต่วิชาเทพอมตะของข้าสามารถสืบทอดได้ตลอดไป แลกกับมังกรเพียงตัวหนึ่งก็ถือว่าข้าขาดทุนแล้ว!”
“นี่…” ซ่างกวนหลงหยินลังเล ก่อนหน้านี้เมื่อเขาปฏิเสธโจวเหว่ยชิง ชายหนุ่มไม่ได้คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตอนนี้เมื่อได้ยินข้อโต้แย้งของโจวเหว่ยชิง เขาก็กลับน้ำท่วมปาก อันที่จริงสิ่งที่โจวเหว่ยชิงพูดมาก็เป็นความจริง ด้วยวิธีฝึกปราณที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้ หากวังสวรรค์ไพศาลสามารถคว้ามันมาไว้ในมือได้ แม้ว่าสมบัติของเกาะมณีสวรรค์จะถูกใช้หมดในอนาคต พวกเขาก็ยังคงสามารถเป็น 1 ใน 5 มหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้ต่อไปอยู่ดี
ซ่างกวนหลงหยินพลันตระหนักได้ว่าสถานการณ์กำลังหลุดออกจากการควบคุมของเขา ชายหนุ่มขมวดคิ้วพลางพูดว่า “เหว่ยชิง เจ้าไม่อาจกล่าวเช่นนั้นได้ ไม่เกี่ยวกับว่าวิชาเทพอมตะของเจ้าจะมีค่าน้อยกว่ามังกรหรือไม่ แต่สำหรับวังสวรรค์ไพศาล มังกรมีความสำคัญสูงสุดต่อพวกเรา นี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้าสามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง เกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้าจะกลับไปรายงานต่อ 2 จ้าววังและองค์จักรพรรดิให้พวกเขาเป็นฝ่ายตัดสินใจ งานประลองมณีสวรรค์จะยังคงดำเนินต่อไปอีกระยะหนึ่ง และข้าจะตามหาเจ้าหลังจากที่ได้รับคำตอบแล้ว”
หลังจากพูดเช่นนั้น ซ่างกวนหลงหยินก็โบกมือและกำแพงแสงสีขาวก็หายวับไปทันที ในช่วงเวลาต่อมา เขาหายไปจากระยะสายตาของโจวเหว่ยชิงอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
ตอนนี้ถึงเวลาที่โจวเหว่ยชิงเป็นฝ่ายเบิกตาโพลงพลางอ้าปากค้าง ความจริงเขาไม่ได้ต้องการมังกรด้วยซ้ำ ถึงอย่างไรในความคิดของเขานั่นก็ย่อมเป็นคำขอที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เหตุผลที่เขานำเรื่องปิงเอ๋อร์และมังกรออกมาพูดก็เป็นเพียงเคล็ดลับในการต่อรองเพื่อให้ข้อเสนอเริ่มต้นของเขาดู ‘แพง’ ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ก่อนจะเริ่มการต่อรองที่แท้จริง อนิจจา ใครจะไปคิดว่าหัวหน้าวังกักเก็บทักษะผู้นี้จะตรงไปตรงมายิ่งนัก นอกจากนี้ยังดูเหมือนว่าเขาจะให้ความสำคัญกับวิชาเทพอมตะอย่างแท้จริง ก่อนที่จะจากไปชายหนุ่มจึงไม่ได้ใส่ใจจะต่อรองกับเขาด้วยซ้ำ
โจวเหว่ยชิงรู้สึกมาโดยตลอดว่าความสามารถในการต่อรองและ “การควบคุม” ของเขาอยู่ในระดับสูงสุดแล้ว แต่เขาก็ยังคงพูดไม่ออกกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ถึงกระนั้น สิ่งนี้ก็ทำให้เขาประทับใจในตัวซ่างกวนหลงหยินมากยิ่งขึ้น อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ยังดูจริงใจต่อเขามากทีเดียว
เจ้าแมวอ้วนคลานออกมาจากมุมด้านล่างเบาะนั่งด้านหลังเรือนพัก เธอ (มัน) ดูเปรอะเปื้อนมอมแมมทว่าสงบนิ่งไม่กระวนกระวาย สายตาฉายของเธอแววแปลกประหลาดขึ้นมา ก่อนหน้านี้เธอตะเกียกตะกายอยู่ใต้เบาะนั่งและพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ซ่างกวนหลงหยินหาตนเองไม่พบ แม้ว่าจะไม่มีใครได้ยินคำพูดของซ่างกวนหลงหยินกับโจวเหว่ยชิง แต่เธอกลับได้ยินทุกอย่างชัดเจน
สมาชิกกลุ่มนักรบเฟยหลี่กลับไปที่เรือนพัก พวกเขาไม่ได้สนใจการต่อสู้อื่นๆ ในงานประลองอีกต่อไป ทันทีที่อู่ หยาเข้ามา เธอก็วิ่งไปหาโจวเหว่ยชิงพร้อมกับยื่นแขนเข้าไปกอดเขาพลางตะโกนว่า “เหว่ยชิง ข้ารักเจ้า!”
โจวเหว่ยชิงตกใจ เขาถดตัวหนีอย่างรวดเร็วขณะที่เอ่ยว่า “อู่หยา เจ้ากำลังจะทำอะไร? ข้ายังบาดเจ็บอยู่นะ!”
อู่หยายิ้มและพูดว่า “ฮิๆ! เหว่ยชิง พวกเรารวยแล้ว! มาเถอะ ไปเก็บเงินของพวกเรากัน…จะเกิดอะไรขึ้นหากพวกเขาผิดสัญญา? มันจะเป็นเรื่องจริงก็ต่อเมื่อเราได้เงินมาไว้ในมือเท่านั้น!”
เมื่อได้ยินคำพูดของหญิงสาว ดวงตาของโจวเหว่ยชิงก็สว่างวาบขึ้นทันที ใช่แล้ว! ถึงอย่างไรได้เงินมาอยู่ในมือโดยเร็วที่สุดก็ปลอดภัยกว่า…ทว่า…บ้าเอ้ย! นั่นคือเงินหนึ่งร้อยล้านเหรียญทองเชียวนะ!
โจวเหว่ยชิงถึงกับตกใจเมื่อคิดถึงตัวเลขนั้น เขากลืนน้ำลายพลางอุทานว่า “แล้วจะรออะไรอีกล่ะ? ไปเร็ว!”
เมื่อเขาพูดอย่างนั้น เขาก็พุ่งไปข้างหน้าทันที เจ้าแมวอ้วนกระโดดขึ้นจากทา
ด้านหลัง เกาะเสื้อผ้าแล้วขึ้นไปยืนบนไหล่ก่อนจะมุดกลับเข้าไปในอกเสื้อของเขาเหมือนเคย
ดวงตาของสมาชิกกลุ่มนักรบเฟยหลี่ทั้งหมดดูคล้ายจะลุกเป็นไฟ แม้ว่าเงินรางวัลของพวกเขาจะน้อยเมื่อเทียบกับโจวเหว่ยชิงและอู่หยา แต่นั่นก็ยังคงเป็น 1,000,000 เหรียญทองซึ่งเป็นจำนวนมหาศาลอยู่ดี!
ขณะกลุ่มนักรบเฟยหลี่จากไป การต่อสู้บนเวทีก็ยังคงดำเนินต่อไปเช่นกัน ไม่นานชายชราคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหาซ่างกวนเทียนซินอย่างเนิบนาบ
“ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องจะกราบทูลรายงาน” เขากล่าวอย่างนุ่มนวล
ซ่างกวนเทียนซินกำลังจิตใจไม่สงบ การต่อสู้ระหว่างโจวเหว่ยชิงและปีศาจน้อยเซินนั้นกวนใจเขาอยู่ตลอดเวลา
หลังจากการต่อสู้จบลง ซ่างกวนหลงหยินก็ผละไปเช่นกัน ดังนั้นองค์จักรพรรดิจึงถูกปล่อยให้รอข่าวอย่างร้อนรน และนั่นก็ทำให้เขาไม่มีอารมณ์ชมดูการต่อสู้อื่นๆ อีกต่อไป
เมื่อได้ยินเสียงของชายชรา ซ่างกวนเทียนซินก็หันกลับมา เป็นเสนาบดีกรมพระคลังของเขานั่นเอง “จางถัง มีอะไรรึ?”
เสนาบดีกรมพระคลัง จางถังยิ้มอย่างขมขื่นและกล่าวว่า “ฝ่าบาท สมาชิกกลุ่มนักรบเฟยหลี่ทุกคนเดิมพันการต่อสู้ของพวกเขาเมื่อเช้านี้เป็นเงินจำนวนมาก…โจวเหว่ยชิงเพียงคนเดียวเดิมพันถึงล้านเหรียญทอง ขณะนี้พวกเขามาที่นี่เพื่อขึ้นเงินรางวัลของพวกเขา และมันก็ไม่ใช่เงินก้อนเล็กๆ เลย ฝ่าบาทจะทรงตัดสินพระทัยอย่างไรพะย่ะค่ะ?”
อัตราต่อรองถูกกำหนดโดยอาณาจักรจ้งเทียนและการเดิมพันทั้งหมดก็ถูกควบคุมโดยพวกเขา พวกเขาสามารถเจรจาไกล่เกลี่ยได้อย่างง่ายดายหากต้องการ มีอย่างน้อย 10 วิธีที่พวกเขาสามารถใช้เพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายเงินออกไปได้
ซ่างกวนเทียนซินชะงัก มุมปากของเขาก็กระตุกเล็กน้อย หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็พูดว่า “ มอบให้พวกเขาไปเถอะ ในฐานะอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ พวกเราจะไม่ยอมเสียหน้าเด็ดขาด หากติดหนี้ก็ต้องจ่ายคืน”
หลงจางถังลังเลสักพักก่อนจะพูดว่า “ฝ่าบาท นั่นคือเกือบ 7 ใน 10 ของรายได้ประจำปีของเราเลยนะพะย่ะค่ะ! ผลกำไรทั้งหมดของเราจากการเดิมพันงานประลองมณีสวรรค์ในปีนี้แทบจะไม่ถึง 160 ล้านเหรียญทองด้วยซ้ำ หากเราจ่ายออกไปหนึ่งร้อยล้านเหรียญทอง เราก็เปลืองแรงโดยเปล่าประโยชน์อย่างแท้จริง”
ซ่างกวนเทียนซินแค่นเสียงและพูดว่า “ แล้วเจ้าจะทำอย่างไรล่ะ? กลับคำพูดรึ? พวกเขาต่อสู้และชนะด้วยพลังของตัวเอง จ้าวมณีสวรรค์ระดับ 3 ชุดเอาชนะจ้าวมณีสวรรค์ระดับ 6 ชุด…นั่นไม่ใช่แค่ปาฏิหาริย์ แต่ยังแสดงให้เห็นถึงพลังและความสามารถของเขา ไปเถอะ ทำตามที่ข้าบอกก็แล้วกัน”
“พะย่ะค่ะฝ่าบาท” หลงจางถังไม่กล้าประท้วงอีก เขาจากจากไปอย่างรวดเร็วหลังได้รับคำสั่ง
เมื่อเสนาบดีกรมพระคลังของเขาจากไป ซ่างกวนเทียนซินก็หันกลับมาส่ายหัวเบาๆ เขาพึมพำกับตัวเอง “เจ้าเด็กเหลือขอนี่! เจ้ากำลังพยายามหาสินสอดให้ปิงเอ๋อร์ใช่หรือไม่? เงินของอาณาจักรจ้งเทียนไม่ได้เอากลับไปได้ง่ายๆ หรอกนะ หลงหยินอยู่ที่ไหน? เกิดอะไรขึ้น นี่ก็ผ่านไปนานแล้ว เหตุใดเขายังไม่กลับมาหาข้าอีก?”
…………………………………………………………..