พลุส่งสัญญาณที่เป็นเอกลักษณ์ของวังสวรรค์ไพศาลมีพื้นที่ให้แสดงผลค่อนข้างมาก และเมื่อมันถูกปล่อยขึ้นไปในอากาศ ทุกคนก็สามารถมองเห็นมันได้อย่างชัดเจน สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ที่สุดก็คือแม้ระเบิดแสงครั้งแรกจะสลายไปแล้ว แต่มันก็จะยังคงทิ้งร่องรอยแสงสว่างไว้เป็นเวลานานเพื่อเป็นการนำทาง
อย่างที่โบราณเคยกล่าวไว้ มองภูเขาไกลลิบขณะรถม้าวิ่งอาจฆ่าม้า[1] โดยเฉพาะอย่างยิ่งในป่าทึบเช่นเดียวกับที่โจวเหว่ยชิงและแม่มดน้อยกำลังมุ่งหน้าผ่านไปพร้อมๆ กับฟื้นฟูพลังปราณสวรรค์ของพวกเขาไปด้วย ทั้งหมดจึงใช้เวลาไปมากกว่า 1 ชั่วโมงก่อนที่พวกเขาจะเข้าใกล้สัญญาณไฟได้ในที่สุด ตอนนี้ทุกคนจึงสามารถจินตนาการได้แล้วว่าเขตแดนมิติสะท้อนนั้นกว้างใหญ่แค่ไหน
ในระยะไกลๆ โจวเหว่ยชิงและแม่มดน้อยสามารถสัมผัสถึงความผันผวนอย่างรุนแรงของพลังปราณสวรรค์ได้ ในเวลานี้พวกเขาไม่ต้องอาศัยแม้แต่การนำทางสัญญาณไฟ เพราะเพียงแค่ความผันผวนของพลังปราณสวรรค์อย่างเดียวก็สามารถนำพวกเขาไปสู่เป้าหมายได้แล้ว
คนทั้งสองแลกเปลี่ยนสายตากัน ไม่มีใครเร่งความเร็วอีก และทั้งคู่ก็ค่อยๆ ชะลอตัวลง
“พลังปราณสวรรค์ของเจ้าฟื้นคืนมาเท่าไหร่แล้ว?” โจวเหว่ยชิงถามแม่มดน้อย ใน 1 ชั่วโมงนี้ พลังปราณสวรรค์ของเขาเองได้ฟื้นตัวจนกลับมาถึงจุดสูงสุดแล้ว
แม่มดน้อยพยักหน้าและพูดว่า “พลังของข้าฟื้นฟูแล้วประมาณ 6-7 ใน 10 ส่วนแล้ว ดังนั้นจึงไม่น่าจะมีปัญหาในการต่อสู้”
โจวเหว่ยชิงกล่าวว่า “ระวังไว้ก่อนดีกว่า หากสมาชิกกลุ่มนักรบจ้งเทียนใช้พลุสัญญาณของพวกเขา มันจะต้องเป็นสิ่งที่สำคัญหรือทรงพลังมากจริงๆ หากไม่ใช่อสูรสวรรค์ที่ทรงพลังมากก็อาจเป็นสมาชิกกลุ่มนักรบวั่นโซ่ว เราไม่ควรรีบร้อนลงมือ อย่างไรก็เฝ้าจับตาดูก่อนว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
“ข้าจะเชื่อฟังเจ้า” แม่มดน้อยกล่าวด้วยท่าทางที่น่ารักและเชื่อฟัง ทำให้โจวเหว่ยชิงชะงักไปชั่วขณะ ท้ายที่สุดแล้วเสือดาวก็มักจะไม่ทิ้งลาย เช่นเดียวกับนิสัยชมชอบสาวงามของ “ใครบางคน”
ทั้งคู่เดินต่อไปอย่างช้าๆ อย่างระมัดระวัง และขณะที่พวกเขาทำเช่นนั้น ความผันผวนของพลังปราณสวรรค์ก็ทวีความรุนแรงขึ้น และพวกเขาก็สามารถได้ยินเสียงกระทบกระทั่งที่ดังมาจากทางด้านหน้า
หลังจากเดินไปอีกประมาณ 30 หลา เมื่อพวกเขามองลอดต้นไม้จำนวนมากเข้าไป โจวเหว่ยชิงก็อดไม่ได้ที่จะตกใจกับภาพที่เห็นเบื้องหน้า
สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าเขาเกินความคาดหมายไปมากทีเดียว แต่สิ่งที่เขาจินตนาการไว้ก็เป็นจริงเช่นกัน!
ท่ามกลางป่าทึบปรากฏที่ราบขนาดใหญ่เบื้องหน้าเขา และในขณะนี้ก็มีผู้คนจำนวนมากกำลังต่อสู้อยู่ในที่โล่งนั้น
มีกลุ่มนักรบต่อสู้กันอยู่ไม่กี่กลุ่ม แต่คู่ที่รุนแรงที่สุดในหมู่พวกเขาคือหัวหน้ากลุ่มนักรบจ้งเทียนคนปัจจุบัน จ้านหลิงเทียน และหัวหน้ากลุ่มอาณาจักรวั่นโซ่วซึ่งเป็นชายหนุ่มในชุดขาว ทั้งสองปะทะกันกลางอากาศทำให้เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นหลายครั้ง ชายหนุ่มทั้งสองเคลื่อนไหวด้วยความเร็วระดับสูงสุด และด้วยพลังของโจวเหว่ยชิง เขาก็คงจะรู้สึกกดดันอย่างมากหากต้องมองตามการเคลื่อนไหวของพวกเขาด้วยสายตา ทว่าเด็กหนุ่มก็ยังสามารถมองเห็นมณี 7 ชุดอย่างเลือนลางรอบๆ ข้อมือของพวกเขาได้
การไปถึงมณีระดับ 7 ชุดก่อนอายุ 30 ได้นั้นใกล้เคียงกับความเป็นไปได้สูงสุดบนโลกใบนี้แล้ว
แสงสว่างเจิดจ้าของพลุสัญญาณไฟด้านบนเริ่มหรี่แสงลงและการต่อสู้ก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ นอกจากการต่อสู้ระหว่างผู้นำของทั้งสองกลุ่มแล้ว ยังมีการต่อสู้อื่นๆ อีกมากมาย แน่นอนว่าฝ่ายที่มีจำนวนน้อยกว่าคือกลุ่มนักรบวั่นโซ่ว ในขณะที่กลุ่มที่มีจำนวนมากกว่าคือกลุ่มนักรบจ้งเทียนและกลุ่มนักรบเป่าโป
สมาชิกอาณาจักรวั่นโซ่วนั้นมีพลังสูงส่งอย่างแท้จริง ปัจจุบันสมาชิกทั้ง 8 คนล้วนอยู่ที่นั่น นอกจากหัวหน้าที่กำลังต่อสู้กับจ้านหลิงเทียนแล้ว สมาชิกคนอื่นๆ ต่างก็กำลังต่อสู้ในสถานการณ์หนึ่งต่อสองกับสมาชิกกลุ่มนักรบจ้งเทียนและกลุ่มนักรบเป่าโป พวกเขาแต่ละคนได้เรียกอสูรสวรรค์ที่ทรงพลังออกมาเพื่อสนับสนุนพวกเขา และจากการมองเพียงปราดเดียว พวกสัตว์เหล่านั้นก็ดูเหมือนจะอยู่ในระดับเทวะขั้นแรกหรือสูงกว่านั้น ในบรรดาสัตว์เหล่านั้นมีลิงสีขาวขนาดใหญ่ซึ่งอยู่ในระดับเทวะขั้นสูงสุดอยู่ด้วย มันดึงดูดความสนใจของทุกคนได้ทันทีด้วยพลังมหาศาลของมัน บุคคลที่ต่อสู้กับมันไม่ใช่ใครอื่นนอกจากคนที่เพิ่งแยกจากพวกเขา ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์นั่นเอง
ในขณะนี้ ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์เพียงแค่ปลดปล่อยปลอกแขนและถุงมือกรงเล็บของเธอออกมา และต่อสู้กับลิงยักษ์จนทุกอย่างหยุดอยู่ในภาวะนิ่งงัน
จากสถานการณ์แล้ว ฝ่ายของกลุ่มนักรบจ้งเทียนกำลังถือไพ่เหนือกว่า เพราะท้ายที่สุดพวกเขาทั้ง 8 ก็อยู่ที่นั่นพร้อมกับสมาชิกจากหุบเขาหลงใหลทั้ง 6 คน ทั้งหมดรวมเป็นยอดฝีมือ 14 คนจากยุคของพวกเขา
ในแง่ของพลัง สมาชิกของหุบเขาหลงใหลนั้นอ่อนแอกว่าเล็กน้อยอย่างไม่ต้องสงสัย ทว่าพวกเขาต่างก็เป็นคู่สามีภรรยากัน ดังนั้นสายสัมพันธ์ การทำงานประสาน และความร่วมมือระหว่างกันจึงทำให้ระดับพลังของพวกเขาก้าวขึ้นไปอย่างเต็มที่อีกระดับหนึ่ง เนื่องจากพวกเขาสามารถชดเชยจุดแข็งและจุดอ่อนของกันและกัน ทำให้พลังโดยรวมของพวกเขามีค่าเท่าเทียมกับมหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งกว่าอีก 2 แห่ง
สำหรับสมาชิกกลุ่มนักรบจ้งเทียน ความแข็งแกร่งของแต่ละคนอาจจะอ่อนแอกว่าสมาชิกกลุ่มนักรบวั่นโซ่วเล็กน้อยเช่นกัน ทว่าในแง่ของศาสตรามณียุทธ์ พวกเขาก็เป็นผู้นำในเรื่องนี้อย่างชัดเจน สำหรับเด็กที่มีพรสวรรค์ที่โดดเด่นเช่นพวกเขา คนที่เติบโตขึ้นมาเป็นยอดฝีมือด้วยการฝึกฝนของตนเอง ภัยคุกคามจากอสูรสวรรค์นั้นถือว่ามีผลน้อยกว่าจ้าวมณีสวรรค์ตัวเป็นๆ มาก ด้วยความเสียเปรียบด้านตัวเลข สมาชิกทั้ง 7 ของกลุ่มนักรบวั่นโซ่ว (ไม่รวมผู้นำ) ต่างก็กำลังจะพ่ายแพ้
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่สิ่งที่น่าแปลกใจที่สุดสำหรับโจวเหว่ยชิงและไม่ใช่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเขามากที่สุด สิ่งที่ดึงดูดสายตาของเขาในทันทีทันใด…อยู่ที่ด้านหลังของสนามรบ
ด้านหลังของสนามรบมีเนินเขาอยู่ลูกหนึ่ง เป็นภูเขาลูกเล็กๆ ที่ด้านล่างของเนินเขามีถ้ำขนาดใหญ่และภายในถ้ำนั้นก็มีร่างขนาดใหญ่นอนขดอยู่
มังกร
มันคือมังกร!
จากรูปลักษณ์ของมังกรตัวนั้น มันมีความคล้ายคลึงกับตัวที่โจวเหว่ยชิงเคยเห็นบนอากาศก่อนหน้านี้ประมาณ 8 ใน 10 ส่วนเพราะมันมีขนาดตัวเล็กกว่าเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ตอนนี้มันกลับมีสภาพที่น่าหวาดกลัว ร่างกายที่ใหญ่โตของมันนอนอยู่ตรงนั้นโดยไม่ขยับเขยื้อน และใต้ตัวของมันก็มีเลือดไหลอยู่เป็นแอ่งใหญ่ ตรงหน้าของมันมีไข่ขนาดใหญ่ยาวเกือบ 2 เมตรกำลังเรืองรองและส่องสว่างอยู่ภายในถ้ำอันมืดมิด
ไข่นั้นมีสีขาวบริสุทธิ์ แต่มันเปล่งประกายแสงออกมาเป็นสีแดง
มังกรที่กำลังจะตายกำลังไล้เลียผิวเปลือกไข่ยักษ์เบาๆ
เหตุผลที่กลุ่มนักรบจ้งเทียนปล่อยพลุสัญญาณนั้นไม่ใช่เพราะกลุ่มนักรบวั่นโซ่ว แต่เป็นเพราะมังกรตัวนี้และไข่ของมัน!
สำหรับวิธีที่มังกรตัวนี้ได้รับบาดเจ็บ โจวเหว่ยชิงไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเกิดจากอะไร ทว่าพลังของมังกรก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขา หรือแม้แต่คนทั้งหมดที่นี่รวมพลังกันแล้วจะสามารถจัดการได้ อย่างไรก็ตาม เขาก็มั่นใจว่ามังกรตรงหน้านี้ไม่อาจต่อสู้ได้อีกต่อไปแล้ว
สมาชิกของกลุ่มนักรบวั่นโซ่วดูเหมือนจะกำลังปกป้องมังกรในขณะที่กลุ่มนักรบจ้งเทียน และกลุ่มนักรบเป่าโปดูเหมือนจะพยายามเข้าไปขโมยไข่ของมัน
มังกรอาจกล่าวได้ว่าเป็นขุมทรัพย์ล้ำค่าท่ามกลางเหล่าสมบัติทั้งหมด ไม่ใช่แค่ร่างกาย เลือด เกล็ด กระดูก และเขาของมัน แต่เกือบทุกส่วนของมันล้วนเป็นของล้ำค่าสำหรับจ้าวมณีสวรรค์ นอกจากนี้ บริเวณนั้นยังมีไข่ที่มันเพิ่งวางเมื่อไม่นานมานี้ด้วย นั่นย่อมเป็นสมบัติที่ประเมินค่าไม่ได้! ไม่ว่าใครก็ตาม หากสามารถฟักไข่มังกรและเป็นเจ้าของมันได้ สิ่งนั้นจะกลายเป็นเกียรติยศและทรัพย์สมบัติมหาศาลแค่ไหนกัน!? หากให้เวลามังกรตัวนั้นเติบโตขึ้นมา มันอาจกลายเป็นยอดฝีมือระดับเทพเจ้าในอนาคตก็ได้
ความจริงสิ่งที่โจวเหว่ยชิงไม่รู้ก็คือเขตแดนมิติสะท้อนนี้ถูกสร้างขึ้นโดยเผ่าพันธุ์มังกร มังกรนั้นสุ่มเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์เมื่อนานมาแล้ว พวกมันจึงได้ทำเช่นนี้เพื่อรักษาสายเลือดและรับประกันความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ของตนเอง และเพียงไม่กี่ปีต่อมา วังสวรรค์ไพศาลก็ค้นพบมันบนเกาะมณีสวรรค์
สำหรับข้อจำกัดในการเข้าสู่เขตแดนมิติสะท้อนนี้คือจะต้องมีอายุต่ำกว่า 30 ปี
นี่เป็นข้อจำกัดที่เผ่าพันธุ์มังกรได้กำหนดไว้ในด่านแรกของเขตแดนมิติเพื่อเป็นปราการป้องกัน
สาเหตุการตายและอันตรายส่วนใหญ่ของเผ่าพันธุ์มังกรล้วนเกิดจากเผ่าพันธุ์มนุษย์ แม้ว่ามังกรแต่ละตัวจะมีพลังมหาศาล แต่พวกมันจะเทียบกับมนุษย์ได้อย่างไร? ต่อหน้ามนุษย์เจ้าเล่ห์และโลภมากเหล่านี้ พวกมันก็เหมือนกับขุมสมบัติขนาดใหญ่ที่รอให้พวกเขาปล้นชิง ตำนาน ‘ผู้ปราบมังกร’ เคยเป็นฉายาที่มีเกียรติ ล้วนเป็นสิ่งที่นำมาซึ่งความมั่งคั่งและชื่อเสียงในชั่วข้ามคืน!
ความหยิ่งยโสของเผ่าพันธุ์มังกรส่งผลให้พวกมันไม่อยู่รวมฝูงกัน และสิ่งนี้ทำให้มนุษย์มีโอกาสไม่จำกัดในการล่า ท้ายที่สุดเมื่อมังกรอาวุโสสองสามตัวสุดท้ายที่รอดชีวิตมาได้ตระหนักถึงสิ่งนี้ พวกมันก็ต้องเผชิญหน้ากับการสูญสิ้นของเผ่าพันธุ์แล้ว พวกมันจึงได้เลือกเกาะมณีสวรรค์เป็นที่มั่นสุดท้ายเพื่อต่อสู้กับมนุษย์ และในการต่อสู้ครั้งสุดท้ายนี้ พวกมันก็ได้สังหารยอดฝีมือของมนุษย์ไปเกือบทั้งหมด ทว่าพวกมันเองก็ถูกผลักดันให้เกือบจะต้องสูญพันธุ์เช่นกัน
ด้วยพลังเฮือกสุดท้าย มังกรจึงได้สร้างเขตแดนมิติสะท้อนขึ้นบนเกาะมณีสวรรค์แห่งนี้ และวางไข่มังกรไว้ภายใน ด้วยหวังว่าเผ่าพันธุ์ในอนาคตของพวกมันจะเติบโตและเพิ่มจำนวนขึ้นในโลกใบใหม่นี้ เพราะเหตุนี้มังกรจึงเกลียดชังมนุษย์มาก
เพื่อป้องกันไม่ให้มนุษย์คุกคามลูกหลานของพวกมัน มังกรจึงได้ตั้งกฏจำกัดอายุ 30 ปีไว้บนเขตแดนมิติสะท้อน เพื่อป้องกันไม่ให้มนุษย์ที่มีอายุมากกว่า 30 ปีเข้ามาภายในนี้ตลอดไป
ในความเป็นจริงแว้ สำหรับมังกรอาวุโสตัวสุดท้ายที่รอดชีวิต ผู้ซึ่งสร้างเขตแดนมิติสะท้อนขึ้นมานี้ไม่ได้ตระหนักว่าในการต่อสู้ครั้งสุดท้าย ยอดฝีมือของมนุษย์เกือบทั้งหมดในเวลานั้นได้ถูกกำจัดพร้อมกับทรัพย์สมบัติส่วนใหญ่ที่สูญหายไปแล้ว ในเวลานั้นแทบจะไม่มีภัยคุกคามต่อมังกรอีกต่อไป
หลายปีต่อมา เมื่อวังสวรรค์ไพศาลได้ค้นพบความลับของเขตแดนมิติแห่งนี้ เจ้าเหนือหัวแห่งภูเขาหิมะสวรรค์รุ่นนั้นก็ได้ค้นพบความลับนี้ด้วยวิธีอื่นเช่นกัน
ภูเขาหิมะสวรรค์เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของอสูรสวรรค์ และสายเลือดหลักของภูเขาหิมะสวรรค์ก็เป็นพันธมิตรของเผ่ามังกรมาโดยตลอด พยัคฆ์วิญญาณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์และเผ่ามังกรมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมาก และครั้งหนึ่งก็ยังเคยปกครองโลกด้วยกัน จนกระทั่งมนุษย์เติบโตขึ้นและแข็งแกร่งขึ้น ทุกอย่างก็พลันเปลี่ยนไป
เมื่อพวกเขาพบว่าเผ่าพันธุ์มังกรยังคงมีอยู่ในเขตแดนมิติสะท้อน ภูเขาหิมะสวรรค์ก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง อนิจจา ในเวลานั้นพวกเขากลับไม่สามารถเอาชนะวังสวรรค์ไพศาลได้อย่างง่ายดายอีกต่อไป
ในที่สุดทั้งสองฝ่ายก็ได้ทำข้อตกลงที่ไม่มีฝ่ายใดพอใจมากนัก และนั่นคือเหตุผลแท้จริงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังการเป็นเจ้าภาพงานประลองมณีสวรรค์ จ้าววังสวรรค์ไพศาลที่มีไหวพริบในเวลานั้นได้ดึงเอามหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งอื่นๆ เข้ามาในงานประลองด้วยเช่นกัน และเมื่อเวลาผ่านไป มันก็กลายเป็นงานประลองที่ครอบคลุมไปทั่วทุกอาณาจักรบนโลก อย่างไรก็ตาม รอบชิงชนะเลิศของงานประลองก็มักจะจัดขึ้นในเขตแดนมิติสะท้อนซึ่งเป็นเป้าหมายเดิมของพวกเขานั่นเอง
มีเพียงกลุ่มนักรบจ้งเทียนและกลุ่มนักรบวั่นโซ่วเท่านั้นที่รู้เกี่ยวกับความลับที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังเขตแดนมิติสะท้อนในงานประลองมณีสวรรค์นี้อย่างแท้จริง สำหรับงานประลองมณีสวรรค์ทุกๆ ครั้ง เป้าหมายของพวกเขาไม่ใช่เป็นผู้ชนะการแข่งขัน แต่เป็นการค้นหามังกรภายในเขตแดนมิติสะท้อนต่างหาก
เขตแดนมิติสะท้อนสามารถเปิดได้ทุกๆ 3 ปีเท่านั้น ไม่ว่าวังสวรรค์ไพศาลหรือภูเขาหิมะสวรรค์ก็ตาม พวกเขาจึงไม่กังวลว่าอีกฝ่ายจะพยายามแอบเข้าไปในเขตแดนมิติสะท้อนก่อนระหว่างช่วงเวลานั้น
แน่นอนว่าไม่มีนักสู้รุ่นเยาว์คนใดจะสามารถต่อกรกับมังกรที่โตเต็มวัยได้ แต่พวกเขาก็ยังสามารถค้นหาซากมังกรที่ตายแล้ว หรือแม้แต่ไข่มังกรได้อยู่ดี
งานประลองมณีสวรรค์จัดขึ้นมาเป็นเวลาหลายปีและหลายครั้งแล้ว ทว่าระหว่างนั้น กลุ่มนักรบจ้งเทียนกับกลุ่มนักรบวั่นโซ่วกลับพบเพียงโครงมังกรหรือเกล็ดมังกรเพียงบางส่วนที่กระจัดกระจายอยู่ในอดีตเท่านั้น สำหรับการหาไข่ของมังกร นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาค้นพบมันอย่างแท้จริง นับประสาอะไรกับการพบมังกรที่กำลังจะตายและไม่มีแรงเหลือนอนเป็นผักอยู่ข้างๆ ไข่ใบนั้น
ความจริงแล้วเป้าหมายหลักของกลุ่มนักรบวั่นโซ่วในการเข้าสู่เขตแดนมิติสะท้อนคือการก่อกวนและหยุดยั้งกลุ่มนักรบจ้งเทียนไม่ให้พวกเขาได้รับประโยชน์จากเขตแดนมิติสะท้อนมากเกินไป ช่วยให้มังกรในดินแดนแห่งนี้มีโอกาสได้เติบโตและกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง ด้วยความหวังว่าวันหนึ่งพวกมันจะแข็งแกร่งมากพอที่จะออกจากเขตแดนมิติที่เป็นเอกลักษณ์นี้ไป จากนั้นก็เข้าร่วมกับกองกำลังภูเขาหิมะสวรรค์อีกครั้ง
สำหรับเป้าหมายของกลุ่มนักรบจ้งเทียน เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะต้องการกอบโกยจากมังกรเหล่านี้ให้ได้มากที่สุด
คนแรกที่พบมังกรซึ่งกำลังจะตายคือสมาชิกกลุ่มนักรบวั่นโซ่ว แต่หลังจากนั้นไม่นานสมาชิกกลุ่มนักรบจ้งเทียนกลับพบกับพวกเขาเข้า อีกฝ่ายจึงปล่อยพลุสัญญาณไฟโดยไม่ลังเล ท้ายที่สุดแล้ว ด้วยความช่วยเหลือของกลุ่มนักรบเป่าโป เมื่อความแข็งแกร่งของพวกเขารวมกันก็ย่อมเหนือกว่ากลุ่มนักรบวั่นโซ่วอย่างแน่นอน
…………………………………….
[1] มองขุนเขาขณะม้าวิ่งอาจฆ่าม้า โดยพื้นฐานแล้วหากจับตาดูบางสิ่งในระยะไกล สิ่งนั้นจะดูเหมือนใกล้กว่าที่เป็นจริง