ขณะเดินอย่างแข็งทื่อสู่พระราชวังที่เหมือนสรวงสวรรค์ โจวเหว่ยชิงก็ยังคงอยู่ในสภาพตื่นตะลึง ในเวลาเดียวกัน จิตใจของเขาก็เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น จากรูปลักษณ์ของสถานที่แห่งนี้เพียงอย่างเดียวก็มากพอแล้วที่จะให้พวกเขาดำรงอยู่ด้วยชื่อมหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์
ทั้งคู่เดินมาถึงด้านหน้าพระราชวังอย่างรวดเร็ว โจวเหว่ยชิงอดไม่ได้ที่จะถามผู้นำทางของเขา “ผู้อาวุโส ที่นี่ไม่มีทหารองครักษ์หรอกหรือ?” เหตุผลที่ถามก็เพราะเขามองไม่เห็นหรือสัมผัสไม่ได้ถึงตัวตนของทหารยามรักษาการณ์ที่ควรยืนอยู่ด้านหน้าหรือรอบๆ พระราชวังขนาดใหญ่นี้เลย
ผู้นำทางในชุดคลุมสีขาวหันหน้าไปทางโจวเหว่ยชิงและพูดอย่างเฉยเมย “วังสวรรค์ไพศาลของเราไม่จำเป็นต้องใช้ทหารยาม”
โจวเหว่ยชิงด่าตัวเองในใจที่ถามคำถามโง่ๆ เช่นนี้ออกไป เนื่องจากเขาพอจะเดาได้แล้วว่าวังสวรรค์ไพศาลแห่งนี้อยู่ในเขตแดนมิติที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว นอกเสียจากจะมีมณีที่เขาเคยใช้เข้ามา เช่นนั้นใครจะเข้ามาข้างในนี้ได้ง่ายๆ กัน?
หลังจากที่พวกเขาเข้าไปในพระราชวัง ในที่สุดโจวเหว่ยชิงก็เห็นคนอื่นๆ เป็นเด็กหนุ่ม 4 คนในชุดคลุมสีฟ้าอ่อนยืนอยู่ทั้งสองด้านของห้องโถงขนาดใหญ่
การตกแต่งภายในพระราชวังไม่ได้ยิ่งใหญ่หรืออลังการมากนัก ผนังฉาบด้วยสีฟ้าอ่อนพร้อมด้วยมณีสองสามเม็ดที่ฝังอยู่ด้านใน ทำให้เกิดรูปลักษณ์ที่ดูเรียบง่ายทว่างดงาม อย่างไรก็ตาม มณีแต่ละชิ้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้โจวเหว่ยชิงต้องตกตะลึงเนื่องจากขนาด สีสัน และความบริสุทธิ์ของพวกมันนั้นน่าทึ่งมาก อัญมณีเหล่านี้ย่อมมีมูลค่ามหาศาลในโลกภายนอก
ผู้นำทางในชุดคลุมสีขาวเดินไปยังใจกลางห้องโถงขนาดใหญ่ เขายกมือขวาขึ้น จากนั้นมณีสีฟ้าอ่อนก็ปรากฏออกมา หลังจากนั้นไม่นาน แสงสีฟ้าอ่อนก็ส่องสว่างออกมาจากมณีและแผ่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ครอบคลุมทุกซอกทุกมุมของห้องโถงขนาดใหญ่นับพันเมตรแห่งนี้เอาไว้
ภาพอันงดงามปรากฏขึ้นพร้อมกับความตระการตาของแสงสีฟ้าที่กระจายเกลื่อนไปทั่วห้องโถง กำแพงโดยรอบที่สูงกว่า 10 เมตรล้วนแล้วแต่มีมณีประเภทต่างๆ ฝังอยู่ มณีเหล่านี้ดูเหมือนจะถูกกระตุ้นโดยแสงสีฟ้า และพวกมันทั้งหมดก็ระเบิดแสงของตัวเองออกมาเช่นกัน ในขณะนั้น ทั้งห้องโถงจึงเต็มไปส่วนผสมของสีจากมณีหลากหลาย ดูแปลกตาทว่าสวยงาม
บนพื้น ลวดลายต่างๆ เริ่มก่อตัวขึ้นเป็นกลไกทีละสี ทั้งหมดล้วนแล้วแต่มีสีสันที่หลากหลาย ตั้งแต่ลวดลายที่เรียบง่ายไปจนถึงลวดลายที่ซับซ้อน พลังปราณสวรรค์เข้มข้นฟุ้งไปทั่วห้องโถง ทำให้หัวใจที่กำลังตกตะลึงของโจวเหว่ยชิงสั่นสะเทือนอีกครั้ง
ผู้นำทางในชุดคลุมสีขาวแสดงสัญญาณให้โจวเหว่ยชิงเขาตามไป ก่อนจะหมุนตัวและเดินไปยังลวดลายสัญลักษณ์สีทองคำที่ปรากฏขึ้นกลางพื้นห้องโถง
โจวเหว่ยชิงทำตามคำเชิญชวนของอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว ก่อนที่เขาจะได้เห็นสิ่งที่ผู้นำทางในชุดคลุมสีขาวกระทำ แสงสีทองอีกกลุ่มก็ปรากฏขึ้นรอบตัวพวกเขา เป็นอีกครั้งที่สภาพแวดล้อมรอบๆดูเหมือนจะค่อยๆ เลือนลาง และพวกเขาก็เคลื่อนย้ายมิติอีกครั้ง
ในขณะนั้นเอง โจวเหว่ยชิงก็คล้ายจะเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับโครงสร้างของวังสวรรค์ไพศาลแล้ว เขาตระหนักว่าแท้จริงแล้ววังสวรรค์ไพศาลไม่ใช่ตัวพระราชวังหรือส่วนหนึ่งของพระราชวังแห่งนี้ และห้องโถงใหญ่ที่นี่ก็เป็นเพียงสถานีรับส่งเพื่อไปยังพื้นที่ส่วนสำคัญของวังสวรรค์ไพศาล วิธีเดียวที่จะเข้าไปได้คือต้องผ่านประตูเคลื่อนย้ายจากลวดลายกลไกบนพื้นเท่านั้น นอกจากนี้ เขาเดาว่าอาจจะขึ้นอยู่กับตำแหน่งแต่ละคนในวังสวรรค์ไพศาลด้วย จำนวนประตูที่แต่ละคนสามารถเข้าไปได้จะแตกต่างกันไปตามฐานะของพวกเขาในวังสวรรค์ไพศาล ไม่น่าแปลกใจเลยที่วังสวรรค์ไพศาลจะไม่ต้องการทหารยาม นี่ยังไม่นับความยากลำบากในการเข้าถึงเขตแดนมิติจากบนเกาะมณีสวรรค์ เพราะแค่รูปแบบการเคลื่อนย้ายที่แตกต่างกันทั้งหมดเหล่านี้ก็เป็นเรื่องยากเย็นมากแล้ว
แสงสีทองเปล่งประกายขึ้นมาอีกครั้ง และทั้งโจวเหว่ยชิงและผู้นำทางในชุดคลุมสีขาวก็ปรากฏตัวในพื้นที่มิติอื่น มันเป็นห้องโถงกว้างขวางอีกแห่งหนึ่ง แต่คราวนี้พื้นหลังนั้นแตกต่างไปจากเดิม จากสีฟ้าอ่อนในห้องโถงก่อนหน้ากลายเป็นสีทองอ่อน ห้องโถงทั้งหมดถูกปกคลุมไปด้วยหมอกเบาบาง และด้านในของห้องโถงก็มีเก้าอี้ขนาดใหญ่ 3 ตัวที่ยกสูงขึ้นเล็กน้อยอยู่บนแท่น มีชายสามคนอยู่ในบริเวณนั้น และจู่ๆ โจวเหว่ยชิงก็ตระหนักว่าเขาจดจำชาย 2 ใน 3 คนนั้นได้
จากเก้าอี้ทั้งหมด 3 ตัว มีเก้าอี้ 2 ตัวถูกจับจองตรงกลางและด้านซ้าย ส่วนอีก 1 ตัวด้านขวากลับว่างเปล่า นอกจากนี้ยังมีชายอีกคนยืนอยู่ด้านล่างของเก้าอี้ด้านซ้ายด้วย
ชายที่ยืนอยู่ตรงนั้นคุ้นเคยกับโจวเหว่ยชิงมากที่สุด เขาคือซ่างกวนหลงหยิน หัวหน้าวังกักเก็บทักษะของอาณาจักรจ้งเทียนนั่นเอง
วังกักเก็บทักษะแห่งอาณาจักรจ้งเทียนอาจกล่าวได้ว่ายิ่งใหญ่มากที่สุด มีอสูรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมและทรงพลังที่สุดในดินแดนไร้ขอบเขตทั้งหมด ในฐานะผู้ดูแลสถานที่แห่งนั้น แม้จะเพิกเฉยต่อพลังส่วนตัวของซ่างกวนหลงหยิน แต่แค่ทรัพยากรและกำลังคนที่เขาสามารถปลุกระดมและนำไปใช้งานได้ก็น่ากลัวเป็นอย่างยิ่งแล้ว แต่ถึงกระนั้น ในห้องโถงที่กว้างขวางนี้ เขากลับยังไม่มีที่นั่งและต้องยืนประสานมืออยู่ข้างๆ ตรงนั้น
สำหรับชายสองคนที่นั่งอยู่ โจวเหว่ยชิงจำหนึ่งในนั้นได้เป็นอย่างดี บุคคลนั้นกำลังนั่งอยู่ทางซ้าย เขาสวมเสื้อคลุมยาวสีขาวและมงกุฎทองคำที่มีสัญลักษณ์มังกรฝังอยู่บนศีรษะ ชายผู้นั้นดูหนุ่มแน่นและหล่อเหลา ดวงตาของเขาแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้ใหญ่และความเข้าใจโลกอย่างถ่องแท้ มองจากรูปลักษณ์เพียงอย่างเดียวก็อาจยากที่จะบอกอายุที่แท้จริงของเขาได้
ชายคนนี้เคยฝากรอยประทับไว้ในใจโจวเหว่ยชิงมาก่อน นั่นเป็นเพราะเขาเป็นบิดาของแฝดสามผู้งดงาม ซ่าง กวนปิงเอ๋อร์ ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ และซ่างกวนเสว่เอ๋อร์ เขาคือรองเจ้าวังสวรรค์ไพศาล ซ่างกวนเทียนเยว่
เมื่อมีบุรุษทรงอำนาจอย่างซ่างกวนหลงหยินยืนอยู่ด้านข้างอย่างนอบน้อม ทั้งยังมีซ่างกวนเทียนเยว่นั่งอยู่ด้านข้าง จึงเดาไม่ยากว่าตัวตนของผู้ที่นั่งอยู่ในตำแหน่งที่นั่งหลักตรงกลางคือใคร
ชายวัยกลางคนตัวนั่งตรงอยู่บนเก้าอี้หลัก ใบหน้าของเขาคล้ายคลึงกับซ่างกวนเทียนเยว่อย่างน้อย 7 ใน 10 ส่วน แต่ดูอบอุ่นและอ่อนโยนกว่า ทั้งยังให้ความรู้สึกที่ไม่เป็นอันตรายและไม่มีพิษภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในดวงตาของเขา ขณะที่โจวเหว่ยชิงมองเข้าไปภายในดวงตาคู่นั้น เขารู้สึกราวกับว่ากำลังถูกความอบอุ่นอาบไล้ทั่วร่าง ราวกับสายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิกำลังพัดเข้ามาในห้อง ทำให้เขารู้สึกเสมือนว่าตัวเองกำลังได้ใกล้ชิดกับชายคนนั้น
ผู้นำทางชุดขาวที่พาโจวเหว่ยชิงมาที่นี่โค้งคำนับให้กับชายทั้ง 3 ก่อนจะค่อยๆ เดินกลับไป ไม่นานเขาก็หายไปท่ามกลางหมอกด้านหลัง
หลังจากวิเคราะห์เรื่องราวทั้งหมดในใจอยู่ครู่หนึ่ง โจวเหว่ยชิงก็ปรับเปลี่ยนท่าทางอย่างรวดเร็ว เขาโค้งคำนับเล็กน้อย พูดอย่างวางท่าเท่าเทียม ไม่หยิ่งผยองหรือถ่อมตัวเกินไป “คาราวะผู้อาวุโสทั้ง 3…”
ซ่างกวนเทียนเยว่กล่าวอย่างเย็นชา “โจวเหว่ยชิง เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำอะไรผิด?!”
โจวเหว่ยชิงมองไปที่พ่อตาในอนาคตของเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจขณะที่พูดว่า “ท่านพ่อตา ข้าขอทราบได้หรือไม่ว่าลูกเขยน้อยของท่านทำผิดอะไร?”
เมื่อได้ยินคำว่า “พ่อตา” ทั้งซ่างกวนหลงหยินและชายวัยกลางคนก็ชะงักไป ร่างกายของซ่างกวนเทียนเยว่พลันแข็งทื่อ เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าในวังสวรรค์ไพศาลแห่งนี้ โจวเหว่ยชิง อันธพาลน้อยผู้นี้จะกล้าเรียกเขาเช่นนั้นจริงๆ
“ใครเป็นพ่อตาของเจ้า?!” ซ่างกวนเทียนเยว่ตะโกนอย่างฉุนเฉียว ความจริงเขาสามารถควบคุมตัวเองได้ดีมาก แต่ใครจะรู้ว่าทุกครั้งที่เขาเห็นโจวเหว่ยชิง โดยเฉพาะในตอนที่อีกฝ่ายแสดงสีหน้าไร้เดียงสาและเรียกเขาว่าพ่อตาเช่นนี้ เขาจะไม่สามารถควบคุมความโกรธของตัวเองได้
โจวเหว่ยชิงยิ้มและกล่าวว่า “ท่านพ่อตา ท่านควรจะยอมรับสถานะของข้าได้แล้ว ข้าจะต้องแต่งงานกับปิงเอ๋อร์แน่นอน และปิงเอ๋อร์ก็จะแต่งงานกับข้าด้วยเช่นกัน ถึงอย่างไรในอนาคตข้าก็ต้องเรียกท่านว่าพ่อตาอยู่แล้ว ดังนั้นเรียกเสียตอนนี้จะแตกต่างกันอย่างไร?”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ทั้งซ่างกวนหลงหยินและชายวัยกลางคนก็อดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มขบขันบนใบหน้า
ด้วยการใช้วิธีที่ไร้ยางอายเช่นนี้ โจวเหว่ยชิงย่อมมีความหมายที่ลึกซึ้งกว่านั้น มันไม่ใช่แค่การยั่วยุซ่างกวนเทียนเยว่อย่างไร้เหตุผล
เนื่องจากวังสวรรค์ไพศาลยินดีที่จะมอบของรางวัลจากงานประลองมณีสวรรค์ให้พวกเขาอยู่แล้ว นั่นจึงได้พิสูจน์ว่าพวกเขาจะไม่ก่อเรื่องยุ่งยากให้โจวเหว่ยชิง แต่ถึงอย่างไรเขาก็ได้ทำลายโอกาสอันยิ่งใหญ่ของพวกเขาในเขตแดนมิติสะท้อนไปเช่นกัน ดังนั้นวังสวรรค์ไพศาลก็จะต้องพยายามกดดันเขาเล็กน้อยอย่างแน่นอน บางทีอาจใช้โอกาสนี้เพื่อต่อรองขอลดราคาสำหรับการซื้อขายวิชาเทพอมตะ การที่เขาเรียกซ่างกวนเทียนเยว่ว่าพ่อตาอย่างไร้ยางอายนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้บรรยากาศทั้งหมดผ่อนคลาย แต่ยังเป็นการเตือนสติชาย 3 คนที่อยู่ตรงหน้าเขาด้วยว่า ‘อย่าพยายามทำให้ข้าหวาดกลัว จิตใจของข้าแข็งแกร่งกว่าที่ท่านคิด นอกจากนี้ ข้าเป็นลูกเขยในอนาคตของวังสวรรค์ไพศาล เราทุกคนเป็นครอบครัวเดียวกัน อย่าอย่าบีบคั้นข้ามากนักเลย’
ซ่างกวนเทียนเยว่ตบฝ่ามือของเขาลงบนที่เท้าแขนของเก้าอี้ พลังกดดันขุมหนึ่งตรงเข้าครอบงำโจวเหว่ยชิงในทันทีราวกับจะฉีกทึ้งร่างของเขาออกจากกัน
โจวเหว่ยชิงรู้สึกได้ทันทีว่าอากาศรอบตัวของเขากำลังรวมตัวกันเป็นของแข็งและบีบคั้นเขาจากทุกทิศทาง ราวกับว่ามีภูเขาหลายลูกกำลังกดทับลงมาบนตัว กระแสเลือดในตัวเขาดูเหมือนจะไหลช้าลง คล้ายว่ามันกำลังไหลไปตามกระแสอากาศรอบตัวเขาและพยายามจะพุ่งออกไปรวมตัวกัน
อย่างไรก็ตาม รอยยิ้มบนใบหน้าของเด็กหนุ่มไม่ได้จางหายไป และเขาก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิม ยิ้มน้อยๆ ไปที่ซ่างกวนเทียนเยว่
ซ่างกวนเทียนเยว่จะไม่เข้าใจรอยยิ้มนั้นได้อย่างไร อันธพาลน้อยคนนี้รู้ดีว่าเขาไม่สามารถฆ่าอีกฝ่ายได้ ความจริงซ่างกวนเทียนเยว่ก็ไม่สามารถฆ่าเขาได้จริงๆ นั่นแหละ เพราะสุดท้ายแล้วลูกสาวสุดที่รักของเขาก็ถูกเจ้าอันธพาลน้อยผู้นี้เอาเปรียบไปแล้ว แถมเจ้าตัวยังหลงรักเขาหัวปักหัวปำอีกด้วย จะเกิดอะไรขึ้นกับเธอหากเจ้าเด็กนี่ถูกฆ่าตายจริงๆ?
“เอาล่ะ พอแล้ว เทียนเยว่” ชายวัยกลางคนที่อยู่ตรงกลางยกมือขวาขึ้นเล็กน้อย และทันใดนั้นโจวเหว่ยชิงก็รู้สึกว่าร่างกายของเขาเบาหวิวขึ้น แรงกดดันทั้งหมดสลายหายไปในทันที ซ่างกวนเทียนเยว่แค่นเสียงอย่างโกรธเกรี้ยว จ้องมอง โจวเหว่ยชิงอย่างเย็นชาชั่วครู่ก่อนจะหันหน้าหนีไป
“เหว่ยชิง ก่อนที่เจ้าจะกลายเป็นลูกเขยวังสวรรค์ไพศาลของเรา เจ้าจะต้องผ่านด่านมากมายไปเสียก่อน” ชายวัยกลางคนยิ้มน้อยๆ ขณะที่เขาพูด ราวกับว่าเขาจะไม่มีวันอารมณ์ขุ่นมัว น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนเช่นเดียวกับสายตาของเขา นอกเหนือจากการพูดคุยที่สนิทสนมแล้ว ไม่ว่าใครต่างก็ต้องประทับใจและชื่นชอบเขา
ทักษะการสังเกตของโจวเหว่ยชิงไม่ใช่เรื่องที่ควรมองข้าม เมื่อชายวัยกลางคนเปิดปากพูด เขาก็รู้สึกว่าหัวใจของตนพลันเต้นผิดจังหวะไป ขนาดเทียบกับซ่างกวนเทียนเยว่ ชายวัยกลางคนที่ยิ้มแย้มอย่างอ่อนโยนคนนี้กลับทำให้เขารูสึกกดดันมากกว่า เหตุผลนั้นง่ายมาก ทันทีที่เขาเริ่มพูด โจวเหว่ยชิงก็สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าซ่างกวนหลงหยินที่ยืนอยู่ด้านข้างกำลังเผยสีหน้าแสดงความเคารพออกมา กระทั่งซ่างกวนเทียนเยว่ที่พูดหรือกดดันเขาก่อนหน้านี้ ซ่างกวนหลงหยินก็ทำเพียงแค่ยิ้มขณะเฝ้าดู ดังนั้นจึงอาจหมายความได้เพียงว่าความเคารพที่ซ่างกวนหลงหยินมีต่อชายวัยกลางคนคนนี้มีมากกว่าซ่างกวนเทียนเยว่
การตัดสินใจของโจวเหว่ยชิงค่อนข้างแม่นยำ ความอบอุ่นอ่อนโยนของชายวัยกลางคนไม่ได้เกิดจากลักษณะนิสัยของเขา แต่เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดจาก ‘วิชาสวรรค์ไพศาลไร้สิ้นสุด’ ซึ่งได้รับการฝึกฝนมาจนถึงระดับสูงสุด สำหรับซ่างกวนเทียนเยว่ ระดับพลังปราณของเขายังค่อนข้างห่างจากชายวัยกลางคนนั้นมากทีเดียว
“ข้าชื่อซ่างกวนเทียนหยาง เป็นจ้าววังสวรรค์ไพศาล ข้าเชื่อว่าเจ้าน่าจะรู้ชัดเจนถึงเหตุผลที่พวกเราเรียกเจ้ามาที่นี่ เวลานี้งานประลองมณีสวรรค์สิ้นสุดลงแล้ว การแลกเปลี่ยนที่เราตกลงกันไว้ก็สามารถดำเนินการได้เสียที”
จ้าววังสวรรค์ไพศาล ผู้นำสูงสุดของ 5 มหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ผู้ซึ่งเป็นหนึ่งในบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดในแผ่นดินไร้ขอบเขตทั้งหมด ด้วยคำพูดที่เรียบง่ายและไม่เป็นทางการ เขาตัดสินอย่างเฉียบขาดว่าจะเพิกเฉยต่อเหตุการณ์ที่โจวเหว่ยชิงทำลายแผนของกลุ่มนักรบจ้งเทียนในเขตแดนมิติสะท้อนและทำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพียงแค่น้ำใจของเขาเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้คนๆหนึ่งชื่นชมเขาอย่างลึกซึ้ง
โจวเหว่ยชิงค้งคำนับไปทางซ่างกวนเทียนหยางก่อนจะกล่าวว่า “คาราวะ ผู้อาวุโสซ่างกวน เช่นนั้นเราก็สามารถเริ่มการแลกเปลี่ยนของเราได้แล้ว อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านั้นข้ามีคำขอเล็กๆ อีกข้อหนึ่ง ผู้อาวุโสจะยินยอมหรือไม่?”
……………………………………………………….