โจวเหว่ยชิงถอนลมหายใจที่เขากลั้นเอาไว้ก่อนหน้านี้ หลังจากพักฟื้นฟูพลังปราณเป็นเวลาสั้นๆ ในที่สุดหลุมดำพลังปราณของเขาก็สามารถขับพลังปราณสวรรค์ภายนอกส่วนใหญ่ออกไปได้และกลับมาหมุนวนตามปกติอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ก็กำลังเตือนเขาว่าแม้แต่ทักษะกลืนกินอันแสนทรงพลังก็ไม่สามารถอยู่ยงคงกระพันได้ตลอดไปและทุกอย่างก็มีขีดจำกัดของมันอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาเผชิญหน้ากับศัตรูหลายคนหรือยอดฝีมือที่ทรงพลังมากๆ เขาหากไม่ระมัดระวังให้ดี นั่นอาจหมายถึงชีวิตของตัวเองก็เป็นได้
“แค่บาดเจ็บเล็กน้อย ข้าสบายดี” ด้วยสายเลือดของพยัคฆ์เทพอสูรมืด อัตราการฟื้นฟูของเขาจึงแข็งแกร่งมาก และเนื่องจากอาการบาดเจ็บก็ไม่ได้ร้ายแรงเกินไป พักผ่อนเพียงไม่กี่วันก็เพียงพอให้เขาฟื้นตัวกลับคืนมาได้เต็มที่แล้ว
หลินเทียนอ้าวขมวดคิ้วแน่นก่อนจะพูดว่า “ป่ายต้า?”
โจวเหว่ยชิงพยักหน้าแล้วเงียบสักครู่ก่อนจะพูดอย่างเย็นชา “อาจจะ”
ที่ด้านข้าง สี่น้อยพูดอย่างสงสัย “นอกจากพวกเขาแล้วยังจะมีใครอีก?”
หลินเทียนอ้าวถอนหายใจและส่ายหัวเบาๆ แต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ
โจวเหว่ยชิงมองไปที่อีกฝ่าย ริมฝีปากของเขากระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็นชาขณะที่พูดว่า “ท่านก็คิดเหมือนกันสิ นะ…”
หลินเทียนอ้าวพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “ไม่เช่นนั้นข้าก็คงไม่อาจคิดหาเหตุผลอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ได้แล้ว หยุนลี่บอกข้าแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าในโรงเรียนทหารเฟยหลี่ แม้ข้าไม่อยากจะเชื่อว่านี่เป็นเรื่องจริง แต่ข้าก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสงสัยเขา เฮ้อ…ถึงอย่างไรเขาก็เคยผ่านความเป็นความตายมากับเรา และข้าก็ไม่อาจเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นได้เลย”
โจวเหว่ยชิงยักไหล่และกล่าวว่า “ไม่เป็นไร ทุกคนย่อมมีความคิดและทางเดินเป็นของตัวเอง ท้ายที่สุดเขาก็เป็นตัวแทนของเหล่าชนชั้นสูง และสำหรับเขา เราทุกคนล้วนเป็นเพียงสามัญชน ที่สำคัญกว่านั้นคือหากเขาทำเพียงเพราะเห็นแก่อาณาจักรเฟยหลี่ สิ่งที่เขาเลือกก็ย่อมไม่ผิดอะไร ส่วนความอิจฉาริษยามีส่วนในการตัดสินใจของเขาหรือไม่…ข้าก็ยากที่จะพูด เป่าเปาที่รักของข้า บางทีครั้งต่อไปที่พบกัน พวกเราอาจจะไม่ใช่สหายกันอีกต่อไปแล้ว นอกจากนี้ยังจะเป็นศัตรูกันอีกด้วย”
ไม่ว่าโจวเหว่ยชิงหรือหลินเทียนอ้าว ทั้งคู่ต่างก็สงสัยเย่เป่าเปา หากไม่ใช่เพราะข่าวที่เย่เป่าเปานำกลับมาราย งานล่วงหน้า ราชวงศ์เฟยหลี่จะรู้ได้อย่างไรว่าโจวเหว่ยชิงทำให้หุบเขาอเวจีสีเลือดบันดาลโทสะระหว่างงานประลองมณีสวรรค์ หรือกระทั่งข่าวอื่นๆเกี่ยวกับหุบเขาหลงใหลและวังสวรรค์ไพศาล เป็นเพียงเพราะข่าวที่โจวเหว่ยชิงช่วยอาณาจักรวั่นโซ่วต่อต้านวังสวรรค์ไพศาลและหุบเขาหลงใหลนั้นเองที่ทำให้อาณาจักรเฟยหลี่ทำตัวไร้เหตุผลและขับไล่เขาออกจากอาณาจักร แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะช่วยพวกเขาให้ได้รับชัยชนะในงานประลองมณีสวรรค์ก็ตาม
ยิ่งไปกว่านั้น โจวเหว่ยชิงและคนอื่นๆเพิ่งจะกลับมาถึงที่นี่ แต่เพียงแค่กลับเข้าไปในบ้านของตัวเอง พวกเขาก็ถูกจู่โจมทันที นั่นหมายความว่าอย่างไร? แม้ว่าชายในชุดดำจะมาจากอาณาจักรป่ายต้าจริงๆ แต่การที่พวกเขาจะสามารถมาถึงที่นี่ได้อย่างถูกต้องเหมาะเจาะเช่นนี้ นั่นอาจหมายความว่าพวกเขาต้องได้รับข่าวเกี่ยวกับที่อยู่ของโจวเหว่ยชิงมาก่อนล่วงหน้า…และก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถช่วยพวกเขาได้
นอกจากเย่เป่าเปาก็แทบจะไม่มีคำอธิบายอื่นๆ อีกแล้ว ไม่ว่าชายชุดดำเหล่านี้จะมาจากอาณาจักรป่ายต้าหรือเป็นกองกำลังของอัครมหาเสนาบดี นั่นก็ไม่สำคัญสำหรับพวกเขาอีกต่อไป
หลินเทียนอ้าวถามโจวเหว่ยชิง “พวกเราจะทำอย่างไรต่อไป? แผนของเจ้าเป็นอย่างไร?”
โจวเหว่ยชิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “เราจะออกเดินทางต่อในคืนนี้ อย่างน้อยราชวงศ์เฟยหลี่และพวกขุนนางก็ไม่มีแผนจะสังหารข้า พวกเขาย่อมไม่ห้ามให้พวกเราออกจากเมืองแน่ พวกเราทั้งหมดจะจากไปในตอนกลางคืน แต่ข้าต้องรอกลุ่มรุ่นพี่จากโรงเรียนของข้าก่อน กำลังคนที่เพิ่มเข้ามาคือความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้น พวกเขามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความก้าวหน้าในอนาคตของเรา”
ในขณะที่พวกเขากำลังพูดกันนั้นเอง จู่ๆ ทุกคนก็ถูกขัดจังหวะด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยวอย่างฉับพลัน “หม่าฉุน! เจ้าสารเลว! เจ้าอยู่ที่นี่จริงๆ!!”
*ตูม* เกิดเสียงดังอื้ออึง ทุกคนจึงจ้องไปยังที่มาของเสียงอย่างสับสน
ภาพที่เข้ามาทักทายสายตาพวกเขาคือร่างอันใหญ่โตของหม่าฉุนที่กำลังถูกอู่หยาจับตรึงด้วยแขนข้างเดียวก่อนจะกดเข้ากับกำแพง
ในแง่ของขนาดและรูปร่าง หม่าฉุนมีขนาดใหญ่โตและบึกบึนกว่าอู่หยา อย่างไรก็ตาม ในแง่ของความแข็งแกร่งและพลัง เขายังอยู่ห่างไกลจากหญิงสาวมากทีเดียว หลังถูกอู่หยาผลักชนกำแพง ชายหนุ่มก็ดูจะทำอะไรไม่ถูก ใบหน้าของหม่าฉุนกลายเป็นสีเหลืองซีด และสีหน้าของเขาก็ราวกับว่าอยากจะร้องไห้แต่ร้องไม่ออก
โจวเหว่ยชิงชะงักด้วยความตกตะลึง ในวินาทีถัดมา รอยยิ้มซุกซนที่ห่างหายไปนานก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา เด็กหนุ่มพูดอย่างชั่วร้าย “เดี๋ยวก่อนอู่หยา”
อู่หยาหันหน้าไปมองโจวเหว่ยชิง สำหรับชายหนุ่มที่อายุยังน้อยแต่ความแข็งแกร่งกลับพัฒนาขึ้นพรวดพราดจนแซงหน้าเธอไปได้ เพื่อนที่แสนน่ากลัวคนนี้จึงได้รับความเคารพจากอู่หยาอย่างแท้จริง นอกจากนี้หญิงสาวยังปฏิบัติต่อโจวเหว่ยชิงในฐานะสหายที่แสนล้ำค่าของตนเสมอ ด้วยเหตุนี้ เธอจึงคลายมือที่กำแน่นออกชั่วขณะ แต่ก็ยังไม่ได้ปล่อยหม่าฉุนออกไปซะทีเดียว
โจวเหว่ยชิงจ้องมองอู่หยา จากนั้นก็หันไปมองหม่าฉุนซึ่งกำลังร้องไห้โอดครวญ “หัวหน้า เห็นแก่ความเป็นพี่น้องของเรา โปรดช่วยข้าด้วย!”
โจวเหว่ยชิงลูบหลังอู่หยาและพูดว่า “อู่หยา อย่าบอกนะว่าหม่าฉุนเป็นคู่หมั้นที่หนีจากงานแต่งของเจ้า?”
อู่หยาพยักหน้าอย่างรุนแรงและขบฟันแน่นขณะที่เธอพูดว่า “นอกจากไอ้สารเลวนี่แล้วจะมีใครอีกล่ะ? เดิมทีครอบครัวของเราได้จัดเตรียมงานแต่งงานของพวกเราไว้เรียบร้อยแล้ว แต่เมื่อเขาพบข้า เขาก็หนีไปโดยไม่บอกกล่าวกับใคร ทั้งยังไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าเขาหายไปไหน ข้าใช้เวลาค้นหาสักพักก่อนจะพบร่องรอยว่าเขาอยู่ในเมืองเฟยหลี่ วันนี้ในที่สุดข้าก็ได้เจอไอ้สารเลวคนนี้แล้ว หม่าฉุน พูดมา ทำไมเจ้าถึงหนีไป? เป็นเพราะข้าขี้เหร่หรืออย่างไร!!?”
แม้จะเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุด อู่หยาก็สามารถประจันหน้ากับพวกเขาได้อย่างกล้าหาญโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า อย่างไรก็ตาม เมื่อเผชิญหน้ากับคู่หมั้นที่หนีจากงานแต่งของตัวเองไป ใบหน้าของเธอก็พลันแดงก่ำด้วยความโกรธ
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอู่หยาในสภาพเช่นนี้ หม่าฉุนจึงทำได้เพียงแค่จ้องมองอีกฝ่ายอย่างทำอะไรไม่ถูกและไม่รู้จะเอ่ยอะไรออกมาดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขามองไปยังคนอื่นๆ และตระหนักได้ว่าไม่มีใครยืนข้างเขาเลย ชายหนุ่มจึงทำได้เพียงแค่นิ่งเงียบอย่างหดหู่
โตวโตวยืนอยู่ข้างๆ โจวเหว่ยชิงมาตลอด และในขณะนั้น หญิงสาวก็พลันกระพริบตาและพูดว่า “อาจารย์เคยบอกไว้ก่อนหน้านี้ว่าไม่มีใครสามารถตัดสินความงามจากรูปลักษณ์ภายนอกได้ นอกจากนั้น ท่านยังบอกว่าความงามในหัวใจเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ข้าสัมผัสได้ว่าหัวใจข้างในของพี่อู่หยางดงามมาก”
โจวเหว่ยชิงเหลือบมองโตวโตวและแอบคิดกับตัวเอง ผู้หญิงคนนี้…เป็นไปได้ไหมว่าอู่หยาเคยซื้อใจนางด้วยขาแกะย่างระหว่างทางกลับ นางจึงได้พูดอย่างนั้นออกมา?
โจวเหว่ยชิงตบหลังอู่หยาเบาๆ อีกครั้งก่อนจะชี้ไปยังห้องขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านข้างและพูดว่า “อย่าทำรุนแรงนักล่ะ ถึงอย่างไรเขาก็อยู่ในมือเจ้าแล้ว บางเรื่องเจ้าก็ต้องระบายออกมาบ้าง ไม่ว่าเจ้าทั้งสองคนจะลงเอยกันหรือไม่ ทว่าก็มีคนหนึ่งต้องชดใช้ความผิดของตนเอง ไปเถิด เจ้าไม่จำเป็นต้องไว้หน้าข้าหรอก”
หม่าฉุนมองไปที่โจวเหว่ยชิงด้วยสายตาที่น่าสงสารราวกับต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ทว่าเมื่อเขาเห็นดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตาของอู่หยา ชายหนุ่มก็ทำได้เพียงอึกอักพูดอะไรไม่ออก ในขณะนั้น จู่ๆ ชายหนุ่มก็รู้สึกคันยิบที่หูและน้ำเสียงแผ่วเบาก็ดังขึ้นในหูของเขา เบาจนแทบฟังไม่ออก นั่นไม่ใช่เสียงของหัวหน้าของเขา โจวเหว่ยชิงหรอกหรือ?
ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในอดีต โจวเหว่ยชิงคงจะไม่สนใจหม่าฉุน ถ้าเขาไม่ปล่อยให้อู่หยาทุบตีอีกฝ่ายจนเขาตายไปครึ่งหนึ่ง โจวเหว่ยชิงก็คงจะไม่อภัยให้ตัวเอง สหายคนนั้นหนีจากงานแต่งงาน บังคับให้คู่หมั้นของตนต้องออกตามหามาเป็นเวลาเนิ่นนาน เขาคือนิยามของคำว่า ‘ตัวปัญหา’ จริงๆ หากไม่ต้องการแต่งงานกับใคร เขาก็แค่พูดออกไป ทำไมต้องหนีไปแบบนั้นด้วย?
อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมาหม่าฉุนกลับมายืนอยู่ข้างเขาในช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุด ออกโรงปกป้องเขาแม้ว่านั่นจะเป็นอันตรายต่อตัวเองก็ตาม ในช่วงเวลานั้น โจวเหว่ยชิงได้คิดปฏิบัติกับเขาในฐานะพี่ชายคนหนึ่งอย่างแท้จริงแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถข้ามแม่น้ำรื้อสะพานได้ และการช่วยเหลือหม่าฉุนเพียงเล็กๆ น้อยๆ ก็เป็นสิ่งที่เขาสมควรจะต้องทำ
ดังนั้น สำหรับเรื่องระหว่างเขากับอู่หยา โจวเหว่ยชิงจึงตัดสินใจจะช่วยเขาเพียงครั้งเดียว ในอนาคตไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นระหว่างพวกเขา นั่นก็ขึ้นอยู่กับทั้งสองคนแล้ว โจวเหว่ยชิงจะไม่ยุ่งเกี่ยวอีกต่อไป
หม่าฉุนกล่าวด้วยสีหน้าน่าสงสารกับอู่หยาว่า “ปล่อยข้าก่อน นี่เป็นเรื่องระหว่างเราสองคนสามีภรรยา อย่าให้คนอื่นมองพวกเราเป็นเรื่องขำขันยามบ่ายเลย พวกเราไปที่ห้องและพูดคุยกันจะดีกว่า เจ้าสามารถทำสิ่งที่เจ้าต้องการกับข้าได้ทุกอย่าง แต่ถึงอย่างไรข้าก็เป็นลูกผู้ชาย อย่างน้อยเจ้าก็ควรจะเหลือหน้าไว้ให้ข้าบ้าง”
คำพูดที่หม่าฉุนเพิ่งเอ่ยออกไปเมื่อกี้นี้เป็นไปตามที่โจวเหว่ยชิงสอนเขา
อู่หยาชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดด้วยความโกรธ “เจ้ายังรู้จักคำว่าลูกผู้ชายอยู่อีกหรือ? ใครเป็นสามีภรรยากับเจ้าไม่ทราบ!” แม้ว่าหญิงสาวจะพูดแบบนั้น แต่สุดท้าย เธอก็ยังปล่อยแขนหม่าฉุนและเดินเข้าไปในห้องอย่างรีบร้อน
หม่าฉุนมองไปที่โจวเหว่ยชิงซึ่งกำลังมองกลับอย่างมีเลศนัย เขาไม่เหลืออะไรจะให้เสียอีกแล้ว ชายหนุ่มรู้ดีว่าตอนนี้เขาไม่สามารถซ่อนตัวได้อีกต่อไป และเขาก็ยกนิ้วโป้งให้โจวเหว่ยชิงอย่างลับๆ ก่อนที่จะเดินตามหลังอู่หยาไป ทว่าในขณะที่เขาเดินผ่านโจวเหว่ยชิง เขาก็ได้รับของบางอย่างอย่างรวดเร็ว
โจวเหว่ยชิงคิดกับตัวเอง พี่ชาย ข้าช่วยเจ้าเท่าที่จะทำได้แล้ว ตอนนี้เจ้าก็อธิษฐานให้ตัวเองก็แล้วกัน
เหตุผลที่โจวเหว่ยชิงคิดแผนให้หม่าฉุนก่อนหน้านี้เป็นเพราะเขารู้จักอู่หยาเป็นอย่างดี แม้ว่าหญิงสาวผู้นี้จะดูกล้าหาญและตรงไปตรงมา แต่ในความเป็นจริง เธอมีไหวพริบและเฉียบแหลมเป็นอย่างมาก สายตาของอู่หยาแสนจะคมกริบ การแสดงละครเป็นหมูกินเสือของเธอนั้นดีกว่าโจวเหว่ยชิงเสียด้วยซ้ำ การไว้หน้าผู้ชายของตนเองเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับผู้หญิงทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้หญิงที่ฉลาดเช่นอู่หยา ถึงอย่างไรพวกเขาก็ยังไม่ได้ตัดขาดความสัมพันธ์กันอย่างแท้จริงและยังถือว่าเป็นคู่หมั้นกันอยู่
หม่าฉุนเดินตามอู่หยาเข้าไปในห้องก่อนจะหันไปปิดประตู บังคับตัวเองให้ดูสงบเยือกเย็นที่สุดเท่าที่จะทำได้
เมื่อเข้ามาในห้องแล้ว อู่หยาก็หมุนตัวกลับไปอย่างกะทันหัน จ้องมองเขาด้วยแววตาเยียบเย็น
หม่าฉุนถอนหายใจ และชายหนุ่มผู้สูง 2 เมตรคนนี้ก็ก้าวไปหาอู่หยาก่อนจะถอนหายใจอีกครั้งและพูดว่า “อู่หยา ข้ารู้ว่าตัวเองได้ทำผิดต่อเจ้าอย่างไม่อาจให้อภัยได้ และแม้ว่าข้าจะขอโทษกี่ครั้ง มันก็คงจะไม่พอสำหรับเจ้า ข้าไม่มีอะไรจะพูดอีกต่อไปแล้ว ลงมือเถอะ หากเจ้าสามารถระบายความรู้สึกของเจ้าได้ ข้าก็จะยอมรับมันเอาไว้เอง ข้าทำให้เจ้าผิดหวังแล้ว” ในขณะที่พูดอย่างนั้น เขาก็หมอบลงต่อหน้าอู่หยา ยกแขนไปรองใต้ศีรษะอยู่ในท่ายอมแพ้ ราวกับยอมรับการโจมตีที่กำลังจะมาถึงโดยดุษฎี
นี่เป็นแผนขั้นตอนที่ 2 ซึ่งโจวเหว่ยชิงสอนหม่าฉุนก่อนจะตามเข้ามา การเผชิญหน้ากับหญิงสาวที่ชาญฉลาดเช่นอู่หยา ภาษาดอกไม้ กลอุบาย หรือการโกหกใดๆ ย่อมไร้ผล ดังนั้นการยอมรับผิดและขอโทษตั้งแต่ครั้งแรกที่เป็นไปได้ย่อมเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการช่วยผ่อนหนักเป็นเบา นับตั้งแต่แผนขั้นแรกของโจวเหว่ยชิงได้ผล ความเชื่อใจที่หม่าฉุนมีต่อเขาก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น
นับตั้งแต่ที่คู่หมั้นคนนี้หนีไปก็อาจกล่าวได้ว่าอู่หยาเกลียดเขามาก อย่างไรก็ตาม เมื่อร่างสูง 2 เมตรของเขาก้มหมอบลงต่อหน้า ปล่อยให้เธอทุบตีและดุด่าเขาตามที่ต้องการ หัวใจของอู่หยาก็อ่อนยวบลง เขาตัวใหญ่มากเกินไป และถ้าเธอทุบตีเขาให้บาดเจ็บได้จริงๆ เขาจะเผชิญหน้ากับโจวเหว่ยชิงในอนาคตได้อย่างไร?
สมาชิกของเผ่าอีกาทองมีความภักดีและแน่วแน่เป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในเรื่องความรัก เมื่อเธอได้ตกลงทำสัญญาว่าจะแต่งงานกับหม่าฉุน หญิงสาวก็คิดว่าตัวเองเป็นของเขาแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะแทบจะไม่เคยพูดจากันเลยสักครั้ง แต่ความเชื่อที่ฝังรากลึกเช่นนี้ย่อมไม่ใช่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ง่ายๆ สิ่งนี้ยังทำให้อู่หยาคิดแทนผู้ชายของเธอเสมอ แม้ว่าเธอจะโกรธเขามากก็ตาม
ด้วยเหตุนี้ ในที่สุดเธอจึงรั้งตัวเองไว้และไม่ได้ลงมือใดๆ ก่อนจะพูดด้วยความโกรธ “หม่าฉุน พูดมา เจ้าต้องการอะไร? ถ้าเจ้าไม่ต้องการแต่งงานกับข้า เราจะกลับไปที่เผ่าเพื่อสะสางธุระของเราให้เสร็จสิ้น จากนั้นพวกเราก็สามารถหักล้างข้อตกลงได้ ทุบตีเจ้าไปก็มีแต่จะทำให้มือข้าสกปรก”