จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 2 เจ้าทำอะไรกับข้า
“สามารถนำหนังสือหย่าร้างออกมาแปะได้ภายใต้สายตาของหลีอ๋อง ทำเอาคนทั่วทั้งเมืองเซิ่งจิงรับรู้กันทั่ว ฝีมือนี้น่าสนใจนัก ข้าให้การสนับสนุนเพื่อดูละครดีๆฉากหนึ่ง มิยิ่งดีรึ” แววตาจวินหย่วนโยวมีประกายเฉลียวฉลาดวาบผ่าน
จวนหลีอ๋อง ดูจะยิ่งสนุกมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว
“ซื่อจื่อฉลาดนัก”
แค่ชั่วเวลาชงชาเสร็จ ในวังก็มีคนออกมาบอกว่า ฮ่องเต้เรียกหลีอ๋องเข้าวังอย่างรวดเร็ว ห้ามมิให้ล่าช้า
จวนหลีอ๋องในตอนนี้ โม่ฉือหานโกรธจัด ลูกน้องมารายงานแต่เช้าว่า หนังสือหย่าร้างฉบับนั้นถูกแปะไว้ที่หน้าประตูหอใต้หล้าตั้งแต่เมื่อคืน ตอนนี้ทำเอารู้กันทั้งเมือง
เมื่อคืนเขาพึ่งให้เหลยถิงเอาไปให้หยุนถิง หรือว่าเป็นฝีมือหญิงอัปลักษณ์หยุนถิงนั่น?
น่าตายนัก รอข้ากลับมาคิดบัญชีกับหญิงอัปลักษณ์ผู้นั้นเสียก่อนเถอะ โม่ฉือหานตามคนจากวังไปที่พระราชวัง
เรือนอีหลัน หยุนถิงกับเยว่เอ๋อร์กำลังเก็บข้าวของ
“คุณหนู พวกเราจะกลับไปตระกูลหยุนจริงรึ?” เยว่เอ๋อร์ถามอย่างหวั่นใจ
“แล้วจะยังไงเล่า ตระกูลหยุนเป็นบ้านเดิมข้านะ ข้าต้องกลับไปอยู่แล้วสิ” หยุนถิงไม่ได้คิดอะไรมากเลย
“ไอ้โหย โดนหย่าร้างแล้วยังมีหน้ากลับไปตระกูลหยุนอีก กลัวว่าเจ้าอยากกลับไป ตระกูลหยุนก็ไม่กล้ารับเจ้ากลับน่ะสิ นี่เป็นการแตกหักกับท่านอ๋องอย่างเปิดเผย บัดนี้เรื่องที่เจ้าถูกท่านอ๋องหย่าร้างนั้นลือไปทั่วเมืองเซิ่งจิงแล้ว ทำเรื่องอับอายให้กับตระกูลเช่นนี้แล้วยังมีหน้าอยู่ต่อ หากข้าเป็นเจ้านะ ข้าจะหาบ่อน้ำบ่อหนึ่งมุดหัวเข้าไปจมน้ำตายให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย” น้ำเสียงเย้ยหยันเสียดแก้วหูเสียงหนึ่งลอยมา
หยุนถิงมองผู้หญิงที่เดินเข้ามาด้วยสายตาเย็นเยียบ จากความทรงจำของร่างเดิม นี่คือโจวอีเม่ย ซึ่งเป็นพระชายารองของหลีอ๋อง
บุตรสาวรองเจ้ากรมมหาดไทย หน้าตาเย้ายวน ได้รับการโปรดปรานจากหลีอ๋องมาก เลยทำให้เย่อหยิ่งจองหอง ดื้อดึงเอาแต่ใจ
“เจ้าอย่าพูดซี้ซั้วนะ คุณหนูมิได้ทำให้ตระกูลหยุนอับอายเสียหน่อย” ถึงเยว่เอ๋อร์จะหวาดกลัวพระชายารองคนนี้ แต่ก็ยังทำใจกล้าแข็งขึงใส่
“สาวใช้ตัวน้อยอย่างเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาพล่ามต่อหน้าข้า ข้าจะสั่งสอนเจ้า” โจวอีเม่ยยกฝ่ามือขึ้นซัดใส่
หยุนถิงสีหน้าเย็นเยียบดุจน้ำค้างแข็ง สายตาวาบผ่านประกายมาดร้ายและเย็นเยียบ เธอไม่ใช่หญิงโง่งมไร้สมองที่ทำอันใดมิเป็นคนนั้นอีกแล้ว
ผู้ที่รังแกเธอ ต้องเอาคืนเป็นร้อยเท่า
“เพี๊ยะ!” เสียงตบหน้าฉาดใหญ่ดังขึ้น ไม่ใช่เยว่เอ๋อร์แต่เป็นโจวอีเม่ย
“อ๊า! นังหยุนถิง หญิงอัปลักษณ์อย่างเจ้ากล้าตบข้า ข้าจะฆ่าเจ้า” มีมีดสั้นขึ้นมาในมือโจวอีเม่ย พุ่งแทงไปที่หยุนถิง
มีดนี้เต็มไปด้วยความอาฆาต
ยังไงซะท่านอ๋องก็หย่าขาดกับนางแล้ว ตระกูลหยุนเองก็ไม่กล้ารับหญิงม่ายผัวหย่ากลับไป อีกอย่างตัวหยุนถิงเองก็โง่งมไร้สมองผู้หนึ่งเท่านั้น ดังนั้นโจวอีเม่ยเลยเหิมเกริมเช่นนี้
“คุณหนู ระวัง!” เยว่เอ๋อร์ร้องเสียงดัง
หยุนถิงเหล่มองโจวอีเม่ยอย่างไม่แคร์ “หาเรื่องตาย!” เห็นเพียงเธอสะบัดมือ ผงสีขาวก็พัดเข้าหาโจวอีเม่ย
“นังหยุนถิง เจ้าทำอะไรกับข้า?” โจวอีเม่ยถามอย่างตกใจ
“ก็แค่ผงยาที่ทำให้คนเจ็บปวดไม่สู้ตายและเสียโฉมเท่านั้น ไม่มีใบหน้านี้ข้าจะดูสิว่าหลีอ๋องยังจะโปรดปรานเจ้าอยู่หรือไม่”
“ไม่ ข้าไม่อยากเสียโฉม หยุนถิงเจ้ามันหญิงอัปลักษณ์ชั่วร้ายอำมหิต เจ้าต้องไม่ตายดีแน่ โอ๊ย หน้าข้า เจ็บปวดนัก” โจวอีเม่ยครวญครางด้วยความเจ็บปวด
ความเจ็บปวดที่แสบร้อนบนแก้มประหนึ่งเหมือนโดนมีดกรีดเนื้อก็ไม่ปาน เจ็บจนอยากตาย และยังคันมาก นางอยากจะเกา แต่ก็กลัวจะเสียโฉมจริงๆ เลยได้แต่ทนไว้
“หยุนถิง ข้าสู้ตายกับเจ้าแล้ว” โจวอีเม่ยกรีดร้องพลางฝ่าเข้ามา
เพียงแต่นางยังไม่ทันได้เข้าใกล้หยุนถิง หยุนถิงถีบมีดสั้นที่นางทำตกเมื่อครู่ไปหา
โจวอีเม่ยพลันรู้สึกว่ามีลมเย็นพัดผ่านข้างหู จากนั้นมีดสั้นเล่มนั้นก็ปักเข้าไปที่ตู้แกะสลักดอกไม้ข้างๆ ผมปอยหนึ่งหล่นลงผ่านหูไป
โจวอีเม่ยตกใจงงเป็นไก่ตาแตก หากเมื่อครู่มีดสั้นนั่นเอียงแค่นิดเดียว เช่นนั้นสิ่งที่หล่นลงบนพื้นคงมิใช่ผมของนาง แต่เป็นหัวนางแล้ว
“เจ้า เจ้ามิใช่หยุนถิง?” โจวอีเม่ยหวาดกลัว แต่ก็ยังมองพลางถามอย่างสงสัย
หยุนถิงเป็นหญิงโง่งมไร้ประโยชน์ที่เลื่องชื่อไปทั่วเมืองเซิ่งจิง ไม่ยอมร่ำเรียน ไม่มีความรู้อันใด ดื้อดึงเอาแต่ใจ โง่งมไร้สมอง มีฝีมือเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
แววตาหยุนถิงฉายแววเย็นเยียบและไม่แยแส พลางเข้าใกล้นาง “ข้าไม่ใช่หยุนถิงจริงๆ ข้าเป็นวิญญาณของหยุนถิง คืนสมรสโดนโม่ฉือหานบีบคั้นจนตาย ข้าเป็นวิญญาณอาฆาตมาทวงชีวิตคืน ข้าจะให้โม่ฉือหานอยู่ไม่สู้ตาย จะให้ทั่วทั้งจวนหลีอ๋องไม่มีวันเป็นสุขอีกเลย”
“เจ้า เจ้า…” โจวอีเม่ยมองเธออย่างหวาดกลัว ยังอยากพูดอะไร แต่ก็หน้ามืดเป็นลมไปเสียก่อน
หยุนถิงยิ้มมุมปากอย่างเยาะหยันและไม่แคร์ ฝีมือแค่นี้ก็กล้ามากร่างต่อหน้าตน
หยุนถิงหันไปดึงเยว่เอ๋อร์ที่นั่งตกใจอึ้งอยู่ที่พื้น “ยังนั่งบื้อทำไมเล่า ไปเถอะ นับตั้งแต่ตอนนี้พวกเราเป็นอิสระแล้ว”
เยว่เอ๋อร์ถึงได้สติกลับมา เมื่อครู่คุณหนูช่างเก่งกาจนัก นางไม่รู้มาก่อนเลยว่าคุณหนูจะมีฝีมือเช่นนี้ด้วย นางรีบเข้าไปหยิบห่อผ้า ทั้งสองคนออกจากประตูหน้าของจวนหลีอ๋องออกไป
องครักษ์และทหารรักษายามของจวนอ๋องล้วนไม่ได้ขวางกั้น หญิงชั่วร้ายที่อัปลักษณ์ยิ่งนักผู้นี้ไปเสียได้ พวกตนต้องจุดธูปไหว้พระถึงจะถูก
ระหว่างเดินอยู่บนถนน เยว่เอ๋อร์ถามขึ้นด้วยสีหน้ากังวล “คุณหนู งั้นตอนนี้พวกเราจะไปที่ใดกันดี กลับตระกูลหยุนไหม?”
หยุนถิงเห็นหอชุนเฟิงที่อยู่ห่างไปไม่ไกล มีผู้หญิงสิบกว่าคนในชุดสีสันฉูดฉาดยืนเรียกแขกอยู่ที่หน้าประตู
“เยว่เอ๋อร์ พวกเราไปหอชุนเฟิงกัน”
เยว่เอ๋อร์ตกใจมาก “คุณหนู นั่นเป็นสถานที่ที่บุรุษไป ไม่ใช่สถานที่ดีอะไร พวกเราอย่าไปเลย”
“กลัวอะไร ข้า คุณหนูเจ้าน่ะลำบากมาสิบกว่าปี นับตั้งแต่วันนี้ข้าจะสบายอย่างที่ข้าต้องการ” หยุนถิงลากนางไป
เหล่าหญิงคณิกาที่ยืนเรียกแขกอยู่หน้าหอชุนเฟิงพอเห็นหยุนถิง ก็พากันทำสีหน้าดูถูก “นี่มิใช่พระชายาหลีรึ? อ้อไม่สิ คือพระชายาม่ายหลี เรื่องหนังสือหย่าร้างแพร่กระจายไปทั่วเมืองเซิ่งจิงตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วนี่”
“แขกที่มาหอชุนเฟิงของเราหากมิใช่มีอำนาจมากก็ร่ำรวยยิ่งนัก และยังเป็นบุรุษทั้งนั้น นี่คุณหนูหยุนเสียใจวิปลาสไปแล้วรึไร ถึงจะมาหอชุนเฟิง?”
“ต่อให้โดนหย่าร้างแล้ว ก็มิถึงกับต้องคิดไม่ตกเช่นนี้ สตรีของหอชุนเฟิงเราล้วนงามงดไปตามๆกัน หน้าตาเช่นเจ้านี่พวกเราไม่รับไว้ดอก”
เหล่าหญิงคณิกาต่างพูดกันอย่างกระทบกระเทียบเหยียดหยัน หยุนถิงกลับไม่โกรธเลยสักนิด เธอหยิบตั๋วเงินปึกหนึ่งออกมา “ข้าไม่ได้จะมาทำงานเป็นหญิงคณิกาดอก แต่มาใช้บริการต่างหาก เท่านี้พอหรือไม่?”
เหล่าหญิงคณิกาที่เมื่อครู่ดูถูกหยุนถิงพลันเหมือนโดนตบหน้า มองตั๋วเงินในมือหยุนถิง แต่ละใบคือหนึ่งหมื่นตำลึง นี่ต้องมีหลายแสนตำลึงแล้ว
“พอ พอแน่นอน คุณหนูหยุนช่างใจกว้างยิ่งนัก เชิญด้านในเถิด” สตรีชุดแดงคนหนึ่งรีบเข้ามาเชื้อเชิญ
“ไม่เลว รู้จักวางตน” หยุนถิงดึงตั๋วเงินหนึ่งใบยัดใส่หน้าอกนาง
สตรีชุดแดงดีใจหนักหนา ถึงคุณหนูหยุนผู้นี้จะหน้าตาอัปลักษณ์ แต่ใจป้ำยิ่งนัก นางรีบนำทางเข้าไปทันที
“คุณหนูหยุน พวกข้าก็มาปรนนิบัติท่านด้วย” สตรีผู้อื่นเห็นอย่างนั้นก็ตามเข้ามา
“มาๆ ทุกคนมา ขอเพียงพวกเจ้าปรนนิบัติข้าดี ตั๋วเงินพวกนี้ก็จะเป็นของพวกเจ้า” หยุนถิงแจกเงิน
สตรีหลายคนที่เมื่อครู่ดูถูกหยุนถิง ต่างมีสีหน้ากระอักกระอ่วน พอเห็นคนอื่นได้ตั๋วเงิน ก็ตาร้อนผ่าวด้วยความอิจฉา คิดจะเข้ามาร่วมด้วย
หยุนถิงเหล่พวกนั้น “เมื่อครู่พวกเจ้าดูถูกข้า บอกว่าข้าเป็นพระชายาม่าย หน้าตาน่าเกลียด ไม่คู่ควรเข้าหอคณิกา ตอนนี้กลับยืนอยู่ที่นี่รอรับเงินของข้า ทำไมข้ารู้สึกว่าพวกเจ้าหน้าไม่อายเสียยิ่งกว่าข้าเล่า”