จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 12 ข้าไปมอบสินสอดแทนซื่อจื่อ
ทุกคนพากันมองฮ่องเต้ที่อยู่บนบัลลังก์ ไม่มีใครกล้าหยิบเลย
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทุกคนก็ลองกันดูเถอะ” ฮ่องเต้พูดเนิบช้า
ทุกคนรีบเข้าไปคว้าขนมมันเทศเหล่านั้นมาลองกินดู พวกเขาไม่เคยได้กินขนมมันเทศที่อร่อยขนาดนี้มาก่อนเลย คราวนี้ทุกคนยิ่งมีกำลังใจ พยายามเรียนทำ
ขนาดซูกงกง ที่อยู่ข้างๆเห็นภาพนี้ยังอดตื่นเต้นไม่ได้ แต่ก็กลัวเสียหน้า ไม่กล้าไปหยิบ”
“กงกงสองชิ้นนี้มีมากเกินไป ทุกคนกินไม่ลงแล้ว รบกวนท่านช่วยแบ่งเบาสักหน่อยเถิด” หยุนถิงไว้หน้าเขา
หยุนถิงไม่ใช่คนชอบเยินยอใคร แต่ก็รู้ว่าจะทำให้กงกงที่อยู่ข้างกายฮ่องเต้เกลียดไม่ได้ มีเพื่อนมากขึ้นดีกว่ามีศัตรู
“กระหม่อมสามารถช่วยฝ่าบาทแบ่งเบาได้ ถือเป็นเกียรติของกระหม่อมนัก” ซูกงกงพูดอย่างนอบน้อม รับถาดมาและหยิบขนมมันเทศนั่นมากินหนึ่งคำ พลันเบิกตากว้าง มีแววสงสัย จากนั้นกินติดต่อกันอีกหลายคำ
“กงกง รสชาติไม่เลวเลยใช่ไหม?” หยุนถิงถาม
“อร่อยกว่าที่กระหม่อมเคยกินมากนัก” ซูกงกงก็ไม่อ้อมค้อม ฮ่องเต้ยังชมเชยเลย เขาพูดจาดีหน่อยก็ไม่มีอะไรเสียหาย ยิ่งไปกว่านั้นก็อร่อยจริงๆ
หยุนถิงสีหน้าพอใจ รีบหันไปดูทุกคนทำ
เวลาคนพวกนั้นทำตรงไหนไม่ถูก หยุนถิงจะรีบเข้าไปแก้ไข คนไหนที่ไม่เข้าใจถามอยู่หลายครั้ง หยุนถิงก็ไม่ได้รำคาญ ยังคงตั้งใจสอนอย่างละเอียดจริงจังทุกครั้ง จนทุกคนทำเป็น
ฮ่องเต้ที่อยู่บนบังลังก์เห็นหยุนถิงที่เป็นแบบนี้ ดวงตาดำขลับคู่นั้นมีแววชื่นชม
สตรีผู้นี้ไม่หยิ่งผยอง ไม่รับความดีความชอบแต่ก็ไม่โอ้อวด อ่อนน้อมถ่อมตน มั่นใจในตนเอง ทำให้เขาต้องมองนางใหม่แล้วจริงๆ
ขันทีน้อยผู้หนึ่งวิ่งเข้ามารายงานจากด้านนอก “ฝ่าบาท หลีอ๋องขอเข้าเฝ้า”
“ให้เขาไปรอที่ห้องทรงพระอักษร ข้ามีเรื่องต้องจัดการ เจ้าสอนอยู่ที่นี่ดีๆ สอนให้เป็นหมดทุกคน” ฮ่องเต้กำชับ
“ฝ่าบาทวางพระทัยได้ หม่อมฉันต้องทำสำเร็จตามรับสั่งแน่นอน” หยุนถิงถวายบังคม
ฮ่องเต้จากไปกับซูกงกง หยุนถิงถึงถอนหายใจโล่งอก เมื่อคืนไม่ได้นอนทั้งคืน แล้วยังยุ่งจนถึงตอนนี้ หยุนถิงหาวหวอดๆ หันมองรอบด้าน จากนั้นยกเก้าอี้มานั่งลง
“ที่ควรสอนข้าก็สอนไปหมดแล้ว พวกเจ้าทำตามที่ข้าบอกเมื่อครู่ไม่มีปัญหาแน่นอน จุดไหนไม่รู้ก็พูดคุยแลกเปลี่ยนกัน พูดคุยกัน หากยังไม่ถูกอีกก็เรียกข้า ข้าขอหลับสักหน่อย” หยุนถิงพูด นั่งหลับตาพิงเก้าอี้
สีหน้าคนอื่นดูแข็งค้าง คุณหนูหยุนผู้นี้ช่างบังอาจเกินไปแล้ว ฝ่าบาทพึ่งไปนางก็นอนหลับ แต่ทุกคนก็ไม่กล้าพูดอะไร ที่ควรสอนนางก็สอนหมดแล้ว หากยังเรียนไม่ได้อีกเป็นปัญหาของพวกเขาแล้ว ทุกคนเลยทำต่อไป
ห้องทรงพระอักษร
หลีอ๋องถวายบังคมให้ฮ่องเต้ “เสด็จพี่ อีกเดือนหนึ่งก็เป็นเทศกาลดอกท้อแล้ว หม่อมฉันเลยมาเรียนถามเสด็จพี่ เทศกาลดอกท้อปีนี้เสด็จพี่วางแผนไว้หรือไม่?”
ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว “ทุกปีก็คือพาเหล่าขุนนางไปชมดอกไม้ด้วยกัน ขับกลอนกวีไปมา ไม่มีอะไรมาก”
“หม่อมฉันคิดว่า ทางนั้นมีทะเลสาบใหญ่ สามารถให้คนไปปล่อยปลาสักหน่อย ถึงเวลานั้น เทศกาลดอกท้อจัดการแข่งตกปลาขึ้น สตรีชั้นสูงที่มาชมดอกไม้ทุกปีมีมากนัก และยังสามารถจัดการแข่งขันฝีมือทำอาหาร มีเวลาเตรียมตัวหนึ่งเดือน ถึงเวลนั้นก็ใช้หัวข้อว่าดอกท้อ ไม่จำกัดรูปแบบอย่างใดอย่างหนึ่ง ผู้ชนะก็ให้รางวัลที่สมควร แบบนี้ทั้งกระตุ้นความกระตือรือร้นของทุกคน และไม่น่าเบื่อขนาดนั้นด้วย เสด็จพี่คิดว่าเป็นอย่างไร?” หลีอ๋องถามความเห็น
“ความคิดนี้ดีมาก ไม่เลว เรื่องของเทศกาลดอกท้อให้เจ้าจัดการแล้วกัน” ฮ่องเต้ชื่นชม
“พ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันรับคำสั่ง เสด็จพี่ หม่อมฉันยังมีอีกเรื่องขอร้อง”
“ข้ารู้ว่าเจ้าอยากจะให้ข้ายกเลิกสัญญาแต่งงานของเจ้ากับหยุนถิง เจ้าคิดครบถ้วนแล้ว ไม่เสียใจภายหลังใช่หรือไม่?” ฮ่องเต้ถาม
“ชาตินี้หม่อมฉันไม่อยากเห็นหญิงอัปลักษณ์นางนั้นอีกแล้ว รับรองว่ามิมีวันเสียใจภายหลังแน่นอน” หลีอ๋องพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม พลางถวายบังคม
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะร่างราชโองการละ” ฮ่องเต้เริ่มร่างราชโองการหย่าร้าง
“ขอบพระทัยเสด็จพี่” หลีอ๋องซาบซึ้งใจมาก
“เรื่องนี้ข้าคิดไม่รอบคอบเอง บัดนี้พวกเจ้าหย่าร้างกันก็ถือว่าทำข้าคลายกังวลไป ซูกงกงเจ้าตามหลีอ๋องไปประทานราชโองการเถอะ” ฮ่องเต้ตรัสเสียงเนิบ
“พ่ะย่ะค่ะ”
พอออกจากพระราชวัง ซูกงกงก็นำราชโองการไปประกาศที่ตระกูลหยุน จากนั้นก็ไปที่ว่าราชการและตามท้องถนนของเมืองหลวง ประกาศต่อใต้หล้า หลีอ๋องหย่าร้างกับหยุนถิง ต่อไปไม่มีพันธะต่อกัน ต่างฝ่ายมีสิทธิ์แต่งงานได้ตามอิสระ
พอข่าวนี้ออกมา ทำเอาทั้งเมืองหลวงตกตะลึงไปตามๆกัน
“ฝ่าบาทเห็นด้วยให้หลีอ๋องหย่าร้างกับหยุนถิงแล้ว ดียิ่งนัก คราวนี้ในที่สุดหลีอ๋องก็สามารถหลุดพ้นจากความทุกข์แล้ว” ประชาชนคนหนึ่งพูดขึ้น
“ใช่ หญิงอัปลักษณ์เช่นหยุนถิงอย่างนั้นมิคู่ควรกับหลีอ๋องเลยสักนิด เมื่อคืนพึ่งโดนหลีอ๋องให้หนังสือหย่า วันนี้ก็ประทานราชโองการหย่าร้าง ถ้าข้าเป็นหยุนถิงคงหัวโชกกำแพงตายไปให้รู้แล้วรู้รอดเลย ขายขี้หน้ายิ่งนัก”
“หย่าร้างต้องเป็นเพราะฝ่าบาทเห็นแก่หน้าเฉิงเซี่ยงแน่ ถึงได้ยังรักษาหน้าให้หยุนถิงอยู่บ้าง หญิงอัปลักษณ์เช่นนางมีหรือยังต้องไว้หน้าอีก”
ชาวบ้านวิพากษ์วิจารณ์กัน ทั้งหมดล้วนดูถูก รังเกียจ หยามหยันหยุนถิง ต่างพากันถอนหายใจโล่งอกที่หลีอ๋องหลุดพ้นจากนางได้สักที
จวนซื่อจื่อ
จวินหย่วนโยวยังสลบไม่ได้สติ คนรับใช้ที่ไปตลาดกลับมารายงาน บอกว่าฝ่าบาทประทานราชโองการหย่าร้างแล้ว ยกเลิกสัญญาแต่งงานระหว่างหลีอ๋องกับคุณหนูหยุน
“เจ้าว่า ซื่อจื่อจะไปมอบสินสอดจริงรึ ถึงคุณหนูหยุนจะสามารถช่วยบำรุงร่างกายของซื่อจื่อได้ แต่ยังไงนางก็พึ่งโดนหลีอ๋องหย่าร้างมา หากซื่อจื่อแต่งกับนาง ดูจะเสื่อมเสียชื่อเสียงนะ” รั่วจิ่งบอกอย่างกังวล
“ห้ามพูดจาเหลวไหล เอาแค่ที่คุณหนูหยุนสามารถช่วยบำรุงร่างกายของซื่อจื่อได้ จุดนี้นางก็คู่ควรกับซื่อจื่อแล้ว เมื่อวานซื่อจื่อบอกกับหยุนเซี่ยงว่า เมื่อใดที่ฝ่าบาทยกเลิกสัญญาแต่งงาน ก็จะส่งสินสอดไปที่ตระกูลหยุน ตอนนั้นข้าอยู่นอกรถม้าได้ยินชัดเจนนัก เพียงแต่ตอนนี้ซื่อจื่อไม่ได้สติอยู่ น่ากลัวต้องเลื่อนออกไป” หลิงเฟิงพูดอย่างเคร่งเครียด
พ่อบ้านเดินเข้ามา ได้ยินคำพูดของพวกเขาสองคน กระแอมไอออกมาสองคำ “พวกเจ้าสองคนนี่โง่หรือเปล่า ไม่เห็นว่าข้าอยู่รึ?”
“ท่าน?” รั่วจิ่งไม่เข้าใจ
“ข้าเป็นพ่อบ้านของจวนซื่อจื่อ ย่อมเป็นตัวแทนซื่อจื่อได้อยู่แล้ว” พ่อบ้านลั่วพูดอย่างเย่อหยิ่ง
“พ่อบ้าน ความหมายของท่านคือ ท่านจะไปมอบสินสอดแทนซื่อจื่อ?” รั่วจิ่งถาม
“มีอันใดไม่ได้กัน ข้าให้คนไปเตรียมสินสอดแล้ว อีกหนึ่งชั่วยามก็จะไปมอบสินสอด” พ่อบ้านลั่วตอบ
เมื่อคืนเขาแอบถามหลิงเฟิงถึงได้รู้ว่า ที่แท้เมื่อคืนทั้งคืนคุณหนูหยุนช่วยซื่อจื่อถอนพิษไปได้สองส่วนแล้ว ขนาดหมอมีชื่อจากสี่แคว้นยังไม่มีฝีมือเช่นนี้เลย หลายปีมานี้ก็ทำได้แค่ช่วยซื่อจื่อบำรุงร่างกาย
ดังนั้นวันนี้พ่อบ้านลั่วสั่งคนแต่เช้าให้ไปเตรียมสินสอด สตรีที่มีฝีมือการแพทย์ดีเช่นนี้ต้องแต่งเข้ามาให้ได้
“พ่อบ้าน ความเร็วของท่านนี่เร็วเกินไปแล้วกระมัง รอถามเมื่อซื่อจื่อฟื้นก่อนค่อยตัดสินใจดีหรือไม่?” รั่วจิ่งถามอย่างกังวล
“ไม่ต้อง สัญญาระหว่างซื่อจื่อกับคุณหนูหยุน ข้าได้ยินชัดเจนหมดแล้ว รั่วจิ่งเจ้าอยู่เฝ้าคุ้มครองซื่อจื่อที่จวน ข้ากับหลิงเฟิงไปมอบสินสอด” พ่อบ้านหมุนตัวจากไป
หลิงเฟิงรีบตามไปทันที เขาชื่นชมความรวดเร็วของพ่อบ้านยิ่งนัก
เหล่าประชาชนที่เดิมพุดคุยและดูถูกหยุนถิงบนท้องถนนเห็นขบวนรถม้าขบวนใหญ่ออกจากจวนซื่อจื่อ ทุกคนล้วนใส่ชุดแดง หามกล่องสีแดงหลายร้อยกล่อง ตีฆ้องร้องป่าว ขบวนใหญ่เอิกเกริกมุ่งหน้าตรงไปยังจวนตระกูลหยุน ดูครึกครื้นยิ่งนัก
คนนำคือพ่อบ้านของจวนซื่อจื่อ และยังมีหลิงเฟิงซึ่งเป็นองครักษ์ประจำตัวของจวินซื่อจื่อ