จอมนางข้ามพิภพ บทที่37 หรือนางไม่ได้โกหก
หยุนถิงกำลังคิดว่าเดี๋ยวจะจัดการกับฮ่องเต้และหลีอ๋องยังไง เลยไม่ทันได้สังเกตถึงความผิดปกติของจวินหย่วนโยว
จวินหย่วนโยวหายใจถี่ขึ้น รีบแต่งตัวให้นางเร็วๆ แต่ยิ่งเขาอยากทำเร็วมากแค่ไหน ก็ยิ่งลนลานมากขึ้นเท่านั้น สุดท้ายไม่ทันระวังโดนผมของหยุนถิง
“โอ๊ย! ซื่อจื่อดึงผมข้าทำไม” หยุนถิงกรีดร้อง
“ขอโทษด้วยนะ เจ็บไหม” จวินหย่วนโยวขอโทษแล้วหยุดลง
“ไม่เป็นไร ซื่อจื่อก็ใส่เสื้อให้ผู้หญิงครั้งแรก คงจะไม่เคยชินเท่าไหร่” หยุนถิงว่าแล้วก็มองไปยังจวินหย่วนโยว
แต่กลับเห็นสายตาเขาดูไม่ปกติ ใบหูแดงระเรื่อ เขาคงจะเขินสินะ
หยุนถิงหรี่ตาลง แล้วพูดหยอกว่า: “ซื่อจื่อ ท่านก็เขินเป็นเหมือนกันเหรอ?”
“ไม่ใช่แบบนั้น”
“งั้นทำไมถึงหน้าแดงล่ะ?”
“หน้าต่างปิดไว้หมดไม่มีลมพัดเข้ามา ข้าก็เลยรู้สึกร้อนน่ะ” จวินหย่วนโยวหาข้ออ้าง
“งั้นเหรอ กลางคืนอากาศหนาวขนาดนี้ จะร้อนได้ยังไง หรือว่าซื่อจื่อตื่นเต้น?” หยุนถิงตั้งใจเป่าหูเขาเบาๆ
ในความอบอุ่นมีความจักจี้เบาๆ ใบหน้าของจวินหย่วนโยวเหมือนกุ้งที่ถูกต้มสุก แดงไม่ไหว เขาไม่ช่วยหยุนถิงใส่เสื้อผ้าต่อ แล้วหลับหัน รีบเดินไปที่ประตูอย่างลนลาน
“เจ้าเร็วหน่อยนะ ซูกงกงกำลังรออยู่” พอพูดจบ จวินหย่วนโยวก็เดินตรงออกไปจากห้อง สุดท้ายก็ไม่ทันระวังสะดุดล้ม น่าอายยิ่งกว่าเดิม
หยุนถิงหัวเราะเสียงดัง เจ้าหมอนี่ก็ตลกดีเหมือนกัน ไม่คิดว่าท่าทางที่ตื่นเต้นของเขาจะเป็นแบบนี้
แต่มาคิดแล้วก็ใช่ ซื่อจื่อก็อายุแค่สิบเก้ายี่สิบ คนโบราณเริ่มแต่งงานกันตอนอายุสิบสี่ จวินหย่วนโยวไม่ได้แต่งงานเพราะป่วย ไม่มีหญิงมาบำเรอเลยสักคน หยุนถิงอาจจะเป็นผู้หญิงคนแรกของเขา ตอนเขาอยู่ใกล้กับผู้หญิงครั้งแรก ก็ต้องตื่นเต้นอยู่แล้ว
หยุนถิงไม่รอช้า รีบผูกผ้าที่เอวแล้วเดินออกไป จากนั้นก็ตามจวินหย่วนโยวกับซูกงกงเข้าวังไป
พวกเขายังไปไม่ถึงตำหนัก ก็ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งดังขี้น หยุนถิงอดไม่ได้ขมวดคิ้ว: “เสียงหัวเราะน่ากลัวจริงๆ”
ซูกงกงพูดอย่างเห็นด้วย: “นั่นสิ ดึกดื่นแบบนี้ ฝ่าบาทยังต้องตื่นเพราะนาง ดังนั้นก็เลยอารมณ์ไม่ค่อยดี เดี๋ยวคุณหนูหยุนต้องระวังหน่อยนะ”
“ขอบใจที่เตือนนะ”
หยุนถิงสามคนเดินไปที่ตำหนัก เดินเข้าไปก็เห็นนางงามลั่วกำลังหัวเราะเสียงดัง ไม่มีความหยิ่งผยองจองหองมีเสน่ห์เหมือนก่อนหน้านี้ นางงามลั่วในตอนนี้สีหน้าซีดเซียว ขอบตาดำ เอาแต่เช็ดน้ำตาขี้มูกไม่หยุด ถึงแม้จะเป็นแบบนี้ แต่ก็ดูน่าสงสารมาก
“ตายแล้ว! นางงามลั่วทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะ น่าเกลียดจัง อย่างกับผีแหนะ?” หยุนถิงแกล้งทำเป็นตกใจ
“หยุนถิงเจ้าอย่าเสแสร้งไปหน่อยเลย อย่าทำเป็นไม่รู้ ผู้หญิงของข้าถูกเจ้าทำร้ายจนเป็นแบบนี้ ถ้าเจ้าไม่ทำร้ายนางในร้านเครื่องสำอาง นางจะเป็นแบบนี้เหรอ” หลีอ๋องโมโห
หยุนถิงตกใจ รีบไปหลบหลังจวินหย่วนโยว: “ซื่อจื่อ หลีอ๋องดุข้า”
จวินหย่วนโยวสีหน้าเย็นชา เหลือบมองหลีอ๋องด้วยสายตาที่เย็นชา: “หลีอ๋อง เจ้าทำให้ฮูหยินข้าตกใจหมด”
“นางไม่กลัวใครในโลกนี้บ้าง?” หลีอ๋องถามกลับอย่างไม่พอใจ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นพวกเรากลับจวนกันเถอะ ดึกดื่นแบบนี้ รบกวนพวกเราสร้างทายาทอีก” หยุนถิงเบะปาก
ได้ยินคำนี้ หลีอ๋องก็โกรธจัด: “หยุนถิงเจ้าอย่าทำเกินหน้านะ นางงามของข้าเป็นแบบนี้ก็เพราะเจ้า ตอนนี้เสด็จพี่เรียกพวกเจ้ามา เจ้ายังลำเลิกไม่สนใจอำนาจของราชวงศ์อีก เจ้าคิดจะขัดคำสั่งเสด็จพี่หรือไง?”
“หลีอ๋องใส่ร้ายเกินไปแล้ว ข้าก็เป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ รับคำสบประมาทนี้ไม่ไหวหรอกนะ” หยุนถิงว่าแล้ว ก็คุกเข่าทำความเคารพฮ่องเต้
จวินหย่วนโยวก็ทำความเคารพแต่ไม่ได้คุกเข่า
ฮ่องเต้ที่เห็นแล้วก็มีสีหน้าบึ้งตึงไม่พอใจ: “หยุนถิง หลีอ๋องบอกว่าเจ้ารังแกนางงามลั่วกลางร้านเครื่องสำอาง แถมยังทำร้ายนางด้วย มีเรื่องนี้เกิดขึ้นจริงหรือไม่?”
“ตอบฝ่าบาท วันนั้นในร้านเครื่องสำอาง ข้าให้เถ้าแก่เอาเครื่องสำอางที่แพงที่สุดออกมา จากนั้นนางงามลั่วก็เข้ามาด่าข้าแล้วบอกว่ายอมจ่ายด้วยราคาสองเท่า ยังไงก็ต้องคำนึงถึงคนมาก่อนหลังไหม ตอนแรกข้าว่าจะไม่เสวนากับนางงามลั่วแล้ว แต่นางกลับคิดจะทำร้ายข้า ข้ารับใช้ข้าโดนนางตบไปหนึ่งที
จากนั้นนางก็บอกว่าข้าถูกหลีอ๋องบอกเลิก แล้วหันไปแต่งงานกับซื่อจื่อ เป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ไร้ยางอาย หลอกล่อผู้ชายทุกวิถีทาง นางยังบอกว่าซื่อจื่อชีวิตสั้น ตั้งแต่เล็กจนโตเอาแต่กินยา ไม่แน่อาจจะตายวันตายพรุ่งก็ได้
ถึงเวลา ถ้าซื่อจื่อตายไป องครักษ์เงามังกรก็จะเป็นของหลีอ๋อง ขอแค่หลีอ๋องได้องครักษ์เงามังกรมาครอบครอง ทั้งแคว้นต้าเยียนก็จะเป็นของเขาเพียงผู้เดียว ถึงแม้เขาจะไม่ใช่ฮ่องเต้ แต่ถ้าหากมีองครักษ์เงามังกรในมือ ขุนนางทุกคนก็ไม่กล้าทำอะไรเขา ถึงเวลาฝ่าบาทก็ยังต้องไว้หน้าเขาเลย” หยุนถิงพูดอย่างจริงจัง
นางงามลั่วร้อนใจมาก นางอยากอธิบายแต่กลับพูดไม่ออก นางพยายามส่ายหน้าอย่างแรง
“หยุนถิงหุบปากเดี๋ยวนี้นะ นางงามของข้าไม่เคยพูดแบบนั้นมาก่อน เจ้าตั้งใจใส่ร้ายนางในตอนที่นางพูดไม่ได้ บังอาจยิ่งนัก” ขมับหลีอ๋องมีเส้นเลือดปูดนูนขึ้นมา นัยน์ตาดำมองค้อนหยุนถิงไม่หยุด อยากจะฆ่านางแล้วฉีกนางเป็นชิ้นๆซะ
“หลีอ๋องก็ไม่ถูกนะ ตอนนั้นข้ากับนางงามของท่านอยู่ในร้านเครื่องสำอาง ท่านไม่ได้อยู่ด้วยนางพูดอะไร ท่านจะรู้ได้อย่างไร ท่านแก้ตัวแทนนางขนาดนี้ ดูมีพิรุธมากเลยนะ
อีกอย่าง นางเป็นแค่หญิงหลังเรือน จะรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง ตอนนั้นข้าตกใจมาก คิดว่าปกติหลีอ๋องพูดแบบนี้กับนางหรือเปล่า ดังนั้นนางงามของท่านก็เลยรู้ แล้วออกมาพูดเช่นนี้” หยุนถิงโต้กลับ
“หุบปากนะ ข้าไม่เคยพูดแบบนั้นมาก่อน เจ้าอย่าคิดจะใส่ร้ายข้านะ ขอเสด็จพี่ตรวจสอบให้แน่ชัด ข้าจงรักภักดีต่อเสด็จพี่มาก ไม่มีทางพูดแบบนั้นแน่นอน หากข้ามีใจคิดกบฎ ข้ายอมโดนฟ้าผ่ากลางหัว ไม่ตายดี” หลีอ๋องรีบแสดงความภักดี
ฮ่องเต้สีหน้าเข้มงวด ใบหน้าบึ้งตึง นัยน์ตาดำแผ่ซ่านไปด้วยรังสีอำมหิต: “ข้ารู้ดีว่าเจ้าจงรักภักดี หยุนถิงเจ้าบังอาจกล้าใส่ร้ายหลีอ๋อง แค่คำพูดนี้ของเจ้า ข้าก็สามารถสั่งประหารเจ็ดชั่วโคตรของเจ้าได้แล้ว!”
หยุนถิงตกใจตัวสั่น สีหน้าซีดเซียว: “หม่อมฉันมิบังอาจเพคะ คำพูดนี้ไม่ใช่คำพูดของหม่อมฉัน นางงามลั่วเป็นคนพูดทั้งหมด ถ้าไม่ใช่เพราะนางพูด หม่อมฉันก็คงไม่รู้ว่าซื่อจื่อยังมีองครักษ์เงามังกร นั่นคืออะไร เป็นทหารลับเหรอ
หม่อมฉันแต่งงานกับซื่อจื่อ ยังอยากจะใช้ชีวิตหรูหรามีกินมีใช้ตลอดไป หม่อมฉันยังไม่อยากตายหรอก หากฝ่าบาทไม่เชื่อ งั้นก็ส่งคนไปตรวจสอบร้านเครื่องสำอางดู หากหม่อมฉันโกหก หม่อมฉันจะปล่อยให้ฝ่าบาทจัดการเพคะ”
ฮ่องเต้มองดูใบหน้าที่บริสุทธิ์ของนาง ถึงแม้จะกลัวตาย แต่สายตาเด็ดเดี่ยว ไม่หลบไม่เบี่ยง สีหน้าเหมือนพร้อมสู้สุดใจ น่าสงสัยยิ่งนัก
หรือว่านางจะพูดความจริง
ลำพังแค่นางงามคงพูดแบบนั้นไม่ได้ หรือหลีอ๋องคิดกบฎจริง?