จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 56 หรือไม่ใช่แกล้งโดนชน เพื่อจะแต่งกับข้าให้ได้ล่ะ
“ท่านแม่ ข้ากลับมาได้ยังไงหรือเจ้าคะ?” ซูซินโหรวถาม
“ลูกแม่ ครั้งนี้เจ้าช่างไม่รู้ความเกินไปแล้ว พ่อเจ้าบอกว่าเจ้าไปมีเรื่องขัดแย้งกับองครักษ์ของคุณหนูหยุน นั่นเป็นถึงองครักษ์เงามังกรเชียวนะ เจ้าบุ่มบ่ามเกินไปแล้วจริง ๆ โชคยังดีที่พ่อของเจ้าร้องขอความเมตตา ครั้งนี้จึงรักษาชีวิตของเจ้าเอาไว้ได้” นางหลิวพูดตักเตือน
“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง ข้ารู้อยู่แล้วล่ะว่าท่านพ่อรักข้าที่สุด แม่ท่านยังไม่รู้สินะว่าองครักษ์คนนั้นน่ากลัวขนาดไหน ข้ายังคิดอยู่เลยว่าตัวเองคงต้องตายแน่แล้ว” ตอนนี้พอซูซินโหรวพูดถึงหลงเอ้อขึ้นมา ในใจก็ยังนึกหวาดกลัวไม่หาย
“เจ้าก็จริง ๆ เลย! ปกติเจ้าเป็นคนที่ควบคุมสติได้มั่นคง ทำไมวันนี้ถึงได้คุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่แบบนี้ล่ะ? ก็แค่ผู้หญิงอัปลักษณ์คนหนึ่งเท่านั้น แถมยังไม่เป็นโล้ไม่เป็นพายอีก” นางหลิวพูดด้วยท่าทางดูถูกเหยียดหยาม
“ท่านแม่ ถ้าหยุนถิงช่วยรักษาใบหน้าของพี่หญิงใหญ่ได้จริง ๆ ล่ะ? อีกสิบวันหลังจากนี้ จะเป็นงานเลี้ยงวันเกิดของฮูหยินเฒ่าฟู่แล้ว พอถึงเวลานั้น บรรดาคนที่จะมาร่วมงานเลี้ยงก็จะเป็นพวกคุณชายผู้สูงศักดิ์กับขุนนางคนสำคัญในเมืองหลวง ท่านแม่ อย่างไรข้าก็ต้องไปให้ได้นะเจ้าคะ” ซูซินโหรวขอร้องอ้อนวอน
“วางใจเถอะ หยุนถิงเองก็เป็นพวกหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว จะมีปัญญารักษาซูชิงโยวได้ยังไงล่ะ? ก็แค่แสร้งทำท่าทำทางไปอย่างนั้นเอง ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าซื่อจื่อไปถูกตาต้องใจคนหน้าตาน่าเกลียดอย่างหยุนถิงนั่นได้ยังไง ทั้งยังส่งองครักษ์เงามังกรให้มาคอยคุ้มครองนางอีก
วันหลังถ้าเจ้าได้พบกับหยุนถิง จะต้องปฏิบัติต่อนางอย่างสุภาพ จงใช้ความพยายามให้มากพอจนคนอื่นมองไม่เห็นความเป็นอริใด ๆ คิดจะจัดการใครสักคนมันไม่ใช่เรื่องที่สามารถทำอะไรโง่ ๆ อย่างการใช้อารมณ์เข้าปะทะตรง ๆ แล้วจะได้ผล” บนใบหน้าของนางหลิวปรากฏแววอำมหิตสายหนึ่งวาบผ่าน
“ท่านแม่ ท่านมีวิธีให้ข้าเข้าร่วมได้ใช่หรือไม่? ท่านแม่ ท่านต้องช่วยข้านะ!” ซูซินโหรวจับมือมารดาแน่น
“แม่ก็มีแค่เจ้าเป็นลูกสาวเพียงคนเดียว ไม่ช่วยเจ้าแล้วจะให้ช่วยใครล่ะ ? แม่มีวิธีมากมายที่จะกันไม่ให้ซูชิงโยวออกไปข้างนอกได้ ดังนั้นช่วงนี้เจ้าก็อยู่ในห้องอย่างสบายใจได้ พ่อของเจ้าสั่งว่าให้เจ้านั่งหันหน้าเข้ากำแพง พิจารณาถึงความผิดเป็นเวลาหนึ่งเดือน” นางหลิวพูดปลอบโยน
“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านแม่ ถึงยังไงท่านแม่ก็รักข้าที่สุดจริง ๆ ” ซูซินโหรวมีความสุขมาก
ขอแค่นางสามารถเข้าร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของฮูหยินเฒ่าได้ อาศัยพรสวรรค์ของนางย่อมดึงดูดความสนใจของบรรดาคุณชายสูงศักดิ์เหล่านั้นได้แน่ เมื่อถึงเวลานั้น ไม่แน่ว่านางอาจได้แต่งเข้าบ้านพวกคนใหญ่คนโต ได้ใช้ชีวิตรุ่งเรืองเฟื่องฟู
…………
จวนหลีอ๋อง
นับตั้งแต่หมอกำมะลอหนึ่งแก่หนึ่งหนุ่มคู่นั้นออกจากจวนไป โม่ฉือหานก็เอาแต่ครุ่นคิดถึงสิ่งที่ตาแก่นั่นพูดไว้ไม่หยุด
หรือว่าคืนนี้เขาจะสามารถทำจนสำเร็จได้จริง ๆ? โม่ฉือหานรีบเรียกสาวงามคนหนึ่งเข้ามาทันที แม้ว่าตาแก่นั่นจะบอกว่าระยะเวลาอาจจะสั้นหน่อย แต่ขอแค่มันลุกได้ก็นับว่าไม่มีปัญหาอะไรแล้ว
เวลาผ่านไปนานขนาดนี้ เมื่อคิดย้อนไปถึงเรื่องที่ตัวเองไม่ไหว โม่ฉือหานก็รู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่านใจมาก คืนนี้เขาจะต้องล้างความอัปยศนี้ให้หมดไม่มีเหลือ
คืนนี้เขาจงใจไล่องครักษ์ที่เฝ้าประจำอยู่ในเรือนออกไป ไม่อนุญาตให้ใครมารบกวน
ในห้องในขณะนี้ โม่ฉือหานกำลังผลักสาวงามลงบนเตียงอย่างยั้งใจไม่อยู่ ข่มเหงรังแก
นางอย่างย่ามใจ เรียกร้องเอาอย่างบ้าคลั่ง
ที่ด้านนอก มีเสียงเอะอะอึกทึกหลายเสียงดังแว่วมา
“องค์ชายสี่ ท่านอ๋องสั่งข้าไว้เป็นพิเศษว่าคืนนี้ไม่อนุญาตให้ใครรบกวน ถ้าท่านไม่ได้มีเรื่องเร่งด่วนอะไร โปรดมาใหม่พรุ่งนี้เถิด ไม่อย่างนั้นท่านอ๋องจะตำหนิข้าน้อยได้นะพะย่ะค่ะ” องครักษ์คนหนึ่งเอ่ยปาก เพราะเขารั้งอีกฝ่ายไว้ไม่ได้
โม่ฉือชิงรีบร้อนพุ่งเข้าไปในสภาพแข้งราขาขวิด: “ข้ามาที่นี่ย่อมต้องมีเรื่องเร่งด่วนอยู่แล้วสิ! พี่รองข้ามีเรื่องสำคัญที่ต้องคุยกับเจ้า พี่รองเจ้ารีบออกมาเร็ว ๆ เข้าเถอะ!”
หลังกลับจากท่องเที่ยวทะเลสาบในเขตชานเมืองตะวันออก โม่ฉือชิงจะนั่งก็นั่งไม่ติด จะยืนก็ยืนไม่มั่น เอาแต่คิดถึงใบหน้าอันงดงามพริ้มเพราของหยุนถิง มันทำให้เขารู้สึกร้อนรุ่มเข้าไปจนถึงหัวใจถึงปอดเลยทีเดียว
ไม่ใช่เพราะหยุนถิงหน้าตาน่าเกลียดเกินไป พี่รองเลยหย่านางหรอกรึ? หากพี่รองได้รู้ว่าหยุนถิงฟื้นคืนรูปโฉมที่แท้จริงของนางได้แล้ว จะต้องนึกเสียใจภายหลังอย่างแน่นอน โม่ฉือชิงจึงรีบตาลีตาเหลือกมาบอกโม่ฉือหาน แต่เขาไม่อยากถูกองครักษ์ขวางไว้ให้ติดอยู่นอกประตู
โม่ฉือหานที่อยู่ในห้องกำลังจะเข้าด้ายเข้าเข็ม สุดท้ายได้ยินเสียงแหกปากร้องเหมือนหมูถูกเชือดของโม่ฉือชิง ก็โกรธจนหน้าดำทะมึน เส้นเลือดสีเขียว ๆ ปูดโปนขึ้นจนเต็มหน้าผาก
“สมควรตาย! องครักษ์อยู่ไหน? จับโม่ฉือชิงโยนออกไปให้ข้าเดี๋ยวนี้!” โม่ฉือหานคำรามสั่งด้วยความโกรธ
องครักษ์สองคนรีบพุ่งเข้ามา: “องค์ชายสี่ เชิญเถอะ”
เมื่อมองไปที่ประตูที่ปิดสนิท โม่ฉือชิงรู้สึกหงุดหงิดมาก: “พี่รองนี่เจ้าหมายความว่ายังไง? ข้าอุตส่าห์มาหาเจ้าด้วยเจตนาดี แต่เจ้าถึงกับไม่ยอมพบข้า ทั้งยังสั่งคนโยนข้าออกไปอีก ข้าจะมาบอกเจ้าว่าหยุนถิงผู้หญิงคนนั้นน่ะ ไม่ใช่คนหน้าตาอัปลักษณ์แล้ว ใบหน้าของนางตอนนี้—-”
เดิมทีโม่ฉือหานยังมีท่าทีพะวักพะวงอยู่บ้าง แต่เมื่อได้ยินว่าโม่ฉือชิงมาหาเขาเพราะเรื่องของหยุนถิงนังผู้หญิงอัปลักษณ์นั่น นัยน์ตาดำขลับของโม่ฉือหานพลันเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหลืออดและขยะแขยง
“เรื่องของหยุนถิงข้าไม่อยากฟัง ทั้งไม่อยากได้ยินอะไรทั้งนั้น ไสหัวไปซะ!” เสียงอันเกรี้ยวกราดที่ตวาดออกมา ทำให้กระทั่งคนที่ขวางอยู่หน้าประตูถึงกับสั่นสะท้านไปด้วย
แม้ว่าองค์ชายสี่จะไม่ได้เจอพี่รอง แต่ก็พอจะฟังน้ำเสียงที่หงุดหงิดของพี่รองออก เขาเม้มปากแน่น
“พี่รอง เป็นเจ้าที่ไม่ยอมฟังเรื่องนี้เองนะ หลังจากนี้ก็อย่ามาโทษข้าว่าไม่ยอมบอกเจ้าล่ะ” พูดจบ องค์ชายสี่ก็จากไปอย่างรวดเร็ว
เดิมทีโม่ฉือหานที่อยู่ในห้องยังเต็มไปด้วยอารมณ์ตื่นเต้นฮึกเหิม แต่เมื่อได้ยินชื่อของหยุนถิง ก็เปลี่ยนเป็นความรู้สึกรังเกียจและเหยียดหยามแทน เหลือบตามองหญิงสาวผู้งดงามบอบบางที่นอนทอดกายอยู่ใต้ร่าง สีหน้าของโม่ฉือหานพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชา โกรธจนหายใจหอบฟึดฟัด: “ไสหัวไปให้พ้น!”
เสียงคำรามอันเย็นชานั้น ทำให้หญิงงามตกใจจนรีบลุกขึ้น มือก็คว้าเก็บเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นขึ้นมา ห่มคลุมลงบนร่างแล้ววิ่งหนีออกไปทันที
โม่ฉือหานรู้สึกหงุดหงิดแทบคลั่ง หยุนถิงนังผู้หญิงน่าตายนั่นคือตัวซวยของเขาจริง ๆ
โม่ฉือชิงซึ่งออกจากจวนหลีอ๋องไป กำลังเดินอยู่บนถนนอย่างโกรธเกรี้ยว ทันใดนั้นก็มีร่างร่างหนึ่งเหินทะยานลงมาจากท้องฟ้า แล้วเงื้อหมัดต่อยใส่เขาอย่างแรงไปหนึ่งหมัด จากนั้นก็เป็นมหกรรมเตะต่อยแบบไม่ยั้ง เต็มไปด้วยความดุร้ายและรุนแรงอย่างหาใดเปรียบ
โม่ฉือชิงแหกปากร้องคร่ำครวญไม่หยุด ยังไม่ทันเห็นว่าคนที่ลงมือโจมตีเขาคือใคร ก็ถูกต่อยตีจนสลบไปเสียก่อน
…………………
จวนซื่อจื่อ
หยุนถิงซึ่งกำลังจะหลับ จู่ ๆ ก็จามสองครั้งติด
“ถูกอากาศเย็นจนเป็นหวัดหรือเปล่า? ตอนกลางคืนอากาศเย็น ต้องห่มผ้าห่มด้วยนะ” จวินหย่วนโยวถามด้วยความเป็นห่วง
หยุนถิงถู ๆ จมูก: “เดาว่ามีใครบางคนกำลังด่าข้าอยู่มากกว่า”
“ใครจะด่าเจ้าได้?”
“คนด่าข้ามีอยู่มากมายมหาศาลเชียวล่ะ อย่างเช่นหลีอ๋อง องค์ชายสี่ ไหนจะบรรดาคนที่ถูกข้ารังแกไม่ก็สั่งสอนนั่นอีก จะว่าไปชื่อเสียงของข้าก็ย่ำแย่ฉาวโฉ่ไปทั่ว ทำไมซื่อจื่อถึงยังยินดีที่จะแต่งงานกับข้าอีกล่ะ?” หยุนถิงถามอย่างไม่เข้าใจ
จวินหย่วนโยวมองไปที่ใบหน้าเล็ก ๆ ที่ขาวเนียนงดงามอย่างน่าทึ่งของนาง คิ้วตาเต็มไปด้วยความเอ็นดูและรอยยิ้ม: “หรือไม่ใช่เจ้าแกล้งโดนชน เพื่อจะแต่งกับข้าให้ได้ล่ะ?”
เนื่องจากใบหน้าของหยุนถิงฟื้นคืนสู่รูปโฉมเดิมแล้ว ตอนกลางคืนนางจะล้างโคลนที่พอกไว้บนใบหน้าออก เผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริง ตอนกลางวันค่อยทาเข้าไปใหม่
เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็จะมีเพียงจวินหย่วนโยวคนเดียวที่ได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของนาง
หยุนถิงยิ้มอย่างเก้อกระดาก: “ดูเหมือนว่าจะเป็นอย่างนั้นแหล่ะ แต่ด้วยความสามารถของเจ้า ถ้าไม่อยากแต่งงานกับข้า แค่พูดออกมาคำเดียวก็ได้แล้วนี่”
“เจ้าบอกว่าจะช่วยแก้พิษให้ข้า ปรับความสมดุลในร่างกาย ข้าก็เลยตอบตกลงน่ะสิ” จวินหย่วนโยวตอบตามความจริง
เขาไม่ต้องการปิดบังอะไรจากหยุนถิงทั้งนั้น
“ก็จริงนะ ตอนนั้นเราทั้งคู่ต่างก็มีสิ่งที่เราต้องการ ข้าช่วยเจ้าแก้พิษ ส่วนเจ้าก็ช่วยข้าสลัดหลีอ๋อง มอบทั้งเกียรติยศและความมั่งคั่งให้ข้า เพราะฉะนั้นแล้วซื่อจื่อ ตอนนี้ยังเป็นเพราะเหตุผลนี้อยู่หรือเปล่า?” หยุนถิงถามด้วยความสงสัย
ด้วยรูปร่างหน้าตาและภูมิหลังชาติตระกูลของจวินหย่วนโยว ไม่ว่าเขาต้องการผู้หญิงแบบไหน หรือต่อให้เป็นเจ้าหญิงไม่ก็เชื้อพระวงศ์ แค่พูดออกมาคำเดียวก็จบเรื่องได้หมดแล้ว
หยุนถิงกลับอยากได้ยินคำตอบอย่างที่ตัวเองก็อธิบายไม่ได้ บางทีผู้หญิงทุกคนก็คงจะเป็นเช่นนี้ รู้ทั้งรู้ว่ายังไงก็เดาคำตอบของคำถามท้าตายแบบนี้ออกแล้ว แต่ก็ยังอยากได้ยินคำตอบจากปากของผู้ชายอยู่ดี
จวินหย่วนโยวมองสบดวงตาหงส์ที่ใสกระจ่างคู่นั้นของหยุนถิง จ้องมองใบหน้าอันงดงามได้รูปของนาง แล้วค่อย ๆ เอ่ยปาก