จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 57 คำสารภาพจากใจจริงของซื่อจื่อ
“เริ่มแรก ที่ข้ายอมรับปากแต่งงานกับเจ้าเพราะเจ้าช่วยข้าแก้พิษ แต่หลังจากที่เราใกล้ชิดกันมากเข้า กลับพบว่าเจ้าไม่ได้เป็นแค่คนไร้ประโยชน์ ไม่เป็นโล้ไม่เป็นพายอย่างที่เขาร่ำลือกัน
เจ้ารู้ทักษะทางการแพทย์ ยิ่งเก่งกาจเรื่องพิษ มีความกล้าหาญทั้งยังละเอียดถ้วนถี่ เกลียดชังความชั่วร้ายอยุติธรรม แต่หากมีแค้นต้องชำระ ไม่เคยวางท่าใหญ่โตกับคนรับใช้ เข้ากับพวกเขาได้ดี ทั้งยังห่วงใยพวกเขา ช่วยทวงความไม่เป็นธรรมให้ซูชิงโยว อีกทั้งยังสั่งสอนองค์ชายสี่——
วางแผนกลยุทธ์แยบคาย คิดการณ์รอบคอบ มีความระมัดระวัง พบผู้มีปัญญาพูดเรื่องมีสาระ พบพวกไร้ปัญญาก็สามารถพูดเรื่องบ้าบอได้ มีไหวพริบปฏิภาณ กระทั่งอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ก็ยังถอนตัวออกมาได้โดยไม่ถูกสงสัย เป็นคนที่เปิดหูเปิดตาสร้างความประทับใจให้ข้าได้อย่างยิ่ง
ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า วันหนึ่งข้าจะรู้สึกชื่นชม หรือแม้แต่ถึงขั้นยกย่องผู้หญิงคนหนึ่งได้ขนาดนี้ เจ้าเป็นคนแรกที่ทำให้ข้ามีความคิดเช่นนี้ ดังนั้นการได้แต่งงานกับเจ้าจึงนับว่าเป็นเกียรติของข้ามากกว่า”
“ดังนั้น ซื่อจื่อแค่รู้สึกชื่นชมและยกย่องข้าเท่านั้น ไม่มีอะไรอื่นแล้วหรือ?” หยุนถิงทำหน้ามุ่ย
เมื่อเห็นท่าทางผิดหวังของนาง จวินหย่วนโยวก็ยื่นมือออกไปโอบนางเข้ามาไว้ในอ้อมแขน: “แน่นอนว่าไม่ใช่แค่นั้น ข้าเคยคิดว่าทั้งชีวิตนี้ของข้าคงต้องเป็นแบบนี้ไปตลอด นับตั้งแต่สูญเสียพ่อแม่ไปเมื่อครั้งยังเด็ก ข้าก็อยู่คนเดียวมาโดยตลอด
ข้างกายข้ามีเพียงพ่อบ้าน หลิงเฟิง รั่วจิ่ง กับพวกองครักษ์เงามังกร พวกเขาล้วนเกิดมาพร้อมข้า มีชีวิตอยู่พร้อมข้า ร่วมกันแบกรับทุกอย่างในจวนซื่อจื่อพร้อมกันกับข้า
จนกระทั่งเจ้าปรากฏตัว ข้าถึงได้รู้ว่าการที่มีคนห่วงใยใส่ใจ ช่างเป็นความรู้สึกที่อบอุ่นและรับรู้ได้จริงขนาดนั้น รู้สึกว่าข้าไม่ได้เป็นเหมือนศพเดินได้ที่เย็นชาแข็งทื่ออีกต่อไป
ในสายตาคนภายนอก ข้าเป็นเหมือนสัตว์ประหลาด เป็นพญายม เป็นผีร้ายที่หลุดมาจากขุมนรก มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่เต็มใจเข้าใกล้ข้า เป็นห่วงข้า ใส่ใจข้า
กลายเป็นว่าแท้ที่จริงแล้วข้าก็ยังมีคนที่ห่วงใย มีคนเอ็นดู มีคนใส่ใจ— ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะการปรากฏตัวของเจ้า เป็นเพราะเจ้ามาปรากฏตัวขึ้นในชีวิตของข้า
ความรู้สึกนี้มีค่าควรแก่การหวงแหนอย่างมาก เป็นสิ่งมีค่าต่อคนอย่างข้าที่ไม่เคยได้รับความอบอุ่นมาก่อน ดังนั้นหยุนถิง ข้าขอบคุณเจ้ามาก ขอบคุณที่เจ้ายินดีเข้ามาใกล้ชิดข้า เจ้าคือคนที่ควรค่าแก่การทะนุถนอมที่สุดในชีวิตของข้า
เดิมทีข้าก็ไม่อยากพูดเรื่องพวกนี้หรอก เพราะด้วยสุขภาพของข้าคงจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน แต่เมื่อได้เห็นรอยยิ้มสดใสเจิดจ้าของเจ้า ที่เหมือนแสงตะวันอันอบอุ่นในฤดูหนาว ทำให้ข้าอบอุ่นหัวใจ
ดังนั้นข้าจึงคิดว่า ตลอดช่วงเวลาที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าจะทำให้ดีที่สุดเพื่อปกป้องเจ้า ปกป้องเจ้าอย่างรอบด้าน หากวันหนึ่งในอนาคตข้าไม่อยู่แล้ว จวนซื่อจื่อกับองครักษ์เงามังกรก็ขอฝากฝังไว้กับเจ้า
เดิมทีข้าเองก็กังวลเกี่ยวกับการคงอยู่หรือจากไปของพวกเขา แต่ตอนนี้เมื่อเจ้าปรากฏตัว ข้าก็ไม่กังวลอีกต่อไป พวกเขาติดตามเจ้า ข้าย่อมวางใจ เจ้าจะเป็นตัวแทนของข้าในอนาคต” จวินหย่วนโยวไม่เคยพูดอะไรยาว ๆ แบบนี้มาก่อน ยิ่งไม่เคยสารภาพความรู้สึกที่แท้จริงของเขาแบบนี้มาก่อนด้วย
หยุนถิงฟังจนขอบตาทั้งสองข้างพลันแสบร้อน เห็น ๆ อยู่ว่านางแค่ต้องการจะแหย่ให้ซื่อจื่อลำบากใจเฉย ๆ เพื่อจะดูว่าผู้ชายยุคโบราณคนนี้ จะตอบคำถามท้าตายประเภทนี้ยังไง
แต่ไม่คิดว่าจะถูกซื่อจื่อสารภาพรักแบบนี้ ทั้งยังเป็นคำพูดที่เต็มไปด้วยอารมณ์รักใคร่ลึกซึ้งและความชอบธรรมอันหนักหน่วงขนาดนี้ด้วย ทำให้นางถึงกับไม่รู้ว่าจะตอบกลับไปอย่างไรเลยทีเดียว
“ซื่อจื่อท่านอย่าพูดอย่างนี้สิ ขอแค่ยังมีข้าอยู่ ข้าไม่มีทางปล่อยให้เจ้าเป็นอะไรไปหรอก นอกจากนี้ ให้ข้ากินดื่มเที่ยวเล่นยังพอไหว แต่เจ้าไม่กลัวว่ากลุ่มองครักษ์เงามังกรของเจ้าจะถูกข้าขายทิ้งหมดรึ?” หยุนถิงแกล้งทำเป็นพูดหยอกล้อให้ขำ
“ไม่มีทางหรอก เจ้าเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับมิตรภาพและคุณธรรม ถึงกับช่วยทวงความเป็นธรรมแทนคนแปลกหน้าคนหนึ่ง จะขายองครักษ์เงามังกรที่สาบานด้วยชีวิตว่าจะติดตามข้าไปจนวันตายได้อย่างไรกัน ข้าเชื่อเจ้า” จวินหย่วนโยวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
หยุนถิงฟังจนหัวใจหนักอึ้งไปหมด: “ซื่อจื่ออย่าได้พูดอย่างนี้เลย หลังจากนี้ไปก็ขอว่าอย่าได้พูดอีก ข้าไม่ได้เป็นคนดีอย่างที่เจ้าคิด องครักษ์ของเจ้าเจ้าก็ดูแลเองเถอะ ข้าไม่อยากหาเรื่องยุ่งยากมาใส่ตัว
ทำไมถึงพูดเรื่องหนัก ๆ แบบนี้ล่ะ ซื่อจื่อวางใจเถอะ กระดูกกระเดี้ยวในร่างกายเจ้าแข็งระดับนี้อยู่ต่อไปอีกสิบปีก็ไม่มีปัญหา ไม่แน่นะว่าบางทีพอถึงเวลานั้นอาจมีปาฏิหาริย์ก็ได้ เรื่องของอนาคตค่อยพูดกันในอนาคต แค่หวงแหนปัจจุบันให้ดีก็พอ ”
หยุนถิงยื่นมือออกไปกอดจวินหย่วนโยว หากก่อนหน้านี้คือความเห็นอกเห็นใจ ตอนนี้มันคือความเอ็นดูสงสาร
นางรู้สึกเจ็บปวดใจแทนเขาจริง ๆ สำหรับทุกสิ่งที่เขาต้องทนแบกรับมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา สำคัญยิ่งกว่านั้นคือความไว้วางใจและความห่วงใยที่เขามีต่อตัวเอง รวมถึงความรู้สึกที่แท้จริงซึ่งหาได้ยากของเขาด้วย
ในฐานะซื่อจื่อ เขาต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางกลอุบาย แผนการชั่วร้ายต่าง ๆ นานาตั้งแต่เด็ก การที่เขาทำแบบนี้กับนาง นับว่าเป็นสิ่งที่หาได้ยากมากจริง ๆ
จวินหย่วนโยวจับมือของหยุนถิงแน่นขึ้น ก้มหน้าลงจุมพิตบนหน้าผากของนางเบา ๆ
“ขอบคุณเจ้ามาก ที่ยินดีอยู่เคียงข้างข้า”
“ข้าก็เหมือนกัน ขอบคุณซื่อจื่อที่ดีต่อข้ามากขนาดนี้”
ในห้องขนาดใหญ่ สองคนโอบกอดจุมพิตกันอย่างดูดดื่ม รู้สึกอบอุ่นในหัวใจหาใดเปรียบ
เช้าวันรุ่งขึ้น จวินหย่วนโยวเห็นว่าหยุนถิงกำลังหลับสนิทจึงไม่ปลุกนาง ลุกขึ้นแล้วออกไปคนเดียว เรียกพ่อบ้านเข้ามาพบ
“ส่งคนไปส่งเทียบที่จวนเฉิงเซี่ยง แจ้งว่าวันนี้ฮูหยินจะกลับไปเยี่ยมบ้าน ส่วนเจ้าไปเตรียมของขวัญกลับบ้านให้ฮูหยิน” จวินหย่วนโยวสั่ง
“รับทราบขอรับ แต่ซื่อจื่อจะให้เตรียมรายการของขวัญกลับบ้านอย่างไรบ้างขอรับ?” พ่อบ้านถาม
“ยึดตามฐานะของซื่อจื่อเฟย รายการของขวัญจะมีน้อยไม่ได้ ไข่มุกราตรีเม็ดใหม่ที่ข้าเพิ่งได้มานั่นก็ควรจะใส่เข้าไปด้วย” จวินหย่วนโยวเป็นฝ่ายเอ่ยปากเอง
“รับทราบ ข้าน้อยจะรีบไปจัดการเดี๋ยวนี้”
พ่อบ้านรีบไปสั่งการให้บ่าวไพร่จัดเตรียมของขวัญ ห้ามไม่ให้ขาดตกบกพร่องโดยเด็ดขาด
รอจนหยุนถิงตื่นขึ้นมา ก็เป็นเวลาสายจนตะวันขึ้นกลางฟ้าแล้ว
จวินหย่วนโยวกินข้าวเช้าพร้อมนาง จากนั้นทั้งสองคนก็ขึ้นรถม้า มุ่งหน้าตรงไปที่จวนเฉิงเซี่ยง
ระหว่างทาง มีคนรับใช้หลายสิบคนเดินตามหลังรถม้าไป ทั้งแบกทั้งหามกล่องของขวัญไปด้วยหลายสิบกล่อง ผู้คนที่สัญจรไปมาบนท้องถนนได้เห็น ต่างพากันตกตะลึงจนตาค้าง
“หยุนถิงคนนี้เป็นที่โปรดปรานของซื่อจื่อเกินไปแล้วกระมัง? ไม่เพียงแต่ซื่อจื่อจะตามนางกลับบ้านด้วยเท่านั้น แต่ยังนำของขวัญไปด้วยมากมายขนาดนี้ ช่างน่าอิจฉาซะจริง ๆ เลย”
“ดูไข่มุกราตรีที่อยู่ข้างหน้าเม็ดนั้นสิ มันใหญ่เท่ากำปั้นคนเลยเชียวนะ ข้าอยู่มาจนอายุปูนนี้แล้ว เพิ่งจะเคยได้เห็นไข่มุกราตรีเม็ดใหญ่ขนาดนี้เป็นครั้งแรกนี่แหล่ะ”
“ได้เปิดหูเปิดตาแล้วจริง ๆ ซื่อจื่อร้ายกาจอย่างที่คิดจริง ๆ ด้วย สมบัติล้ำค่าขนาดนี้ยังส่งให้จวนเฉิงเซี่ยง เขาโปรดปรานหยุนถิงมากจริง ๆ นะ”
ชาวบ้านต่างพูดคุยกันจอแจ ต่างก็นึกอิจฉาตาร้อนแทบแย่ แต่ละคนเอาแต่พูดยกย่องความรักใคร่เอ็นดูที่ซื่อจื่อมีต่อหยุนถิงไม่ขาดปาก
หยุนถิงที่อยู่ในรถม้าย่อมได้ยินเป็นธรรมดา นางชำเลืองตามองจวินหย่วนโยวที่อยู่ข้าง ๆ : “ซื่อจื่อ ข้าแค่จะกลับไปเยี่ยมบ้าน เจ้าจะโอ้อวดขนาดนี้ไปทำไม? ถ้าไข่มุกราตรีเม็ดนั้นเกิดถูกคนดักปล้นไปจะทำยังไงล่ะ?”
“วางใจเถอะ ยังไม่เคยมีใครกล้าปล้นชิงของของข้ามาก่อน” จวินหย่วนโยวตอบกลับอย่างวางอำนาจ
“อั้ยโยว ดูท่าทางอวดดีของเจ้าสิ ซื่อจื่อดูจะภูมิใจในตัวเองมากเลยนะเนี่ย” หยุนถิงพูดหยอกเย้า
“ซื่อจื่อเช่นข้าฐานะสูงส่งมีอำนาจบารมี ย่อมต้องภูมิใจเป็นธรรมดา ว่าแต่เจ้าเถอะ วันนี้กลับจวนเฉิงเซี่ยงคิดจะรั้งอยู่ต่อสักสองสามวัน หรือว่าจะกลับบ้านพร้อมข้าเลย?”
“โบราณไม่ได้ว่าไว้หรือ ว่าออกเรือนกับไก่ก็ต้องอยู่ตามไก่ ออกเรือนกับสุนัขก็ต้องอยู่ตามสุนัข ข้าออกเรือนกับซื่อจื่อก็ต้องกลับไปพร้อมกับซื่อจื่อเป็นธรรมดา ข้าแค่กลับไปเยี่ยมพ่อครู่เดียว ถ้าเห็นว่าไม่เป็นอะไรข้าก็สบายใจแล้ว “หยุนถิงตอบ
ใบหน้าของจวินหย่วนโยวพลันแข็งค้าง จากนั้นมุมปากก็วาดโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มพึงพอใจ แม้ว่าคำพูดเหล่านี้จะฟังไม่เข้าหูนัก แต่ถ้ายึดตามเหตุผลก็นับว่าไม่เลว
ส่วนทางจวนเฉิงเซี่ยงที่ได้รับเทียบจากจวนซื่อจื่อที่ส่งมาให้ตั้งแต่เช้า โดยแจ้งว่าหยุนถิงจะกลับบ้านวันนี้ ทำเอาหยุนเฉิงเซี่ยงตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ
เขาจงใจถามคนที่ส่งจดหมาย ว่าเพราะหยุนถิงไปสร้างปัญหาอะไรอีกแล้วใช่หรือไม่? ทำให้จวินซื่อจื่อไล่ตะเพิดออกมา จนต้องกลับมาบ้านเดิม
ผลคือได้ยินว่าหยุนถิงได้รับความโปรดปรานอย่างมาก เป็นการกลับบ้านตามประเพณีเท่านั้นจริง ๆ หยุนเฉิงเซี่ยงจึงรู้สึกโล่งใจ รีบสั่งให้คนเตรียมงานเลี้ยงต้อนรับทันที ห้ามไม่ให้ขาดตกบกพร่องใด ๆ เพราะซื่อจื่อถึงกับมาส่งคนกลับบ้านด้วยตัวเอง
พอคนอื่น ๆ ในจวนเฉิงเซี่ยงได้ยินว่าหยุนถิงจะกลับมา ต่างก็แตกตื่นราวกับถูกปาระเบิดใส่กันหมด