จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 75 กลัวว่าเจ้าจะหนาว จึงทำให้เจ้าอบอุ่น
เดิมทีโม่ฉือหานโกรธมากอยู่แล้ว คราวนี้ก็อึดอัดใจมากยิ่งขึ้น เจ้าสี่ผู้นี้มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ ขาดเขาไปไม่ได้สักเรื่องเลยจริงๆ
โม่ฉือหานกลับไปที่จวนหลีอ๋องด้วยความโกรธจนถึงขีดสุด ทันทีที่เข้าประตูมา ก็มีคนจากในวังประกาศให้เขาเข้าไปในวัง
ท้องพระโรงในวัง
ฮ่องเต้โม่ฉือแหยสีหน้าเคร่งขรึม ยืนอยู่ที่ท้องพระโรง และจ้องมองไปที่เรือบนพื้นด้วยความจริงจังอย่างมาก
หลังจากที่โม่ฉือหานเข้ามา เขาก็คารวะฮ่องเต้ “ข้าคารวะเสด็จพี่ มิทราบว่าเสด็จพี่เรียกพบมีเรื่องอันใด?”
“เจ้าคิดว่าเรือลำนี้มีอะไรแปลกๆ หรือไม่?” ฮ่องเต้ถาม
โม่ฉือหานสังเกตเห็นเรือลำนี้ตั้งแต่แวบแรกที่เดินเข้ามาแล้ว เขาหันกลับไปมอง “นี่เป็นเพียงเรือสำราญธรรมดามิใช่หรือ ไม่มีอะไรพิเศษ”
“โจวโฉงบุตรสาวของเสนาบดีกรมพระคลัง และหลิ่วเหมยบุตรสาวของรองเสนาบดีกรมพิธีการไปล่องเรือทางตะวันออกของเมืองเมื่อไม่กี่วันก่อน และมีบางอย่างแปลกๆ เกิดขึ้น ดูเหมือนว่าเรือลำนั้นถูกอาถรรพ์ แล้วแล่นไปเอง น่าแปลกจริงๆ
บุตรสาวของตระกูลโจวและตระกูลหลิวต่างตกใจกลัวจนเป็นลม หลังจากกลับไปก็ป่วยหนัก เมื่อวานเสนาบดีกรมพระคลังมาขอให้ข้าส่งหมอหลวงไปด้วยตนเอง อย่างไรเสียเขาก็เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียว
หมอหลวงหลิวจึงไปตรวจ และบอกว่าบุตรสาวของตระกูลโจวหวาดกลัวจนเป็นบ้า นางพูดบ้าๆ บอๆ คิดว่าคงป่วยทางใจ ที่เรียกว่าป่วยทางใจก็ต้องใช้ยาใจรักษา ดังนั้นหมอหลวงหลิวจึงมารายงานข้า
ข้าเองก็รู้สึกแปลกๆ จึงสั่งให้คนยกเรือลำที่พวกนางล่องในทะเลสาบวันนั้นกลับมา เพื่อดูว่ามีอะไรแปลกๆ หรือไม่ ถึงอย่างไรเรื่องเช่นนี้ก็ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน” ฮ่องเต้พูดเบาๆ
โม่ฉือหานสีหน้าเคร่งขรึม ดวงตาสีดำขลับหรี่ลงเล็กน้อย และเดินไปตรวจสอบเรือลำนั้นอย่างละเอียด “เสด็จพี่ทรงสงสัยว่าเรือสำราญลำนี้ถูกคนใช้กลลวงบางอย่าง?”
“ผู้คนต่างก็รู้ว่าข้าไม่เคยเชื่อเรื่องผีสาง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่มีเรื่องประหลาดเช่นนี้เกิดขึ้น ข้าสั่งให้คนตรวจสอบเรื่องนี้ให้ชัดเจน” โม่ฉือแหยสีหน้าเคร่งขรึมมาก
“พ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อมรับพระบัญชา” โม่ฉือหานคำนับและตรวจสอบต่อไป
เขาไม่เคยเชื่อเรื่องผีสางเทวดา แม้กระทั่งไปดูในเรือด้วยตนเอง และนั่งสักพัก แต่ก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ
“ทหาร พลิกเรือลำนี้ขึ้นมา”
องครักษ์หลายคนที่อยู่หน้าประตูเข้ามาในทันที ทุกคนพร้อมใจกันพลิกเรือสำราญลำนั้น
นึกไม่ถึงเลยว่าด้านล่างของเรือจะมีรูเหมือนสองมือของผู้ใหญ่ สิ่งนี้ทำให้โม่ฉือหานขมวดคิ้วจนเป็นปม “มีรูได้อย่างไร?”
“จริงๆ เลย ด้านล่างของเรือสำราญมักจะอยู่ในสภาพดีไม่ใช่หรือ หากมีรู เรือจะต้องจมอย่างแน่นอน?” ซูกงกงก็งงงวยเช่นกัน
“ในเขตชานเมืองตะวันออก จะมีคนที่คอยทำหน้าที่ตรวจสอบดูแลเรือสำราญทุกวัน เป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดความผิดพลาด และหากมีน้ำรั่วจริงๆ เป็นไปไม่ได้ที่คนบนเรือจะไม่สังเกตเห็น” ทันใดนั้นโม่ฉือหานก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
แน่นอนว่าเขาไม่มีทางรู้ว่าเครื่องยนต์ที่ถูกหยุนถิงติดตั้งไว้ด้านล่างของเรือ ถูกคนของจวินหย่วนโยวถอดออกไปในคืนนั้นแล้ว เพราะกลัวว่าจะมีคนพบร่องรอย
“หรือว่ามีคนต้องการจะทำร้ายบุตรสาวของตระกูลโจวและตระกูลหลิ่ว?” ซูกงกงถามด้วยความประหลาดใจ
“จู่ๆ ข้าก็นึกถึงเรื่องหากเดิมพันระหว่างหยุนถิง โจวโฉง และหลิ่วเหมยเมื่อไม่นานนี้ หากหยุนถิงเป็นคนทำเรื่องนี้ มันก็สมเหตุสมผล” โม่ฉือหานกล่าวอย่างเย็นชา
แน่นอนว่าฮ่องเต้ก็เคยได้ยินเรื่องการเดิมพันของพวกนาง นับตั้งแต่หยุนถิงช่วยเขาแก้ปัญหาเรื่องเมืองหนานหยวน ฮ่องเต้ก็มองหยุนถิงด้วยสายตาที่ดีขึ้น หญิงสาวผู้นั้นดูเหมือนจะไม่ใช่คนไร้สมอง
“เรื่องนี้ให้มอบให้เจ้าไปตรวจสอบ หากมีคนพรางเป็นเทพแสร้งเป็นผี ให้จับตัวมาในทันที” โม่ฉือแหยสั่ง
“พ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อมรับคำสั่ง” ดวงตาของโม่ฉือหานฉายแววเคร่งขรึม หยุนถิง คราวนี้เจ้าตายแน่
………
จวนซื่อจื่อ
เมื่อหยุนถิงตื่นขึ้นก็เป็นเวลาหลังเที่ยงคืนแล้ว นางใช้เวลาสกัดนานกว่าสิบชั่วโมง และในที่สุดสารพิษอีกสองชนิดก็ถูกออกมาจากเลือดของจวินหย่วนโยว
หากต้องการถอนพิษ เกรงว่าจะใช้เวลาสักระยะ ถึงอย่างไรวัสดุของยาปฏิชีวนะและยาถอนพิษยังคงต้องได้รับการสกัด
หยุนถิงลืมตาขึ้นและเห็นจวินหย่วนโยวนอนอยู่ข้างๆ ตนเอง ในห้องมีเทียนไขและแสงเทียนสีเหลืองอ่อนๆ ก็ส่องสว่างทุกอย่างในห้อง
ใบหน้าของจวินหย่วนโยวที่อยู่ข้างๆ นั้นงดงามและเย็นชา ด้วยแสงเทียนที่สะท้อนก็ยิ่งดูสลัวและลึกลับ ยามหลับเขาก็ไม่ได้เย็นชาเหมือนยามปกติ ปฏิเสธที่จะอยู่ใกล้ แต่กลับใกล้ชิดมากขึ้นอย่างบอกไม่ถูก
จู่ๆ หยุนถิงก็นึกถึงคำว่าผู้ชายหน้าตาดีเปรียบได้เหมือนลูกหมาป่า จวินหย่วนโยวมักจะขี้โรคมาก จงใจแสร้งทำเป็นน่าสงสาร แต่ความจริงแล้วหน้าเนื้อใจเสือที่สุด และเย็นชา สมกับชื่อเสียงที่ว่าเขาเป็นหมาป่าหางโต
แต่ใบหน้านี้ช่างงดงามจริงๆ
หยุนถิงอดไม่ได้ที่จะยื่นมมือไปสัมผัส คิ้วและดวงตาที่ละเอียดอ่อนราวกับมีดที่กรีดลายเส้นอย่างดุดันและลึกล้ำ ทุกส่วนเป็นเหมือนผลงานการแกะสลักที่แกะสลักโดยศิลปิน สมบูรณ์แบบอย่างไร้ที่ติ และการผสมผสานนั้นงดงาม หล่อเหลา ใครเห็นก็เคลิบเคลิ้ม
ทันใดนั้นก็มีเสียงท้องร้องโครกครากดังขึ้น หยุนถิงเขินอายมากและดึงมือออกในทันที
หลังจากกลับมาในตอนบ่าย นางก็เข้าไปในมิติ หลังจากยุ่งวุ่นวายจนถึงตอนนี้ ในที่สุดก็ได้ผลลัพธ์แล้ว แม้ว่าจะไม่ใช่ทั้งหมด แต่ก็ไม่เลว ในขณะนี้หยุนถิงหิวมาก นางใส่รองเท้าและกำลังจะลงจากเตียง
“ให้คนรับใช้เอามาให้ก็ได้ เจ้าเพิ่งตื่น ออกไปเดี๋ยวจะหนาว” เสียงที่น่าฟังของจวินหย่วนโยวดังมาจากด้านหลัง
หยุนถิงตัวแข็งทื่อ นางหันหน้าไปมอง และเห็นจวินหย่วนโยวเอาแขนข้างหนึ่งวางไว้บนหมอน และ กำลังมองมาที่ตนเอง
“ท่านไม่ได้หลับหรือ?” หยุนถิงถาม
“หลับสิ แต่ก็ถูกเจ้าสัมผัสจนตื่น ข้าไม่รู้เลยว่าฮูหยินชอบใบหน้าของข้ามากเช่นนี้” จวินหย่วนโยวพูดหยอกล้อ
หยุนถิงแก้มแดงในทันที เมื่อนึกถึงตอนที่นางสัมผัสใบหน้าของเขาเมื่อครู่ นางก็เขินอายอย่างมาก “ซื่อจื่อ ท่านจงใจ ท่านตื่นแล้วทำไมถึงไม่บอกข้า”
“ข้าอยากรู้ว่าเจ้าจะทำอะไร ใครจะไปคิดว่าเจ้าจะสัมผัสใบหน้าของข้า หากรู้ก่อนหน้านี้ ข้าคงจะป้อนเจ้าจนอิ่ม” น้ำเสียงของจวินหย่วนโยวเต็มไปด้วยความเสียดาย
หยุนถิงจ้องมองไปที่จวินหย่วนโยวอย่างโกรธเคือง และหูของนางก็แดง “ซื่อจื่อ ท่านเล่นลูกไม้หน้าด้านๆ”
“เช่นนั้นหรือ ข้าแค่อยากจะบอกว่าหากป้อนเจ้าให้อิ่มเสียแต่ทีแรก เจ้าคงไม่ลุกมากินอะไรกลางดึก และจะได้นอนหลับสบาย” สีหน้าของจวินหย่วนโยวดูไร้เดียงสา
หยุนถิงกำลังจะระเบิด ชายผู้นี้จงใจอย่างแน่นอน นางไม่อยากจะสนใจเขา จึงเดินออกไปโดยไม่ได้สวมรองเท้า
แต่มือขนาดใหญ่คว้านางไว้ และด้วยแรงทั้งหมด ทำให้หยุนถิงหงายหลังล้มลงไปในอ้อมกอดของจวินหย่วนโยวพอดี
และกอดไว้แน่นอย่างไม่ยอมปล่อย
“ซื่อจื่อ ท่านทำอะไร?”
“กลัวว่าเจ้าจะหนาว จึงทำให้เจ้าอบอุ่น” จวินหย่วนโยวตอบอย่างจริงจัง
“ข้าไม่ได้หนาว ซื่อจื่อ ท่านอย่าฉวยโอกาสเอาเปรียบข้า” หยุนถิงหมดคำพูด
“เด็กๆ!” ทันใดนั้นจวินหย่วนโยวก็ตะโกน
เมื่อหลิงเฟิงที่เฝ้าอยู่นอกประตูได้ยินก็มา และตอบรับในทันที “ซื่อจื่อมีอะไรจะรับสั่งหรือขอรับ?”
“ให้ห้องครัวทำอาหารที่ฮูหยินชอบหลายๆ อย่าง และนำมาที่นี่” จวินหย่วนโยวกล่าว
“ขอรับ” หลิงเฟิงไปจัดการในทันที
ไม่ต้องให้ตนเองไป แน่นอนว่าช่วยลดปัญหา หยุนถิงโน้มตัวเข้าไปในอ้อมแขนของจวินหย่วนโยว “ซื่อจื่อ ท่านทำเช่นนี้ช่างไร้เหตุผลนัก เดิมทีข้าต้องการจะบอกข่าวดีแก่ท่าน แต่ตอนนี้ข้าเปลี่ยนใจแล้ว”