จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 221 หยุนถิงยอมคุกเข่า
ในรถม้า จวินหย่วนโยวกำลังเล่นหมากรุกกับหยุนถิง จู่ ๆ เขาก็ได้ยินเสียงของหลิงเฟิง จวินหย่วนโยวไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น “ข้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความเป็นหรือความตายของผู้อื่น”
หลิงเฟิงไม่กล้าพูดอะไรอีก เขาขับรถม้าผ่านผู้หญิงที่หมดสตินั้นไป
หยุนถิงในรถเงยหน้าขึ้นมองไปที่จวินหย่วนโยว มองไปที่คิ้วอันสวยงามและใบหน้าที่เย็นชาของเขา เขากำลังจ้องมองที่กระดานหมากรุกด้วยความพึงพอใจอย่างยิ่ง
ผู้ชายที่เธอรักไม่จำเป็นต้องมีความเมตตามากจนเกินไป มิฉะนั้นก็มีแต่จะเปิดโอกาสให้ผู้หญิงคนอื่น อีกอย่าง มีกี่คนที่ใช้ทุกวิถีทางเพื่อจัดการกับซื่อจื่อในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ดังนัั้นเขาจึงไม่ไว้ใจใครง่าย ๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเข้าไปยุ่งเรื่องของคนอื่นด้วยเจตนาดี ถ้าเกิดชักศึกเข้าบ้านล่ะ?
แต่หยุนถิงยังคงอดไม่ได้ที่จะแกล้งเขา “ซื่อจื่อ ท่านไม่ช่วยนางจริงๆ เหรอ นางอาจเป็นคนสวยมากๆ ก็ได้นะ?”
“ในสายตาของข้า เจ้าสวยที่สุด” จวินหย่วนโยวตอบกลับมา
คำพูดหนึ่งประโยค หยุนถิงรู้สึกซาบซึ้งและถูกหูถูกใจ “ฮ่า ๆ ซื่อจื่อ คำแบบนี้ท่านพูดให้มากๆ นะ”
“ข้าเห็นแค่การมีอยู่ของเจ้า ข้าไม่สนใจผู้หญิงคนอื่น”
“แม่น้ำรั่วสามพันลี้ เพียงหนึ่งจอกดับก็กระหาย และเจ้าก็คือจอกนั้น”
“ชีวิตนี้ข้ารักเจ้าเพียงผู้เดียว”
จวินหย่วนโยวพูดคำรักหวานต่อเนื่อง หยุนถิงฟังแล้วมีความสุขมากจนไม่สามารถหุบยิ้มได้ สองคนเล่นหมากรุกกันต่อไป
ซวนอ๋องและหลีอ๋องขี่ม้าอยู่ข้างหลัง เดิมทีโหวฉิงก็เตรียมรถม้าให้พวกเขา แต่ถูกโม่เหลิ่งเหยียนปฏิเสธ
หากนั่งรถม้าก็มองอะไรไม่เห็นเลย ในทางกลับกันขี่ม้ายังสามารถเห็นรถม้าของจวินหย่วนโยวอยู่ข้างหน้าได้
เมื่อโม่ฉือหานเห็นโม่เหลิ่งเหยียนขี่ม้า เขาก็ขี่ม้าเช่นกัน จริง ๆ แล้วเขาต้องการหาโอกาสถามว่าเขาจะทำอย่างไรให้หยุนถิงขายยาให้เขา
โม่เหลิ่งเหยียนที่อยู่บนหลังม้าสูงก็เห็นหญิงสาวที่นอนหมดสติอยู่ข้างถนนเช่นกัน ลูกตาดำของเขาเหล่ไปมองเล็กน้อย หลิงเฟิงและรั่วจิ่งขับรถม้าอยู่ข้างหน้า แน่นอนว่าต้องเห็นแล้ว แต่รถม้าของจวินหย่วนโยวกลับไม่ได้หยุด เห็นได้ชัดว่าเขาไม่อยากเข้าไปยุ่ง
“ซวนอ๋อง มีผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ที่นั่น” โม่ฉือหานกล่าว
“หลีอ๋องเป็นคนรักหยกถนอมบุปผาที่สุด เรื่องดี ๆ แบบนี้แน่นอนว่าต้องยกให้เจ้าสิ ” โม่เหลิ่งเหยียนขี่ม้าผ่านไปโดยไม่หยุดเลย
“สิ่งที่ข้าเกลียดที่สุดตอนนี้ก็คือผู้หญิง!” โม่ฉือหานพูดด้วยความหงุดหงิด และรีบตามไป
ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาต้องลงมือช่วยแน่ๆ บางทีอาจจะกลายเป็นเรื่องดี ๆ ก็ได้ แต่ตอนนี้เขานกเขาไม่ขั้นแล้ว และเห็นหญิงสาวแต่ทำอะไรไม่ได้ ก็ยิ่งน่าโมโห
คนกลุ่มนั้นจึงจากไปอย่างนั้น ไม่มีใครสนใจผู้หญิงที่หมดสติอยู่ข้างถนน
จนกระทั่งพวกเขาเดินไปไกล ผู้หญิงที่อยู่ข้างถนนจึงลืมตาขึ้น ใบหน้ามีแต่ความตกใจและงุนงง
ทำไมมันต่างจากที่นางคิด คนเยอะ ผู้ชายก็เยอะ ทำไมไม่มีใครรักหยกถนอมบุปผา มาช่วยนางเลย ผู้หญิงคนนั้นโกรธมาก ทำได้เพียงลุกขึ้นจากพื้น ดูท่านางต้องหาทางอื่นเพื่อเข้าใกล้จวินหย่วนโยวแล้ว
หนึ่งชั่วโมงต่อมา จวินหย่วนโยวและคนอื่น ๆ กลับมาถึงจวนซื่อจื่อ ทันทีที่ทั้งสองเดินเข้าไปในประตู ก็เห็นคนที่คุ้นเคยสองคนนั่งอยู่ในห้องโถง นั่นก็คือเป่ยหมิงฉี่่และเริ่นเซวียนเอ๋อร์
“หยุนถิง เจ้ากลับมาแล้ว ข้ารอเจ้ามาหลายวันแล้ว”เริ่นเซวียนเอ๋อร์กล่าวและยืนขึ้น
“เจ้าตามหาข้าเหรอ?” หยุนถิงงุนงง
“ใช่แล้ว ข้าตัดสินใจที่จะอาศัยอยู่ในจวนซื่อจื่อในระหว่างที่ข้าอยู่ในเมืองหลวง” เริ่นเซวียนเอ๋อร์ไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นคนนอกเลย
“ข้าเองก็รู้สึกว่าพระราชวังนั้นน่าเบื่อมาก จึงตัดสินใจมาอยู่ที่จวนของเจ้า” เป่ยหมิงฉี่่พูดอย่างหยิ่งยโส
สีหน้าของจวินหย่วนโยวดูไม่ดีในทันที “หลิงเฟิง รั่วจิ่งโยนสองคนนี้ออกไป จวนซื่อจื่อไม่ใช่ที่พักพิง ต่อจากนี้ไปถ้าไม่มีคำสั่งของข้า ห้ามคนนอกเข้ามาในจวนซื่อจื่อ”
หลิงเฟิงและรั่วจิ่งรีบเข้ามาในทันที “องค์หญิงสาม เป่ยหมิงไท่จื่อ เชิญขอรับ!”
“จวินหย่วนโยว ทำไมเจ้าขี้งกจัง แค่พักไม่กี่วันเอง…” เป่ยหมิงฉี่่ยังอยากพูดอะไรอีก แต่หลิงเฟิงและรั่วจิ่งได้นำตัวเขาออกไปแล้ว
เริ่นเซวียนเอ๋อร์รีบหาข้ออ้าง “จวินหย่วนโยวเจ้าได้รับผลประโยชน์แล้วถีบหัวส่งไม่ได้นะ ไม่กี่วันก่อนหยุนถิงได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่ในอาการโคม่า ข้าเป็นคนฝังเข็มรักษานาง ไม่อย่างนั้นนางจะฟื้นเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร”
หยุนถิงไม่รู้ว่ามีเรื่องเช่นนี้ด้วย มองไปที่จวินหย่วนโยว เห็นซื่อจื่อพยักหน้า นางจึงพูดว่า”ในเมื่อเจ้าช่วยข้าแล้ว งั้นก็อยู่พักที่นี่เถอะ”
“ดีจังเลย หยุนถิง ยังเป็นเจ้านี่แหละที่มีมโนธรรม” เริ่นเซวียนเอ๋อร์กอดหยุนถิงอย่างตื่นเต้น
“เจ้าสามารถอยู่ต่อได้ แต่ข้าต้องการให้เจ้าช่วยอะไรข้าสักอย่าง” หยุนถิงกล่าว
“อย่าว่าแต่ข้อเดียว สิบข้อก็ไม่มีปัญหา”
เดิมทีหยุนถิงยังคิดว่าจะเข้าไปที่มหาราชวังเพื่อสืบข้อมูลได้อย่างไร แต่ตอนนี้มีเริ่นเซวียนเอ๋อร์เป็นเกราะกำบัง ช่วยแก้ปัญหาได้มาก
ทันทีที่ได้ยินว่าหยุนถิงกลับมาแล้ว ซูหลินก็ออกมาพร้อมกับซีหลิ่ว เยว่เอ๋อร์ก็รีบมาด้วย คนอื่น ๆ ต่างเข้ามาทักทายนาง ทำให้เริ่นเซวียนเอ๋อร์ประหลาดใจ ไม่คิดเลยว่าหยุนถิงจะเป็นที่นิยมในจวนซื่อจื่อมากขนาดนี้
องครักษ์ย้ายของลงจากรถม้า หยุนถิงแบ่งปันให้กับทุกคน หลังจากพูดคุยกับทุกคนสักพักก็กลับไปที่ห้องของตนเอง
“ซื่อจื่อ ข้าต้องการพบกองทัพขนหงส์หลังมื้อกลางวัน “หยุนถิงกล่าว
จวินหย่วนโยวกอดนางไว้ในอ้อมแขนของเขา “ข้าจะไปกับเจ้า”
“ไม่ต้องหรอก ไม่ช้าก็เร็วข้าก็ต้องเผชิญหน้ากับพวกนางเอง หากพวกนางเต็มใจจะจากไป โปรดส่งคนมาคุ้มครองพวกนางด้วย” หยุนถิงกล่าว
“ไม่มีปัญหา”
หลังรับประทานอาหารมื้อกลางวันเสร็จ หยุนถิงพาซูหลินไปยังสถานที่ที่กองทัพขนหงส์อาศัยอยู่ทางตะวันตกของเมือง
รถม้าหยุดลง และหยุนถิงมองไปที่ประตูที่ทรุดโทรม ลานบ้านนั้นเรียบง่ายมาก จัดวางของตกแต่งอย่างเหมาะสม ซึ่งดูเหมือนจะถูกใช้งานมาหลายปีแล้ว
ผู้หญิงสิบกว่าคนอยู่ในลานบ้าน บางคนกำลังซักผ้า บางคนกำลังผ่าฟืน บางคนกำลังปลูกผักที่มุมลานบ้าน และอีกสองสามคนกำลังซ่อมเสื้อผ้า เสื้อผ้าบนร่างกายของพวกนางล้วนผ่านการซ่อมแซมหลายครั้งด้วยผ้าชิ้นเล็ก ๆ
เมื่อเห็นว่าพวกนางมีชีวิตที่ยากลำบากเช่นนี้ แต่ก็ยังเต็มใจที่จะอยู่ที่นี่ โดยรักษาปณิธานเดิมที่มีต่อแม่ ดวงตาของหยุนถิงก็เป็นสีแดง
ซูหลินเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว “ทุกคนหยุดสักครู่ คุณหนูใหญ่มาแล้ว”
พูดประโยคเดียว ก็สร้างความตกตะลึงให้กับทุกคนในลานบ้าน ทุกคนต่างพากันมาดู
หยุนถิงสวมชุดสีขาว แก้มที่สะอาดเหมือนไม่ได้แต่งหน้า เส้นผมถูกมัดด้วยปิ่นหยกสีขาวเพียงอันเดียว เรียบง่าย สง่างาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งดวงตาคู่นั้นแดงระเรื่อเล็กน้อยและความทุกข์ในดวงตาก็ชัดเจน
เมื่อทุกคนเห็นคุณหนูใหญ่เช่นนี้ พวกนางทั้งหมดตกตะลึง
ในอดีตนั้นคุณหนูใหญ่แต่งตัวหรูหราแต่ชุดไม่แมทตซ์กันเลย มักจะเป็นสีเเดงกับสีเขียว บนหัวของนางยังประดับด้วยปิ่นมุก เหมือนกลัวว่าคนอื่นจะไม่รู้ว่านางรวย อาจกล่าวได้ว่านางไม่มีรสนิยมเลย
ในเวลานั้นคุณหนูใหญ่ไล่ตามหลีอ๋องตลอดทั้งวัน ในสายตามีแต่หลีอ๋อง มองไม่เห็นการมีอยู่ของผู้อื่นเลย ถึงขนาดมีครั้งหนึ่งอยากจะส่งกองทัพขนหงส์ไปให้หลีอ๋องเพื่อเอาใจเขา
หยุนถิงเดินเข้าไปคุกเข่าบนพื้นโดยไม่พูดอะไรสักคำ
“ก่อนหน้านี้เป็นข้าที่ทำให้ทุกคนผิดหวัง ทั้งหมดเป็นข้าไม่รู้ถูกผิด ไม่แยกแยะถูกผิด ข้าทำเรื่องโง่ ๆ มากมายกับทุกคน ข้าต้องขออภัยทุกคนที่นี่ด้วย
ข้ารู้ว่าคำขอโทษไม่สามารถชดเชยความเจ็บปวดได้ แต่ข้าจะทำให้ดีที่สุดเพื่อชดเชยความผิดที่ข้าได้ทำลงไป และข้าจะไม่มีวันปล่อยให้กองทัพขนหงส์ที่ท่านแม่ของข้าทิ้งไว้ล่มสลาย ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจฟื้นฟูกองทัพขนหงส์ โปรดให้โอกาสข้าด้วย ”