จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 224 ขอร้องเจ้าให้โอกาสข้าอีกครั้งได้หรือไม่
หยุนถิงมุมปากกระตุก ถลึงตาใส่เริ่นเซวียนเอ๋อร์อย่างโกรธขึ้ง “ไม่เป็นไร ข้าทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว พวกเรากลับกันเถอะ”
“ได้ คราวหน้าจะให้พวกเจ้าดู ทำตามวิธีของข้ารับรองโรคของพวกเจ้าหายดีแน่” เริ่นเซวียนเอ๋อร์บอก
ขันทีสองคนผงกหัวอย่างแรง จากนั้นทั้งสี่คนก็เดินกลับไป
จวินหย่วนโยวยืนรออยู่หน้าประตูนานแล้ว พอเห็นหยุนถิงกลับมา ถึงถอนหายใจโล่งอก พวกเขาพากันขึ้นรถม้าและเดินทางกลับ
“หยุนถิงเจ้าออกมานานขนาดนี้ทำไมกัน?” เริ่นเซวียนเอ๋อร์ถาม
“ก็ไม่เคยมาแปรพระราชฐานนี่ ออกมาเดินเล่นน่ะ” หยุนถิงตอบ
“เดินเล่นก็เดินเล่นสิ ต้องปีนกำแพงห้องปลดทุกข์ด้วยรึ? อันที่จริงเจ้าไม่บอกข้าก็พอเดาได้ ข้าไม่สนใจความลับของเจ้า ข้าได้ยินว่าเมืองหลวงของพวกเจ้าน่ะเปิดร้านไก่ทอด ระยะนี้ที่ข้าอยู่ในเมืองหลวงเจ้าให้ข้ากินจนพอใจก็พอแล้ว” เริ่นเซวียนเอ๋อร์บอก
“ไม่มีปัญหา”
รถม้าแล่นไปได้หลายถนน ถนนที่อยู่ไม่ไกลนักครึกครื้นยิ่ง หยุนถิงมองนอกรถม้า กลางถนนมีผู้คนห้อมล้อมมุงดูกันอยู่ ตรงกลางเหมือนมีคนที่เธอคุ้นเคยอยู่
“หลิงเฟิง จอดรถข้างทาง” หยุนถิงบอก
“ขอรับ ฮูหยิน” หลิงเฟิงรีบจอดรถม้าทันที
หยุนถิงลงจากรถม้า และเห็นจ้าวเคอคุกเข่าอยู่ท่ามกลางฝูงชนแต่ไกล ด้านข้างมีสตรีนางหนึ่งในชุดสีเหลืองถูกคุณชายเสเพลผู้หนึ่งโอบกอดไว้ ทั้งคู่ดูสนิทสนมกันยิ่งนัก
“จูจู ขอร้องเจ้าให้โอกาสข้าอีกครั้งได้ไหม ข้าไปส่งรายชื่อเข้าร่วมการสอบระดับเขตแล้ว ข้าจะต้องสอบได้แน่ ขอร้องเจ้ารอข้าอีกหน่อยเถอะ!” จ้าวเคออ้อนวอน
“จ้าวเคอ ข้ารอเจ้ามากี่ปีแล้ว คิดว่าเจ้าได้ลืมตาอ้าปาก สุดท้ายจนถึงตอนนี้เจ้าก็ยังเป็นแค่บัณฑิต ที่บ้านจนเสียมิมีอันใดจะกินแล้ว ยังมีแม่แก่เฒ่าที่นอนป่วยติดเตียงอีก เจ้าจะให้ข้ากินแกลบอยู่กับเจ้ารึ” สตรีชุดเหลืองตอบอย่างดูถูก
“ข้าไร้สามารถ ข้าไร้ฝีมือ ทำให้เจ้าลำบากไปด้วย ต่อไปหากข้าสอบได้ ข้าต้องให้เจ้าได้อยู่อย่างสุขสบายแน่นอน” จ้าวเคออ้อนวอน
“พอได้แล้ว รอเจ้าสอบติดชาติไหนล่ะ ยากนักที่คุณชายหลิ่วชอบพอและไม่รังเกียจข้า ดังนั้นพวกเราตัดขาดกัน ต่อไปเจ้าไปตามทางของเจ้า ข้าไปตามทางของข้า ไม่เกี่ยวข้องกันอีก” จูจูบอกอย่างไม่แยแส
“หากเจ้าไปกับเขา เจ้าเป็นได้เพียงแค่อนุนะ” จ้าวเคอขมวดคิ้วมุ่น
“เป็นอนุแล้วอย่างไร เป็นอนุของคุณชายหลิ่วก็ยังดีกว่าแต่งงานกับยาจกเช่นเจ้า” จูจูเย้ยหยัน
จ้าวเคอสีหน้าซีดเผือด เขาไม่คิดเลยว่าผู้หญิงที่เติบโตมากับเขาแต่เล็กจะเย้ยหยันหยามเกียรติตนเช่นนี้ เหตุใดนางกลายเป็นเช่นนี้ได้ ประหนึ่งตนมิเคยรู้จักนางมาก่อน
“จ้าวเคอ เจ้าอย่าโทษข้าเลย ยังไงซะเราก็รู้จักกันแต่เด็ก ขอเพียงเจ้ายอมขายภาพตัวอักษรนั้นในมือเจ้า ข้าก็จะคิดดูเรื่องกลับไปกับเจ้า” แววตาจูจูฉายแววเจ้าเล่ห์ขึ้นมา
“ไม่ได้ ตัวอักษรนี้คุณหนูหยุนมอบให้ข้า ข้าไม่ขายเด็ดขาด!” จ้าวเคอพูดพลางกำภาพตัวอักษรแน่น
พอเห็นเขาดื้อด้านเช่นนี้ จูจูขี้เกียจเสแสร้งอีกต่อไป “วันนี้ข้าพูดไว้ตรงนี้เลยนะ ข้ากับภาพตัวอักษรนี่เจ้าเลือกมาหนึ่งอย่าง หากเจ้าเลือกภาพ ข้าก็ไปกับคุณชายหลิ่ว หากเจ้าเลือกขายมันซะ ข้าจะกลับไปอยู่กินกับเจ้าดีหรือไม่?”
จ้าวเคอคิ้วขมวดเป็นปม ทั้งที่นางรู้ดีว่าภาพตัวอักษรนี้คุณหนูหยุนมอบให้เขา รู้ทั้งรู้ว่าตนทะนุถนอมมันเพียงใด เหตุใดต้องบีบคั้นตนเยี่ยงนี้
หยุนถิงที่ยืนท่ามกลางฝูงชนได้ยินพอประมาณแล้ว เธอเองก็สงสัยว่าจ้าวเคอจะเลือกอะไร
หากเขาเลือกขายภาพอักษรจริง หยุนถิงเองก็เข้าใจ เพราะผู้หญิงคนนี้รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กกับเขา ส่วนตนกับเขาเพียงแค่เคยพบกันครั้งหนึ่งเท่านั้นเอง
“คุณหนูหยุนเป็นผู้ที่รู้และเข้าใจในอักษร ตัวอักษรที่นางมอบให้ข้าเป็นเพราะพวกเราต่างรักตัวอักษรเช่นกัน นางไม่ได้ดูถูกชาติกำเนิดของข้า และนางเป็นผู้เดียวที่เคารพข้า ดังนั้นต่อให้ตาย ข้าก็ไม่มีทางขายภาพตัวอักษรนี้เด็ดขาด” จ้าวเคอพูดเสียงหนักแน่น เข้มงวดอย่างไม่ต้องสงสัย
ทำเอาจูจูโกรธหน้าดำทะมึน “เจ้าคนซึมกะทือ เช่นนั้นเจ้าก็กอดภาพตัวอักษรของเจ้าอดตายไปเถอะ คุณชายหลิ่วพวกเราไปกันเถอะ”
“รอก่อน ในเมื่อนี่เป็นภาพตัวอักษรที่หยุนถิงมอบให้เจ้า เช่นนั้นภาพนี้ก็สามารถขายได้หนึ่งแสนตำลึงกระมัง?” สีหน้าคุณชายหลิ่วเผยแววสมใจและละโมบออกมา
จ้าวเคอกอดภาพแน่นขึ้นทันที “เจ้าคิดจะทำอะไร?”
“ข้าจะเอาทั้งคนและภาพ พวกเจ้า ไปแย่งมาให้ข้า!” คุณชายหลิ่วออกคำสั่ง
“เจ้าไม่กลัวคุณหนูหยุนกันรึ?” จ้าวเคอพูดละล่ำละลัก พลางถอยหลังกรูด
ทั่วทั้งเมืองหลวงต่างรู้ดีว่า เมื่อไม่นานมานี้หยุนถิงมอบภาพอักษรให้กับจ้าวเคอภาพหนึ่งที่หอเหวินหยวน แต่ไม่เคยมีใครกล้าจะหมายมาดภาพนี้เลย
ตอนนี้คุณชายหลิ่วกลับจะแย่งซึ่งๆหน้า ฝูงชนที่ห้อมล้อมพลันตกใจ ถอยกรูดไปตามๆกัน
“ข้าหรือจะกลัวหญิงอัปลักษณณ์หยุนถิงนั่น น่าขำนัก พี่สาวของข้าเป็นถึงสนมอันเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน เจ้าหนูไม่อยากตายก็ส่งภาพมาโดยดี ไม่เช่นนั้นข้าจะอัดเจ้าด้วย!” คุณชายหลิ่วบอกอย่างกร่าง
“ต่อให้เจ้าอัดข้าให้ตาย ข้าก็ไม่ให้เจ้า” จ้าวเคอกอดภาพไว้ลุกขึ้นจะวิ่งหนี แต่โดนคนรับใช้ห้าหกคนจับกดไว้ จะแย่งภาพในมือเขา
หลงเอ้อร์เหาะเข้าไปเตะกระเด็นทีละคนอย่างรวดเร็ว แค่พริบตาเดียวคนรับใช้หกคนก็ล้มระเนระนาดกับพื้น ขยับตัวไม่ได้เลย
เสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวดดังมา ทำคนสะท้านเยือก
คุณชายหลิ่วตกใจนัก “ใคร ใครกล้าทำร้ายคนของข้า?”
“ข้าเอง!” หยุนถิงปรากฏตัวอย่างยิ่งใหญ่ ทำคนตกตะลึงไปตามๆกัน
พอทุกคนเห็นหยุนถิง ก็พากันถอยกรูด คราวนี้มีละครสนุกดูละ คุณชายหลิ่วผู้นี้หาเรื่องตาย กล้าคิดแย่งของๆคุณหนูหยุน หาเรื่องตายเองแท้ๆ
พอเห็นคนมา คุณชายหลิ่วงงเป็นไก่ตาแตกไปเลย เขาไม่คิดเลยว่าหยุนถิงจะมาปรากฏตัวที่นี่เอาดื้อๆ และนางกลับกลายเป็นสาวงามงดเยี่ยงนี้ งามกว่าจูจูที่อยู่ข้างกายตนไม่รู้กี่พันกี่หมื่นเท่า
คุณชายหลิ่วกำลังจะอ้าปากพูด ก็เหลือบไปเห็นจวินซื่อจื่อที่อยู่ด้านหลังหยุนถิง คราวนี้คุณชายหลิ่วตกใจสีหน้าซีดเผือด คุกเข่าลงกับพื้นทันที
“คุณหนูหยุนไว้ชีวิตด้วย จวินซื่อจื่อไว้ชีวิตด้วย ข้าผิดไปแล้ว ข้าสมควรตายนัก ข้ามันสารเลว ไม่ควรจะแย่งของๆจ้าวเคอ เป็นสตรีผู้นี้ นางบอกข้าว่าจ้าวเคอมีภาพที่คุณหนูหยุนมอบให้ มูลค่าหนึ่งแสนตำลึง สตรีผู้นี้ยุยงข้า” คุณชายหลิ่วดึงจูจูที่อยู่ข้างๆออกมาทันที
จูจูงงเป็นไก่ตาแตกไปนานแล้ว มองดูเหล่าคนรับใช้ที่ล้มระเนระนาดกับพื้น และหลงเอ้อร์ที่อยู่ข้างกายหยุนถิง ตกใจแทบสิ้นสติ รีบคุกเข่าลงขอร้องอ้อนวอน
หยุนถิงเดินเข้าใกล้เขาทีละก้าว ยิ้มมุมปากเย้ยหยัน “เมื่อครู่เจ้ายังร้องปาวๆอยู่มิใช่รึ บอกว่าไม่เห็นข้าในสายตามิใช่รึ บอกว่าเจ้าเป็นน้องสาวของสนมที่ฝ่าบาททรงโปรดปราน เลยกล้าแย่งชิงกันหน้าด้านๆกลางตลาด”
“ข้าผิดไปแล้ว คุณหนูหยุน ข้ามันโอหังบังอาจเอง ข้ามันปากหมาพูดจาไม่ดี ดังนั้นต่อไปข้าไม่กล้าอีกแล้ว” คุณชายหลิ่วอ้อนวอน
“คนอย่างข้ามีคุณต้องทดแทน มีแค้นต้องชำระมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ในเมื่อเป็นของที่ข้ามอบออกไป ใครกล้าแย่ง ก็เท่ากับเป็นศัตรูกับข้า องค์หญิงสาม ท่านมิใช่อยากจะประลองวิชาแพทย์กับข้าตลอดมิใช่รึ วันนี้เราเอาเขามาแข่งกันเป็นไร?” หยุนถิงเสนอ
“ความคิดนี้ดีนี่ ข้ายังไม่เคยเอาคนมาแข่งมาก่อนเลย แข่งอย่างไร?” เริ่นเซวียนเอ๋อร์สนใจขึ้นมา
“แข่งกันว่าใครสามารถทำให้เขาอยู่ไม่สู้ตาย เจ็บปวดจนอยากตายได้มากกว่ากัน!”