จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 245 หยุนถิงสั่งสอนจ้าวเหลียงเหรินอย่างแสดงอำนาจ
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมรับพระบัญชา” มู่ฟงรับคำสั่ง ในใจกลับด่าไอ้ระยำคนไหนมันลอบทำร้ายเขากันแน่
“หลีอ๋อง เจ้ารับหน้าที่ให้ความช่วยเหลือผู้บัญชาการมู่ตรวจสอบ ซวนอ๋องเจ้ารับผิดชอบเวนคืนอาหาร และสร้างคลังเก็บอาหารขึ้นมาใหม่ อาหารเกี่ยวพันถึงรากฐานของต้าเยียนเรา จะให้มีข้อผิดพลาดใดๆไม่ได้เด็ดขาด” ฮ่องเต้ออกคำสั่ง
“พ่ะย่ะค่ะ” โม่ฉือหานกับโม่เหลิ่งเหยียนรับคำสั่ง
มองดูสีหน้าที่ดำมืดเต็มไปด้วยโทสะของฝ่าบาท คนอื่นๆล้วนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง กลัวว่าตัวเองจะติดร่างแหไปด้วย
หยุนเฉิงเซี่ยงเหลือบมองทุกคนครู่หนึ่ง เอ่ยปากขึ้นมาอย่างช้าๆ “ฝ่าบาท กระหม่อมทราบว่ายุ้งฉางถูกเผาในครั้งนี้ ท้องพระคลังได้รับความเสียหายอย่างหนัก ไม่นานมานี้หยุนถิงลูกสาวของกระหม่อมไปเขียนอักษรที่หอเหวินหยวนสองสามภาพ บังเอิญถูกประมูลไปพอดี
หยุนถิงให้ผู้จัดการร้านของหอเหวินหยวนส่งเงินปันผลมาให้กระหม่อม บอกว่าเป็นการแสดงความกตัญญูเล็กน้อยต่อผู้เป็นบิดา กระหม่อมรู้สึกชื่นใจและซาบซึ้งอย่างยิ่ง เดิมคิดว่าจะนำเข้าโลงหลังจากกระหม่อมเสียชีวิตแล้ว
ตอนนี้ยุ้งฉางของแคว้นต้าเยียนเราถูกเผาทำลาย ฝ่าบาทจะสร้างคลังเก็บอาหารขึ้นมาใหม่ จำเป็นต้องมีเงินทุนอย่างแน่นอน ดังนั้นกระหม่อมยินดีมอบเงินที่ลูกสาวให้กระหม่อมให้กับราชสำนักโดยไม่รับการตอบแทน ถือเป็นน้ำใจเล็กน้อยของกระหม่อม”
ทุกคนมองอย่างตกตะลึงจนอ้าปากค้าง พากันอิจฉาอย่างยิ่ง
หยุนเฉิงเซี่ยงหยิบตั๋วเงินหนึ่งแสนตำลึงออกมา ภายใต้สายตาอิจฉาริษยาของทุกคน แต่แล้วเมื่อมองตั๋วเงินใบนั้นสีหน้าก็กระอักกระอ่วนอย่างยิ่ง
“ฝ่าบาทขออภัยด้วย ตอนกระหม่อมออกมาตอนเช้าอาจจะรีบร้อนและลนลานไปหน่อย ดังนั้นจึงนำติดตัวมาแค่แปดหมื่นตำลึงเท่านั้น” หยุนเฉิงเซี่ยงกล่าวด้วยความกระอักกระอ่วน
“ไม่เป็นไร หยุนเฉิงเซี่ยงเอาใจใส่ราชสำนักเช่นนี้ แบ่งเบาความกังวลของข้า ข้ารู้สึกปลื้มปิติมาก หยุนเฉิงเซี่ยงมีลูกสาวที่ดีจริงๆ หยุนถิงมีความกตัญญูเช่นนี้ถือได้ว่าเป็นแบบอย่างของแคว้นต้าเยียนเรา ไม่เลวจริงๆ” ฮ่องเต้กล่าวชื่นชม
“ขอบพระทัยสำหรับคำชมของฝ่าบาท ได้รับใช้ฝ่าบาทถือเป็นเกียรติของกระหม่อม” หยุนเฉิงเซี่ยงกล่าวอย่างถ่อมตัว
หลังจากเสร็จการประชุมเช้า บรรดาขุนนางห้อมล้อมหยุนเฉิงเซี่ยง พากันแสดงความยินดีกับเขา ประจบประแจง บอกว่าเขามีลูกสาวที่ดี
หยุนเฉิงเซี่ยงภาคภูมิใจอย่างยิ่ง เหลือบมองไปทางหลีอ๋องที่เดินเข้ามา จงใจตะโกนกล่าวด้วยเสียงอันดัง “ลูกสาวของข้ายอดเยี่ยมอยู่แล้ว เสียดายที่ใครบางคนตาบอด เห็นไข่มุกเป็นตาปลา ดีที่ถิงเอ๋อร์ได้พบกับจวินซื่อจื่อที่เข้าใจนาง เห็นนางมีชีวิตที่ดี ข้าก็ปลื้มใจแล้ว”
“หยุนเฉิงเซี่ยงกล่าวอะไรเช่นนั้น ทั่วทั้งเมืองหลวงต่างก็รู้ว่าจวินซื่อจื่อโปรดปรานคุณหนูหยุนคนเดียว ท่านก็อย่าโอ้อวดกับเราตรงนี้เลย” ขุนนางคนอื่นๆกล่าวขึ้นมา
โม่ฉือหานฟังจนหน้ามืดหน้าดำแล้ว เห็นได้ชัดว่าหยุนเฉิงเซี่ยงกำลังบอกว่าตัวเองไม่รู้จักทะนุถนอม
ใช่แล้ว ตอนนั้นเขาเป็นคนรังเกียจ เบื่อหน่าย ดูถูกหยุนถิง แถมยังทำเรื่องที่เกินขอบเขตกับนางไม่ใช่หรือ
นัยน์ตาสีดำที่ลึกล้ำของโม่ฉือหานมีความเสียใจที่ทำลงไป ละอายใจ ตำหนิตัวเองแว๊บผ่านไปเล็กน้อย หากเขาไม่ได้หย่าร้างกับหยุนถิง บางทีคนที่เอาเงินหนึ่งแสนตำลึงออกมาในวันนี้อาจจะเป็นตัวเอง น่าเสียดายที่ไม่มีคำว่าถ้าหาก
หยุนเฉิงเซี่ยงเตรียมพร้อมให้หลีอ๋องเข้ามาหาเรื่องชวนทะเลาะแล้ว แต่แล้วก็เห็นโม่ฉือหานจากไปอย่างหดหู่และพ่ายแพ้ แผ่นหลังดูอ้างว้างและโดดเดี่ยวอย่างยิ่ง
หยุนเฉิงเซี่ยงไม่สนใจเขาหรอก ได้ใจอย่างยิ่ง ฮัมเพลงเดินกลับไป
และฮ่องเต้ที่จบจากประชุมเช้าสีหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง โมโหไม่สิ้นสุด “จะทำเช่นไรดี นั่นเป็นยุ้งฉางของข้าเชียวนะ หลังจากเหตุการณ์นี้แล้วเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่ามีคนจ้องมองต้าเยียนอย่างละโมบแล้ว”
“ฝ่าบาท บางทีพระองค์อาจสามารถเรียกตัวคุณหนูหยุนเข้าวังมา คุณหนูหยุนอาจจะมีวิธีก็เป็นได้” ซูกงกงกระซิบเสียงเบา
ฮ่องเต้เลิกคิ้ว “หยุนถิง?”
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ปัญหาของเมืองหนานหยวนในครั้งก่อนคุณหนูหยุนก็เป็นคนแก้ไข วันนี้หยุนเฉิงเซี่ยงเอาเงินออกมาแปดหมื่นตำลึงโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า แสดงให้เห็นว่าที่คุณหนูหยุนต้องให้เขามากกว่านี้อย่างแน่นอน คุณหนูหยุนฉลาดหลักแหลม ไม่แน่ว่านางอาจจะสามารถคลายข้อสงสัยให้ฝ่าบาทก็เป็นได้” ซูกงกงอธิบาย
“ใช่แล้ว ข้าลืมหยุนถิงไปได้อย่างไร รีบเรียกตัวนางเข้าวัง” ฮ่องเต้ตรัสด้วยความยินดี
“พ่ะย่ะค่ะ”
เวลาหนึ่งก้านธูป ซูกงกงก็พาหยุนถิงเข้าวังมาแล้ว จวินหย่วนโยวออกไปพร้อมกับหลิงเฟิง ดังนั้นจึงไม่ได้ตามมาด้วย
หยุนถิงเดินเข้าไปข้างในอย่างชำนาญลู่ทาง ตอนที่เดินผ่านอุทยานก็เห็นสนมสองสามคนกำลังพูดคุยสนุกสนานอยู่ในศาลา
“พวกเจ้าได้ยินหรือยัง ชื่อเสียงและเกียรติยศของซ่างกวนหรูป่นปี้ไม่มีชิ้นดีแล้ว ถึงกับทำเรื่องบัดสีกับชายแปลกหน้าในพระราชวัง ช่างไร้ยางอายจริงๆ”
“เจ้าจะไปรู้อะไร ข้าได้ยินมาว่าซ่างกวนหรูเอาแต่บอกว่าตัวเองถอดเสื้อผ้าของจวินซื่อจื่อ ไม่แน่ว่าอาจจะมีเหตุการณ์ภายในอะไรอยู่ในนี้ก็ได้”
“ข้าว่าจวินซื่อจื่อรู้สึกเบื่อหยุนถิงแล้ว อยากจะลิ้มลองอะไรใหม่ๆ ดังนั้นถึงได้ไปหาซ่างกวนหรู แต่เมื่อเห็นเหตุการณ์ถูกเปิดโปง ก็เลยหาผู้ชายคนหนึ่งมาเป็นข้ออ้าง มิเช่นนั้นคืนนั้นทำไมถึงไม่เห็นจวินซื่อจื่อทั้งคืนล่ะ?”
“เจ้าอย่าพูดจาเหลวไหลไปเรื่อย จวินซื่อจื่อโปรดปรานคุณหนูหยุนคนเดียวทั่วทั้งเมืองหลวงต่างก็รู้กันดี”
“ความประพฤติในอดีตของหยุนถิงเป็นอย่างไรใช่ว่าพวกเจ้าไม่รู้ อัปลักษณ์ไร้ที่เปรียบ ไม่มีความรู้ความสามารถ โง่เขลาเบาปัญญาไร้ประโยชน์ ตอนนี้ใบหน้าฟื้นฟูแล้ว ก็ทำให้ทุกคนล้วนเข้าข้างนาง ความรู้ความสามารถที่พูดถึงนั่นไม่แน่ว่าซื่อจื่ออาจจะจงใจทำชื่อเสียงของนางให้ขาวสะอาดก็เป็นได้” จ้าวเหลียงเหรินกล่าวอย่างดูหมิ่น (เหลียงเหรินเป็นหนึ่งตำแหน่งของพระสนม)
สนมคนอื่นๆมองดูจ้าวเหลียงเหรินครู่หนึ่ง พากันส่ายหน้า ไม่กล้าคล้อยตามอย่างไร้เหตุผล
ลี่หรงหัวเหลือบไปเห็นหยุนถิงที่เดินอยู่ไม่ไกล สีหน้าแข็งทื่อเล็กน้อย แต่ว่าในชั่วพริบตาก็กลับมาเป็นปกติ
“จ้าวเหลียงเหรินใส่ร้ายคุณหนูหยุนเช่นนี้ เพราะอิจฉาความงามของนางใช่ไหม หรือว่าอิจฉาที่จวินซื่อจื่อโปรดปรานนางคนเดียว ระวังภัยพิบัติออกมาทางปากนะ” ลี่หรงหัวเอ่ยปาก
“พวกเจ้ากลัวนาง แต่ข้าไม่กลัวหรอก ถึงแม้ตอนนี้หยุนถิงจะงดงามแค่ไหน มีความรู้ความสามารถน่าทึ่งอย่างไร เมื่อก่อนก็เป็นคนโง่เขลาที่ไม่มีอะไรดีสักอย่าง อาศัยที่มีพ่อเป็นเฉินเซี่ยงก็ใช้อำนาจบาตรใหญ่ สิ่งนี้ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องที่หลีอ๋องเบื่อหน่ายรังเกียจและให้หนังสือหย่าเมียกับนางไปได้
ก็ไม่รู้ว่าจวินซื่อจื่อตาบอดหรือเปล่า ถึงกับเก็บของมือสองมาใช้ ผู้หญิงที่หลีอ๋องรังเกียจ จวินซื่อจื่อกลับเห็นเป็นของล้ำค่าเอาอกเอาใจขนาดนั้น ตาบอดจริงๆ” จ้าวเหลียงเหรินกล่าวด้วยความอิจฉา
สาเหตุที่นางเกลียดชังหยุนถิงขนาดนี้ ก็เป็นเพราะที่ร้านเครื่องประดับเมื่อคราวก่อน หยุนถิงซื้อเครื่องประดับแบบใหม่ทั้งหมดของร้านเครื่องประดับไปในคราวเดียว รวมถึงชุดที่นางสั่งทำไว้ก็ถูกผู้จัดการร้านมอบให้แก่หยุนถิง
ตอนนั้นจวินซื่อจื่อก็อยู่ด้วย จ้าวเหลียงเหรินย่อมไม่กล้าพูดอะไรมากอยู่แล้ว เวลานี้อยู่ในพระราชวัง จ้าวเหลียงเหรินก็ไม่มีอะไรต้องกลัวแล้ว
“ข้าไม่รู้เลยว่า ตัวเองเป็นของมือสอง” เสียงที่เย็นยะเยือกมืดมนดังมาจากด้านหลัง
บรรดาสนมมองไปทางด้านหลังโดยสัญชาตญาณ ตอนที่มองเห็นหยุนถิง สนมทั้งหมดตกตะลึงไป
“เจ้า เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” จ้าวเหลียงเหรินตกใจจนใบหน้าซีดขาว
“หากข้าไม่อยู่ที่นี่ จะรู้ได้อย่างไรว่ามีคนพูดจาให้ร้ายทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงลับหลังข้าเช่นนี้” หยุนถิงกล่าวอย่างเย็นชา เดินไปถึงหน้าจ้าวเหลียงเหริน
สีหน้าของนางเย็นยะเยือก ดวงตาคู่สวยแฝงไปด้วยความเย็นชาดุร้าย อากาศที่อยู่บริเวณโดยรอบราวกับห่มหุ้มด้วยน้ำแข็งที่เย็นยะเยือก เย็นชา เคียดแค้น น่าเกรงขามโดยปราศจากความโกรธ ทำให้คนรู้สึกกดดันอย่างอธิบายไม่ถูก
จ้าวเหลียงเหรินไม่เคยเห็นสายตาที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้มาก่อน สีหน้าซีดขาวในชั่วพริบตา “เจ้า เจ้าจะทำอะไร ที่นี่คือพระราชวัง ไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะมากำเริบเสิบสานได้”
“งั้นหรือ?” มุมปากของหยุนถิงเกี่ยวขึ้นมาเป็นรอยยิ้มเย้ยหยันเล็กน้อย ยกมือขึ้นมาตบแก้มของจ้าวเหลียงเหรินทั้งซ้ายและขวา
“เพียะๆๆ!” เสียงตบที่ดังชัดเจน สร้างความตกตะลึงไปทั้งศาลา
“อ๊าก——” จ้าวเหลียงเหรินกรีดร้อง นางอยากจะเรียกหาคน แต่หยุนถิงไม่ให้โอกาสนาง ตบลงไปหลายฉาก ใบหน้าของจ้าวเหลียงเหรินบวมแดงในชั่วพริบตา เจ็บจนนางไม่กล้าพูดอะไรอีก