จอมนางข้ามภิภพ – บทที่ 291 ถึงเวลาทำให้เขารู้จักตัวเองอย่างประจักษ์ชัดแล้ว

จอมนางข้ามภิภพ

จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 291 ถึงเวลาทำให้เขารู้จักตัวเองอย่างประจักษ์ชัดแล้ว

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น หยุนถิงกับจวินหย่วนโยวรับประทานมื้อเช้าเสร็จ หยุนถิงช่วยใส่ยาให้รั่วจิ่ง ถึงได้ตามหลิงเฟิงไปพบหยุนหลิง

จวินหย่วนโยวจัดการให้นางอาศัยอยู่ในบ้านของชาวนาครอบครัวหนึ่ง หยุนถิงยังอดรู้สึกนับถือไม่ได้ มิน่าก่อนหน้านี้นางจ้าวส่งคนไปตามหา ถึงหาไม่พบ

“ฮูหยิน ก่อนหน้านี้ผู้ชายของครอบครัวนี้ก็ติดตามซื่อจื่อเช่นกัน ต่อมาได้รับบาดเจ็บขาพิการไปข้างหนึ่ง ดังนั้นซื่อจื่อจึงมอบเรือนให้เขาไปหนึ่งหลัง ตอนนี้มีเมียมีลูกแล้ว ทั้งครอบครัวก็ใช้ชีวิตกันอย่างสุขสบายดี” หลิงเฟิงอธิบาย

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง” หยุนถิงเดินตามหลิงเฟิงเข้าไป

เป็นเรือนที่ธรรมดามาก มีสี่ห้องทางทิศเหนือ มีห้องด้านข้างสองห้องทั้งสองฝั่ง มุมกำแพงด้านหนึ่งยังปลูกแตงกว่ากับถั่วเอาไว้เล็กน้อย เรียบง่ายอย่างมาก

เด็กผู้หญิงอายุห้าหกขวบคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่กับหยุนหลิงบนเก้าอี้หิน ดูเหมือนว่าหยุนหลิงจะกำลังสอนนางเขียนหนังสืออยู่

หยุนหลิงในเวลานี้ไม่มีกิริยาเกินงามและอวดดีเหมือนในเวลาปกติ ตรงกันข้ามกลับมีความเรียบง่ายเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย ติดดินอย่างมาก หยุนถิงมองด้วยความประหลาดใจ

“คำนับฮูหยิน ฮูหยินเชิญเข้ามาโดยเร็วเถิด” ชายหนุ่มอายุยี่สิบกว่าคนหนึ่งกล่าวอย่างกระตือรือร้น คิ้วดกหนาดวงตากลมโต ใบหน้าเด็ดเดี่ยวแน่วแน่

“ฮูหยิน เขาคือโจวเซิน” หลิงเฟิงแนะนำ

“พี่โจวไม่ต้องเกรงใจ ข้ามาเพื่อเยี่ยมหยุนหลิง” หยุนถิงตอบ

โจวเซินชะงักงันไป ถึงแม้จะไม่เคยเห็นหยุนถิงมาก่อน แต่ก็เคยได้ยินเรื่องราวของนางมาไม่น้อย เพียงแต่คิดไม่ถึงว่า ทันทีที่พบหน้ากันคุณหนูหยุนจะเกรงใจเช่นนี้ ยังเรียกตัวเองว่าพี่ ทำให้เขารู้สึกตกใจไม่น้อยจริงๆ

หยุนหลิงที่อยู่ในลานได้ยินเสียงนี้ เงยหน้าขึ้นมาเห็นว่าเป็นหยุนถิง ก็ตกใจจนสีหน้าซีดขาวในชั่วพริบตา คนทั้งคนประหม่าอย่างมาก

“พี่ใหญ่ ท่านมาทำอะไร?”

หยุนถิงเดินไปทางนาง: “ข้ากลัวว่าน้องหญิงรองจะไม่คุ้นชินกับการอยู่ที่นี่ ก็เลยมาดูหน่อย ถ้าอย่างไรข้ารับเจ้าไปที่จวนซื่อจื่อดีไหม?”

“ไม่ต้องแล้วพี่ใหญ่ ข้าเคยชินมากแล้ว พี่โจวกับพี่สะใภ้โจวดีต่อข้ามาก ข้าเคยชินมากเป็นพิเศษเลย ไม่รบกวนพี่ใหญ่แล้ว” เสียงของหยุนหลิงสั่นสะท้านไปหมด แสดงให้เห็นว่าหวาดกลัวหยุนถิงมาก

“ไม่รบกวนหรอก จวนซื่อจื่อสถานที่ใหญ่โตขนาดนั้น มีเจ้าเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคนก็ไม่มากหรอก ชีวิตของพี่โจวก็ไม่ได้ดีเท่าไหร่ เจ้าจะมากินมาอยู่ที่นี่เปล่าๆตลอด ก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ใช่ไหม” หยุนถิงจงใจกล่าวออกมา

หยุนหลิงดึงปิ่นปักผมที่อยู่บนศีรษะลงมาอย่างตื่นตระหนก ยื่นให้กับโจวเซินด้วยความเคารพนบนอบ: “พี่โจวท่านดูสิว่าอันนี้พอหรือไม่ ถ้าหากไม่พอข้าสามารถทำงานได้ ยังสามารถสอนหนังสือ และงานเย็บปักถักร้อยให้กับฮวนฮวนด้วย——”

ใบหน้าของโจวเซินเต็มไปด้วยความลำบากใจ มองไปทางหยุนถิงโดยสัญชาตญาณ

“เมื่อเป็นเช่นนี้ น้องหญิงรองก็อยู่ต่อไปอย่างสบายใจเถอะ เห็นเจ้ารู้เหตุรู้ผลเช่นนี้ข้าก็วางใจแล้ว” หยุนถิงกล่าวจบ หันหลังก็จากไป

หลิงเฟิงกับโจวเซินรีบตามไปทันที เมื่อออกจากประตู หยุนถิงก็หยิบปิ่นปักผมอันนั้นออกมาจากมือของโจวเซิน

“ระยะนี้ต้องรบกวนพี่โจวดูแลน้องหญิงรองแล้ว ไม่ต้องเห็นนางเป็นแขกดูแลอย่างดีหรอก มีงานอะไรก็ให้นางทำ ไม่ต้องเกรงใจนาง ฝึกฝนนางหน่อยก็ดีเหมือนกัน” หยุนถิงออกคำสั่ง

“ขอรับ ข้าจะจำเอาไว้”

บนรถม้า

หยุนถิงเล่นปิ่นปักผมที่อยู่ในมือ ราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่

“ฮูหยิน จะส่งปิ่นปักผมอันนี้ไปในคุกหรือไม่?” หลงเอ้อถาม

“เจ้าส่งคนไปรับตัวหยุนเสี่ยวลิ่วมา ข้าจะพาเขาเข้าวังไปพบนางจ้าว หยุนเสี่ยวลิ่วคือชีวิตจิตใจของนางจ้าว เห็นลูกชายของตัวเองนางก็จะรู้ว่าควรต้องทำอย่างไร” หยุนถิงตอบ

หลงเอ้อยังอดอุทานด้วยความชื่นชมไม่ได้: “ฮูหยิน ท่านช่างเก่งกาจจริงๆ”

ไม่นานนัก องครักษ์ของจวนซื่อจื่อก็รับตัวหยุนเสี่ยวลิ่วมา เมื่อได้ยินว่าพี่ใหญ่หาเขา ถึงแม้บนใบหน้าของหยุนเสี่ยวลิ่วจะไม่พอใจ แต่ในใจกลับดีใจอย่างมาก พี่ใหญ่ต้องทำอะไรอร่อยๆอีกแน่นอน

เป็นเช่นนั้นจริงๆ พ่อบ้านยกชาเนยจามจุรี แล้วก็โยเกิร์ตก้อนชีสเข้ามามากมาย หยุนเสี่ยวลิ่วกินด้วยความพึงพอใจอย่างยิ่ง

จากนั้นเขาก็เห็นเสี่ยวอันจื่อที่กำลังฝึกกระบี่อยู่ไม่ไกลออกไป ท่าทางเป็นรูปเป็นร่าง หยุนเสี่ยวลิ่วซึ่งเดิมทีกำลังมีอารมณ์กินอย่างเอร็ดอร่อยจู่ๆก็รู้สึกว่าโยเกิร์ตก้อนชีสนี่ไม่อร่อยแล้ว

หยุนเสี่ยวลิ่วลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไป: “เสี่ยวอันจื่อ กระบี่ที่อยู่ในมือเจ้าดูไม่เลวหนิ ได้มาจากไหน?”

“นี่คือกระบี่ที่คุณหนูหยุนสั่งให้คนทำให้ข้าโดยเฉพาะ นางบอกว่าข้าเป็นเด็ก กระบี่ของผู้ใหญ่มันใหญ่เกินไปข้าไม่สามารถใช้ได้ ดังนั้นจึงให้คนทำอันเล็กให้ข้า” เสี่ยวอันจื่อตอบ

ใบหน้าของหยุนเสี่ยวลิ่วเคร่งขรึมทันที: “พี่ใหญ่คนนี้ ถึงกับให้คนนอกอย่างเจ้า ก็ไม่ให้ข้า ช่างลำเอียงจริงๆ”

“คุณชายหกท่านอย่าเข้าใจผิด คุณหนูใหญ่ก็ทำให้ท่านหนึ่งเล่มเช่นกัน ตอนนั้นทำไปทั้งหมดสองเล่ม แต่คุณหนูใหญ่บอกว่าท่านไม่ฝึกกระบี่ ไม่ได้ใช้ ดังนั้นก็เลยไม่ได้ให้ท่าน” เสี่ยวอันจื่ออธิบาย

“ใครบอกว่าข้าไม่ฝึกกระบี่ เสี่ยวอันจื่อ เราสองคนมาประลองกันดูไหม?”

“ดีเลย แต่ถ้าหากข้าทำให้ท่านบาดเจ็บจะทำอย่างไร?” เสี่ยวอันจื่อกล่าวเสียงเบา

“น้อยๆหน่อย ข้าเป็นถึงลูกชายของเฉิงเซี่ยง จะถูกเจ้าทำให้บาดเจ็บได้อย่างไร ถึงแม้จะทำให้ข้าบาดเจ็บข้าก็ไม่โทษเจ้าหรอก” หยุนเสี่ยวลิ่วกล่าวอย่างภาคภูมิใจ

“ตกลง เช่นนั้นท่านใช้กระบี่ของข้าแล้วกัน” เสี่ยวอันจื่อยื่นกระบี่ยาวในมือของตัวเองไปให้

หยุนเสี่ยวลิ่วก็ไม่เกรงใจเขาเช่นกัน รับกระบี่ยาวเข้ามาก็ทำท่าทำทางขึ้นมา อย่าว่าไป กระบี่นี่ไม่เลวจริงๆ

เพียงแต่ว่าเขายังสู้กับเสี่ยวอันจื่อไม่ถึงสามกระบวนท่า ก็ถูกเสี่ยวอันจื่อแย่งกระบี่ไป และพาดกระบี่ไว้ที่คอของเขาโดยตรง

“คุณชายหก ท่านแพ้แล้ว!”

คนทั้งคนของหยุนเสี่ยวลิ่วตะลึงงันไป ทำไมเขาถึงมีความรู้สึกว่ายังไม่ทันได้เริ่ม ก็จบแล้วล่ะ จู่ๆก็รู้สึกได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจทันที หลายวันก่อนเจ้าหมอนี่ยังสู้ตัวเองไม่ได้แท้ๆ

“พี่ใหญ่ข้าให้เคล็ดวิชาเจ้าใช่ไหม ทำไมจู่ๆเจ้าถึงได้เก่งกาจขนาดนี้?”

“ช่วงที่ผ่านมานี้ข้าฝึกฝนกับองครักษ์ในจวนตลอด ฝึกทั้งกลางวันและกลางคืน ท่านดูผิวหนังฝ่ามือของข้าสิเป็นหนังหนาไปหมดแล้ว” เสี่ยวอันจื่อยื่นมือเข้ามา

หยุนเสี่ยวลิ่วมองดูหนังหนาและแผลพุพองบนฝ่ามือของเขา อดที่จะสูดลมหายใจเข้าลึกๆเฮือกหนึ่งไม่ได้ แค่มองดูก็รู้สึกเจ็บแล้ว

“เจ้าไม่เจ็บหรือ ทำไมถึงได้โง่เช่นนี้?”

“ข้าเจ็บ แต่ว่าข้าต้องอดทน เพราะข้าไม่อยากจะเป็นขอทานไปตลอดชีวิต ผู้ที่สามารถทนต่อความทุกข์ที่สาหัสสากัยส์ได้ ถึงจะได้เป็นคนเหนือคน วันหน้าข้าจะเป็นแม่ทัพใหญ่รับใช้ราชสำนัก ดังนั้นข้าต้องทุ่มเทเป็นสองเท่า” เสี่ยวอันจื่อกล่าวอย่างหนักแน่น

มองดูขอทานตัวน้อยที่อยู่ตรงหน้า เขาเป็นลูกชายของเฉิงเซี่ยงแท้ๆ แต่ในนาทีนี้ หยุนเสี่ยวลิ่วกลับมีความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยอย่างอธิบายไม่ถูก

เขากินดีอยู่ดีมาตั้งแต่เด็ก ถูกเลี้ยงดูมาอย่างทะนุถนอมเอาใจ นึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างนี้ล้วนเป็นเรื่องสมควรอยู่แล้ว แต่เวลานี้เผชิญหน้ากับเสี่ยวอันจื่อที่อยู่ตรงหน้า ขอทานคนหนึ่งยังมีปณิธานเช่นนี้ แล้วเขาล่ะ?”

“เสี่ยวลิ่วมาแล้ว ไปกันเถอะ เราเข้าวังกัน” หยุนถิงกล่าวพร้อมเดินเข้ามา

“ได้” หยุนเสี่ยวลิ่วติดตามนางไป

บนรถม้า หยุนเสี่ยวลิ่วไม่พูดอะไรเลยสักคำ ยังคงนึกถึงคำพูดของเสี่ยวอันจื่อเมื่อครู่นี้

หยุนถิงไม่พูดอะไรสักคำ อันที่จริงการประลองของหยุนเสี่ยวลิ่วกับเสี่ยวอันจื่อเมื่อครู่นี้นางเห็นอยู่ในสายตาทั้งหมด ในเวลาปกติเจ้าหมอนี่ถูกปกป้องเอาไว้ดีเกินไป หยิ่งผยองและกำเริบเสิบสานเกินไป ถึงเวลาทำให้เขารู้จักตัวเองอย่างประจักษ์ชัดแล้ว

เมื่อถึงพระราชวัง หยุนถิงก็พาเสี่ยวลิ่วไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท บอกว่าเสี่ยวลิ่วต้องการพบนางจ้าว ฮ่องเต้ย่อมไม่มีเหตุต้องคัดค้านอยู่แล้ว ให้ซูกงกงพาพวกเขาไปที่คุก

ในคุก

นางจ้าวที่เดิมทีกำลังได้ใจอยู่ คิดอยู่ว่าจะสับหยุนถิงเป็นหมื่นๆชิ้นอย่างไร แต่แล้วเมื่อเห็นหยุนถิงพาลูกชายของตัวเองเข้ามา ก็ตกใจแทบแย่ทันที

“หยุนถิง เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่ อย่าทำร้ายเสี่ยวลิ่วนะ?”

จอมนางข้ามภิภพ

จอมนางข้ามภิภพ

Status: Ongoing
นางเป็นบุตรีเอกแห่งจวนเฉิงเสี้ยง เป็นยัยอัปลักษณ์ไร้ค่าผู้ฉาวโฉ่ กลับมีรักแรกพบกับหลีอ๋อง คะยั้นคะยอจะอภิเษกสมรสกับหลีอ๋องอย่างไม่กลัวสิ่งใด ณคืนวันอภิเษกถูกหลีอ๋องทำอัปยศอดสูจนตายพอลืมตาขึ้นดันทะลุมิติมาอีกภพหนึ่งกลายเป็นศาสตราจารย์หมอพิษสมัยใหม่ควบสองบัณฑิต คนที่เคยรังแกนาง มันต้องเอาคืนเป็นร้อยเท่าพันเท่า นาง…จัดการกับพวกสันดานชั่วอย่างออกนอกหน้า หาเงินอย่างถ่อมตน มัสมบัติระรวยใต้หล้า เพื่อหลุดพ้นจากหลีอ๋อง เลยแต่งในฐานะนางสนมของซื่อจื่อ กลับคิดไม่ถึงว่าจะไปกระตุกหนวดเสือให้เข้าแล้ว เขาเป็นซื่อจื่อผู้ป่วยเสาะแสะ สุขุมอ่อนโยน เย็นชาเจ้าเล่ห์ ร่างมีพิษที่จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน หยุนถิงเป็นคนช่วยเขาแก้พิษ ทำให้เขากลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง เขาสาบานว่า จะอยู่กินกับนางแต่เพียงผู้เดียว หลังแต่งงาน นางนวดเอวที่ปวดอยู่ เตะเขาลงจากเตียง:“รับจดหมายรักจากหญิงอื่น ยังกล้ามานอนกับหม่อมฉันอีกรึ?” เขารีบอธิบาย:“น้องนาง ข้าผิดไปแล้ว ใครกล้ามาแย่งข้าไปจากเจ้า ข้าจะตัดขานางให้รู้แล้วรู้รอด” นางยักคิ้วหลิ่วตา:ก็ท่านนี่แหละที่เป็นต้นเหตุ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท