จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 352 ข้าชอบที่เจ้าทำตัวออดอ้อนข้า
หยุนถิงหน้าแดงระเรื่อขึ้นทันที มองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเขินอาย “ไม่มีอะไร”
“ไม่มีอะไร คืออันใด?” จวินหย่วนโยวจงใจถาม พลางจูบเบาๆ ที่หูของหยุนถิง
หัวใจของหยุนถิงสั่นสะท้าน แก้มของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงทันทีเหมือนกุ้งที่ต้มสุกแล้ว
โชคดีที่เป็นเวลากลางคืน ภายนอกหอเย็นหยู่ก็มืดมิด จวินหย่วนโยวกอดนางจากทางด้านหลัง ดังนั้นจึงมองไม่เห็นแก้มแดงๆ ของนาง
“ซื่อจื่อ ท่านอย่ามาล้อเล่นนะ!” หยุนถิงโกรธ
“งั้นหรือ มิใช่เจ้าหรอกหรือที่เริ่มก่อน?” จวินหย่วนโยวยกยิ้มมุมปากอย่างขี้เล่น
“ไอ๊หยา ซื่อจื่อ”
“ฮ่าฮ่า ข้าชอบเวลาที่เจ้าทำตัวออดอ้อนข้า” จวินหย่วนโยวหัวเราะเบาๆ
ขณะที่หยุนถิงกำลังจะพูดบางอย่าง จวินหย่วนโยวก็จูบที่คอนางอีกครั้ง
มันอุ่นๆ คันๆ ทำให้หยุนถิงถึงกับตัวแข็งทื่อ “ซื่อจื่อ”
แม้แต่เสียงพูดปกติ ยังเต็มไปด้วยความออดอ้อน
จวินหย่วนโยวพอใจเป็นอย่างมาก หมุนตัวนางกลับมาด้วยมือใหญ่ ดันนางชนกับกำแพงด้วยมือและเสื้อคลุม
หยุนถิงมองใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม ถึงแม้ว่าตอนกลางคืนจะมืดมิด แต่ภายใต้แสงจันทร์ นางกลับมองเห็นใบหน้าหล่อเหลา คมเข้มของจวินหย่วนโยวอย่างชัดเจน แลดูลึกลับในความสลัว ทำให้นางตกหลุมพรางในทันที
“ถิงเอ๋อร์!” เสียงทุ้มลึกของจวินหย่วนโยวเปลี่ยนเป็นเสียงแหบพร่า น่าดึงดูด
เสียงที่ไพเราะนี้ สามารถทำให้หูตั้งท้องได้อย่างง่ายดาย
“อะไร?”
“ข้าอยากจูบเจ้า” จวินหย่วนโยวพูดจบ โดยไม่ให้โอกาสนางได้ตอบ เขาก็ก้มศีรษะลงจูบหยุนถิงทันที
ริมฝีปากบางนุ่มของนางอบอวลไปด้วยกลิ่นสดชื่น เหมือนขนมอบแสนอร่อย ทำให้จวินหย่วนโยวยากที่จะหยุด
เขาไม่ได้ใช้กำลัง แต่ค่อยๆ จูบไล้ริมฝีปากของนางอย่างอ่อนโยน ราวกับกำลังชื่นชมงานศิลปะล้ำค่า ดูถนุถนอม
หยุนถิงถูกกอดอยู่ในอ้อมกอดของจวินหย่วนโยว รับรู้ถึงความอบอุ่นจากอ้อมกอดและจูบอันอ่อนโยนของเขา ร่างกายของนางว่างเปล่า สมองลืมสั่งการ ทำได้เพียงตอบสนอง
ภายในหอเย็นหยู่ที่ใหญ่โต จวินหย่วนโยวและหยุนถิงทั้งกอดและมอบจูบดูดดื่มต่อกัน ช่างโรแมนติกยิ่งนัก
ทางด้านหลิงเฟิง เมื่อซื่อจื่อและพระชายาถึงชั้นบนสุดของหอ เขาก็ถอยกลับอย่างรู้งาน แต่ระยะทางไม่ได้ไกลเกินไป
เมื่อเห็นว่าซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟยต้องแสดงความรักต่อกันอย่างแน่นอน หลิงเฟิงก็ชื่นชมที่ก้างขวางคออย่างเขาหนีได้เร็ว
………….
พระราชวังแคว้นเป่ยลี่
ฮ่องเต้เป่ยลี่ตักเตือนขันทีข้างกายเป็นพิเศษ ให้เขาไปตักเตือนที่ครัวว่างานต้อนรับแขกห้ามเกิดความผิดพลาด
แต่กลับไปได้ยินยามที่เข้ามาพูดกันว่า พ่อลูกซ่างกวนเจิ้นกำลังทำให้เขาเป็นเหมือนคนโง่ อยากจะเลื่อนเวลาออกไปเพื่อให้ยาเบื่อให้สลบแก่เขา ฮ่องเต้เป่ยจิ่วฉิงโกรธเกรี้ยวขึ้นมาทันที
“บัดซบ พ่อลูกคู่นี้บังอาจวางแผนให้ข้า” เป่ยจิ่วฉิงคำรามด้วยความโกรธ และมองไปที่องครักษ์ด้วยความฉงน “เหตุใดเจ้าถึงทราบเรื่องนี้”
“ทูลฝ่าบาท ไท่จื่อกังวลเรื่องความปลอดภัยของพระองค์ จึงทรงรับสั่งให้กระหม่อมคอยจับตาดูสองพ่อลูกนั้นเป็นพิเศษ” องครักษ์ตอบด้วยความเคารพ
“เจ้าไปได้!” เป่ยจิ่วฉิงนัยน์ตาสีดำฉายแววความคิดที่ยากจะดูออก
ไท่จื่อมีสายลับอยู่ในวังด้วย แต่เขากลับไม่เคยสังเกตเลย ถึงแม้เป่ยจิ่วฉิงจะโกรธการกระทำของไท่จื่อ แต่เขาก็โกรธมากกว่าเดิมกับแผนการของพ่อลูกซ่างกวนเจิ้น
“ในเมื่อพวกมันคิดไม่ซื่อ ก็อย่าหาว่าข้าไร้คุณธรรม” เป่ยจิ่วฉิงสั่งการกับขันทีข้างกาย และขันทีท่านนั้นก็ออกไปทันที
เพียงไม่นานก็ถึงเวลากลางคืน สวนหลวงของพระราชวังสว่างไสว สาวใช้และขันทีเดินไปมาส่งของ ทำให้ดูครึกครื้นมาก
สองพ่อลูกซ่างกวนเจิ้นตามขันทีไปที่สวนหลวง ฮ่องเต้ได้นั่งลงแล้ว ซ่างกวนเจิ้นและซ่างกวนหรูรีบทำความเคารพ
“ลุกขึ้นเถิด คืนนี้ ข้าสั่งให้คนเตรียมผลิตภัณฑ์พิเศษจากแคว้นเป่ยลี่โดยเฉพาะ พวกเจ้าลองชิม” ฮ่องเต้ตรัส
“ขอบพระทัยฝ่าบาท” ซ่างกวนเจิ้นและซ่างกวนหรูนั่งลง
บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหาร อาหารรสเลิศ ของหวาน เหล้ารสเลิศ และของอื่นๆอีกมากมาย ระหว่างทางที่ซ่างกวนเจิ้นและซ่างกวนหรูหนีมาแคว้นเป่ยลี่นั้น แม้นจะนำเงินมาด้วย แต่ระหว่างทางพวกเขาไม่ได้กินอะไรมากมายนัก
เมื่อเห็นอาหารรสเลิศมากมายขนาดนี้ ซ่างกวนเจิ้นก็กินบ้าง
ทว่าซ่างกวนหรูกลับไม่มีความอยากอาหาร ยังคงคิดถึงแต่เรื่องการเข้าวัง
“ฝ่าบาท ไม่ง่ายนักที่ซ่างกวนเฉิงเซี่ยงและคุณหนูหรูจะมาที่แคว้นเป่ยลี่ เหน็ดเหนื่อมาตลอดทาง ข้าอยากดื่มอวยพรแด่เขาแก้วหนึ่ง!” ซินผินกล่าว
“ข้าอนุญาตแล้ว!”
ซินผินลุกขึ้นยืน หยิบเหยือกเหล้าบนโต๊ะ เดินไปรินเหล้าให้ซ่างกวนเฉิงเซี่ยงด้วยตัวเอง “เชิญ ซ่างกวนเฉิงเซี่ยง!”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”
ซินผิน ยกดื่มจนหมดแล้ว จากนั้นเดินไปหาซ่างกวนหรู และรินให้นางอีกแก้ว
ซ่างกวนหรูลำบากใจเล็กน้อย “ขอประทานอภัยเหนียงเหนียง ข้าดื่มไม่เป็น”
“แค่เหล้าแก้วเดียวมิเป็นไร ตัวข้าและเจ้าเจอกันครั้งแรกแต่กลับรู้สึกสนิทเหมือนเป็นสหายเก่า ถ้าหากคุณหนูหรูไม่รังเกียจ ต่อไปก็ให้เรียกข้าว่าพี่สาว” ซินผินพูดด้วยรอยยิ้ม
พูดถึงขนาดนี้แล้ว หากซ่างกวนหรูตอบปฏิเสธไป ก็ดูเป็นการไม่เลือกที่รักมักที่ชัง
หากสามารถมีคนที่นับเป็นพี่สาวอยู่ในพระราชวังแคว้นเป่ยลี่แล้วล่ะก็ จะส่งผลดีต่อนางมากกว่าผลร้ายอย่างแน่นอน
ซ่างกวนหรูยกแก้วเหล้าขึ้น “ขอบพระทัยซินผินเหนียงเหนียงที่ไม่รังเกียจ ต่อไปก็ฝากเนื้อฝากตัวด้วยเพคะ”
“น้องสาวเกรงใจเกินไปแล้ว ต่อไปเราก็คือครอบครัวเดียวกัน” ซินผินกล่าว ยกแก้วขึ้นดื่มจนหมด
ซ่างกวนหรูที่เห็นเช่นนั้น ก็ดื่มเหล้าแก้วนั้นไปด้วย
ซินผินยกยิ้มเบาๆ ก่อน ก่อนจะหมุนกลับไปยังที่นั่งตัวเอง
การแสดงเพลงและการเต้นรำเริ่มต้นขึ้น สวนหลังบ้านขนาดใหญ่ก็มีครึกครื้น ชีวิตชีวาขึ้นมาก เป่ยจิ่วฉิงและซ่างกวนเจิ้นพูดคุยหัวเราะ บรรยากาศดูกลมเกลียว
หลังจากการแสดงร้องเพลงและเต้นรำจบลง สซินผินกล่าวว่า “ข้าได้ยินมาว่าน้องสาวหรูเต้นได้ดีมาก ไม่ทราบว่าวันนี้จะมีโอกาสได้เห็นหรือไม่?”
ซ่างกวนหรูรับตอบ “พี่สาวชมเกินไป ตัวข้านั้นเต้นเป็นเพียงงานอดิเรกเท่านั้น”
“หากเป็นเช่นนี้ เชิญคุณหนูหรูร่ายรำหนึ่งเพลง ให้ข้าได้เชยชมด้วยเถิด” ฮ่องเต้แคว้นเป่ยลี่กล่าว
“เพคะ !” ซ่างกวนหรูยืนขึ้นด้วยความเคารพ
ยังไงก็อยู่ในอาณาจักรของคนอื่น อย่างไรนางก็ต้องแสดงมัน อย่างที่ท่านพ่อของนางกล่าว ถ้าหากนางสามารถชนะใจฮ่องเต้ได้จริงๆ มันก็เป็นประโยชน์ต่อพวกเขา
ซ่างกวนหรูลงไปเปลี่ยนเป็นชุดเต้นรำสีแดง ผ้าโปร่งเบาบนใบหน้า ทำให้ผิวขาวของนางเหมือนครีมที่สามารถแตกได้โดยการเป่า เรียบเนียนเหมือนหยก
ชุดเต้นรำที่รัดรูปทำให้เห็นถึงรูปร่างที่โค้งเว้าของนาง ทำให้ฮ่องเต้ทอดพระเนตรไม่กะพริบ
เสียงพินดังขึ้น ซ่างกวนหรูเริ่มเต้นช้าๆ
นางร่ายรำเบาๆ สง่างาม แขนของนางอ่อนราวกับไม่มีกระดูก ค่อยๆ ร่ายรำด้วยท่าเต้นลีลาที่หลากหลาย
ราวกับนางฟ้าผีเสื้อ
สองพระเนตรของฮ่องเต้แคว้นเป่ยลี่จ้องมองไปที่ซ่างกวนหรู ไม่สามารถละสายตาไปได้เลย
ถึงแม้ว่าเขาจะมีหญิงงามมากมายนับไม่ถ้วนในวัง แต่เมื่อเทียบกับซ่างกวนหรูที่อยู่ตรงหน้าเขานั้น เป็นเพียงเมล็ดงาเม็ดเดียวที่อยู่บนขนมแป้งเท่านั้น ไม่สามารถเทียบได้เลย
ซ่างกวนหรูที่กำลังร่ายรำอยู่นั้น จู่ๆ ก็รู้สึกว่าร่างกายนางนั้นหมดเรี่ยวแรง และร้อนผ่าวไปทั้งตัว ราวกับอยู่ในเตาไฟ การแสดงที่กำลังจะแสดงถูกขัดจังหวะลงในทันที
นางทำได้แค่อดทนและร่ายรำต่อไป เพียงแค่ท่าการเคลื่อนที่กระโดด ซ่างกวนหรูที่ไม่มีเรี่ยวแรง ทำให้ร่างของนางล้มลงกองกับพื้น
ซ่างกวนหรูที่คิดว่าตัวเองกำลังจะล้มลงกับพื้น ทันใดนั้นก็มีใครบางคนเข้ามากอดนางไว้ พอหันศีรษะไปมอง กลับปลายเป็นฮ่องเต้แห่งแคว้นเป่ยลี่