จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 374 นางไม่คู่ควรทำมือของข้าสกปรก
เขารู้จักกับหยุนถิงมานานขนาดนี้ ย่อมรู้ดีถึงฝีมือเอารัดเอาเปรียบของหยุนถิง จู่ๆให้ผลประโยชน์โดยไม่คิดเงิน ยังสอนเทคนิคให้ ทำตัวดีขนาดนี้ทำให้คนรู้สึกสงสัยชีวิตจริงๆ
หยุนถิงหัวเราะแหะๆ “พอดีคิดได้ว่าทุกคนเป็นคนกันเอง ดังนั้นช่วงแรกเลยไม่ต้องให้พวกเจ้าเข้าร่วม แค่เอากำไรสามส่วนของทุกวันให้ข้าก็พอ”
“ข้ายินดี หากมันฝรั่งไม้หนึ่งขายได้ถึงสิบตำลึง ให้เจ้าสามตำลึง ข้ายังเหลือเจ็ดตำลึง เงินเบี้ยหนึ่งซื้อมันฝรั่งได้หลายอันนัก กำไรเพียบเลย” โม่หลานรีบตอบ
“นังหนูน่าตายนี่ เมื่อครู่ใครบอกว่าไม่สนใจกัน?” องค์ชายสี่ย้อนกลับต่อหน้าทุกคน
โม่หลานหัวเราะแหะๆ “ข้าคือไม่สนใจ แต่ถ้าหาเงินได้ข้าก็สามารถซื้ออาวุธเช่นดาบใหญ่ทวนยาวได้แล้ว ไม่ต้องคอยดูสีหน้าพี่ชายข้าแล้ว แค่คิดก็รู้สึกดีแล้ว”
คนอื่นย่อมยินดีอยู่แล้ว โอกาสหาเงินดีเช่นนี้ หยุนถิงจัดการทุกอย่างไว้หมดแล้ว พวกเขาแค่ส่งหนึ่งคนไป นี่เป็นเรื่องน่ายินดียิ่งนัก
ในเวลาเดียวกันทุกคนก็พากันทอดถอนใจ โชคดีที่วันนี้ตนมาแล้ว ไม่งั้นก็พลาดโอกาสในการหาเงินดีเช่นนี้ไปแล้ว
อาหารมื้อนี้กินกันอย่าสนุกสนาน พอกินอิ่มดื่มพอทุกคนก็กลับไป ฉินจิ้งอี๋กลับอยู่ต่อ
หยุนถิงเดินออกไปไกลมากแล้วถึงเอ่ยขึ้น “หากไม่ดูชาติกำเนิด คุณหนูฉินผู้นี้ช่างเหมาะสมกับจ้าวเคอจริงๆ”
“เจ้าอยากเป็นแม่สื่อให้พวกเขา?” โม่เหลิ่งเหยียนถาม
“หากพวกเขาสองคนชอบพอกัน ข้าต้องช่วยพวกเขาแน่” หยุนถิงพึ่งพูดจบก็เห็นว่ามุมหนึ่งไม่ไกลนัก สตรีผู้หนึ่งกำลังยืดคอยาวมองไปทางบ้านของจ้าวเคอ
“นางมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” หยุนถิงไม่คิดเลยว่าจูจูผู้นี้ยังไม่ตัดใจอีก
“เจ้ารู้จักนางรึ?” ซูชิงโยวถาม
“นางก็คือสตรีคนนั้นที่รังเกียจความทุกข์ยากจน และทอดทิ้งจ้าวเคอประกาศติดตามคุณชายหลิ่วต่อหน้าธารกำนัล ได้ยินว่า ประกาศออกวันนั้น นางไปก่อกวนที่ตระกูลจ้าว สุดท้ายโดนฉินจิ้งอี๋เปิดโปง บัดนี้มารออยู่ที่นี่ คาดว่าจะยังไม่ตัดใจ”
โม่เหลิ่งเหยียนมองจูจูที่อยู่ห่างไปไม่ไกลด้วยสีหน้าเย็นเยียบ “เรื่องนี้ยกให้ข้าจัดการเอง ข้ารับรองได้ว่านางจะไม่มาตอแยจ้าวเคออีกตลอดชาติ”
หยุนถิงชะงัก “ซวนอ๋อง ท่านคงจะไม่ฆ่านางหรอกนะ?”
“นางไม่คู่ควรที่จะทำมือข้าสกปรก!” โม่เหลิ่งเหยียนตอบอย่างองอาจ
หยุนถิงมองเขาที่ยืนข้างๆ สูงราวหนึ่งร้อยแปดสิบห้า ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาสง่า ออร่าแรงมาก องอาจเข้มงวด นี่มันสไตร์บอสเข้มในยุคปัจจุบันชัดๆ
“ซวนอ๋อง ท่านหล่อมาก!” หยุนถิงทนไม่ไหวเอ่ยชมออกมา
โม่เหลิ่งเหยียนยิ้มมุมปาก สบเข้ากับดวงตาสว่างใสกระจ่างคู่นั้นของหยุนถิงเข้า มองความมั่นใจและชื่นชมในดวงตานาง โม่เหลิ่งเหยียนรู้สึกดียิ่งนัก อารมณ์ดีมาก
“คำพูดเช่นนี้ ต่อไปพูดให้มากหน่อยละกัน”
“ฮะฮะ ไม่คิดว่าท่านจะหน้าหนาเช่นนี้นะ ซวนอ๋อง” หยุนถิงหัวเราะเบาๆออกมา
อันที่จริงข้าเป็นเพียงกับเจ้าผู้เดียว แน่นอนว่าคำพูดนี้โม่เหลิ่งเหยียนไม่ได้พูดออกมา เขาไม่อยากกดดันหยุนถิง ไม่อยากให้นางรู้สึกไม่ดี
หากเป็นไปมิได้ มิสู้รักษาสถานภาพสหายเช่นตอนนี้ บัดนี้ดีที่สุดแล้ว
ตนเป็นคนที่นางเชื่อใจมากที่สุดรองจากจวินหย่วนโยว เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
คนด้านหลังพากันมองอึ้งไปเลย โม่ฉือชิงสีหน้าตกตะลึง “นี่คือโม่เหลิ่งเหยียนที่ข้ารู้จักรึ เขายิ้มได้?”
“ข้าอยู่มาสิบกว่าปียังไม่เคยเห็นซวนอ๋องยิ้มเลยสักครั้ง วันนี้เห็นเขายิ้มตั้งหลายครั้ง” โม่หลานอดประหลาดใจไม่ได้
“เขาทำเช่นนี้ต่อหยุนถิงเท่านั้น” ซูชิงโยวเอ่ยขึ้น
“แต่หยุนถิงมีจวินหย่วนโยวอยู่แล้วนะ ไม่ใช่เขาสักหน่อย หาเรื่องจริงๆ”
“สามารถทำให้ซวนอ๋องชื่นชมได้ถึงเพียงนี้ ก็เป็นความสามารถของหยุนถิงเช่นกัน สตรีธรรมดาทำเช่นนี้มิได้ดอก”
ได้ยินคำวิจารณ์ของทุกคน หลีอ๋องโม่ฉือหานสีหน้าเย็นเยียบดุจน้ำแข็ง
ในฐานะบุรุษ เขาดูออกว่าโม่เหลิ่งเหยียนรู้สึกมิธรรมดาต่อหยุนถิง น่าตายนัก ขนาดปีศาจร้ายที่ฆ่าคนเป็นผักปลา หยุนถิงยังพูดคุยหยอกล้อด้วยได้ แต่ทำไมไม่ยอมดีกับตนหน่อย
โม่ฉือหานรู้สึกอึดอัดนัก ทั้งโกรธและรำคาญ เลยขึ้นรถม้าตนเองจากไป
โม่เหลิ่งเหยียนเห็นหยุนถิงขึ้นรถม้า มีหลงเอ้อร์และองครักษ์อารักขา ถึงยอมจากไป เขายังไม่ทันได้กลับเรือนตน ก็ได้รับสาสน์ลับจากหมิงจิ่วซาง
พอเห็นเนื้อหาในสาสน์ โม่เหลิ่งเหยียนสีหน้าดำทะมึน เย็นเยียบดุจน้ำแข็ง
ซ่างกวนหรูดันกลายเป็นสนมที่เป็นที่โปรดปรานของแคว้นเป่ยลี่ ซ่างกวนเจิ้นก็กลายเป็นเสนาบดี พวกเขาสองคนพ่อลูกคิดว่าแคว้นต้าเยียนจะทำอะไรกับพวกเขาไม่ได้แล้วรึ โม่เหลิ่งเหยียนพุ่งตรงไปพระราชวังทันที
ทางนี้ วันนี้หยุนถิงดีใจมาก เลยดื่มไปมากหน่อย พอขึ้นรถม้าก็นอนหลับพักผ่อนตลอด
“หยุนถิง ข้ามีเรื่องจะขอร้องเจ้าหน่อย!” ทันใดนั้น มีเสียงดังขึ้นที่ด้านนอกรถม้า ซูชิงโยวนั่นเอง
หยุนถิงรีบให้นางขึ้นมา “อะไรรึ?”
“การคัดเลือกพระสนมเข้าวังในอีกหนึ่งเดือนให้หลัง ข้าไม่อยากเข้าร่วม อยากขอให้เจ้าช่วยข้าคิดหาวิธีหน่อย เจ้าจะขอร้องฝ่าบาทให้ข้าได้หรือไม่?” ซูชิงโยวบอกเสียงเบาอย่างตื่นเต้น
หยุนถิงถึงพึ่งนึกขึ้นได้ว่า ปกติพอถึงเวลาคัดเลือกพระสนมเข้าวัง สตรีที่ถึงวัยเหมาะสมและยังไม่มีคู่ครองคู่หมั้นจะต้องเข้าร่วมการคัดเลือกพระสนมนี้ นอกจากตกรอบ ไม่เช่นนั้นจะบอกปัดด้วยเหตุผลอื่นไม่ได้เลย
“เจ้ามีสัญญาหมั้นหมายหรือมีคนในใจหรือไม่?” หยุนถิงถาม
ซูชิงโยวสีหน้าเขินอาย “ยังไม่มี”
“งั้นเหตุใดไม่อยากเข้าวัง?”
“ข้าอิจฉาเจ้ากับจวินซื่อจื่อที่รักใคร่ซึ่งกันและกัน ไม่อยากเข้าวังไปหึงหวงตบตีกับเหล่าสนมมากมายเพียงนั้น รอให้ฝ่าบาทโปรดปราน ต้องเล่นเล่ห์เพทุบายเพื่อบุรุษผู้หนึ่ง ทุเฝ้ารอคอยทุกวันให้เขามองข้าสักครั้ง
ข้าอยากหาสักคนที่รักข้าและข้าก็รักเขา ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ต่อให้ยากจนหน่อยก็มิเป็นไร ขอเพียงรักใคร่ต่อกันด้วยความจริงใจก็พอ ต่อไปมีลูกเสียหลายคน จะได้อยู่กันพร้อมหน้า” ซูชิงโยวตอบ
สายตาหยุนถิงมีแววชื่นชม “อาศัยความคิดนี้ของเจ้า ข้าก็ไม่มีทางยอมให้เจ้าเข้าวังดอก”
ซูชิงโยวซาบซึ้งใจนัก “หยุนถิง ขอบคุณมาก”
“เกรงใจข้าทำไมกัน พี่น้องกันทั้งนั้น ต่อไปมีอะไรที่ข้าช่วยได้ บอกข้ามาได้เลย” หยุนถิงตอบอย่างตรงไปตรงมา
“เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ความสุขทั้งชีวิตของข้าเลยนะ ขอบคุณมาก”
จวนซื่อจื่อ
พอเข้าจวนหยุนถิงก็สังเกตได้ว่าบรรยากาศในห้องดูผิดปกติ จากนั้นก็เห็นจวินหย่วนโยวกำลังฝึกไทเก๊กกับองครักษ์หลายคนในสวน
ปกติหมอนี่ฝึกยุทธ์อย่างอ่อนโยนมาก วันนี้ทำไมลงมือหนักกับองครักษ์หลายคนนั่นขัง เหล่าองครักษ์ล้มลงพื้นทั้งหมด เจ็บปวดจนกัดฟันกรอด
“ซื่อจื่อเป็นบ้าอะไรเนี่ย?” หยุนถิงกระซิบเสียงเบา
พอรั่วจิ่งเห็นซื่อจื่อเฟยกลับมา ก็เดินเข้ามาหาทันที “ซื่อจื่อเฟย ท่านต้องระวังหน่อยนะ ซื่อจื่อรู้เรื่องที่วันนี้ท่านไปร่วมงานขึ้นบ้านใหม่ที่จวนตระกูลจ้าว
ท่านไปก็ไปเถอะ แต่กลับไม่เรียกซื่อจื่อไปด้วย สุดท้ายซื่อจื่อได้ยินว่า ซวนอ๋อง หลีอ๋องก็ไป พอกลับมาก็หาคนมาซ้อมมือทันที ท่านสวดมนต์ให้ตนเองเถอะ ข้าน้อยหนีเอาชีวิตรอดก่อนล่ะ”
รั่วจิ่งพูดจบ ก็รีบวิ่งหนีไป แต่ไม่ได้ไปไหนไกล เพียงแต่แนบร่างติดกำแพงนอกสวนฟังความเคลื่อนไหว
วินาทีนี้รั่วจิ่งขอบคุณอาการเส้นชีพจรขาดของตนเองนัก ไม่งั้นหลิงเฟิงไม่อยู่ ซื่อจื่อต้องจับเขาไปซ้อมมือเป็นคนแรกแน่
หยุนถิงถึงบางอ้อ มองดูจวินหย่วนโยวที่มีสีหน้าเย็นชาอยู่ไม่ไกลนั่น เธอเดินตรงเข้าไปเลย “ซื่อจื่ออารมณ์ดีเช่นนี้ ข้าซ้อมเป็นเพื่อนท่านดีหรือไม่?”