จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 395 ตอนเด็กๆจวินหย่วนโยวเกือบจะถูกรับเลี้ยงเพื่อเป็นเจ้าสาวในอนาคต
จวินหย่วนโยวเจ็บหูจะตายอยู่แล้ว คิ้วอันหล่อเหลาขมวดขึ้นมาเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้รู้สึกไม่พอใจและโมโหเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกลับในใจกลับรู้สึกพึงพอใจอย่างยิ่ง
หยุนถิงเป็นเช่นนี้ ถึงจะแสดงว่าใส่ใจตัวเอง
“นางคือชูหลิง ถือเป็นพี่สาวของข้า เมื่อก่อนตอนที่ข้าเป็นเด็กเคยถูกคนตามไล่ฆ่า นางเป็นคนช่วยข้าเอาไว้ เราเคยพึ่งพาอาศัยกันเพื่อความอยู่รอดระยะหนึ่ง ตอนนี้นางรับผิดชอบข่าวกรองของแคว้นเป่ยลี่” จวินหย่วนโยวอธิบาย
หยุนถิงเลิกคิ้วมองมา “พี่สาว?”
“ใช่ เพียงเท่านั้นเอง” จวินหย่วนโยวกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม จากนั้นก็หันหน้ามองไปทางชูหลิง “เลิกกวนได้แล้ว!”
ชูหลิงยิ้มอย่างได้ใจ “คิดไม่ถึงจริงๆว่า ซื่อจื่อจะเป็นคนกลัวเมีย เมื่อก่อนข้ายังนึกว่าชาตินี้ท่านจะอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายไปจนแก่เฒ่าเสียอีก ทำหน้าบึ้งตึงราวกับภูเขาน้ำแข็งทั้งวัน นึกไม่ถึงว่าจะมีคนสามารถรับก้อนน้ำแข็งอย่างเจ้าได้ ของอย่างหนึ่งย่อมพิชิตของอีกอย่างได้จริงๆด้วย สวัสดีน้องสะใภ้ ข้าคือชูหลิง เมื่อครู่นี้ข้าแค่ล้อเล่นเท่านั้น”
มองดูโครงหน้าที่งดงามน่าทึ่งของหยุนถิง ใบหน้าเล็กที่มีขนาดเท่าฝ่ามือ คิ้วและดวงตาประณีตดุจภาพวาด โดยเฉพาะดวงตาคู่สวยที่เย็นชาและหยิ่งทะนงคู่นั้น แหลมคมดุจใบมีด ราวกับอยู่เหนือทุกสิ่ง และดูเหมือนจะสามารถมองทะลุเข้าไปในจิตใจของผู้คน คนทั้งคนแฝงไปด้วยความห่างเหินและไม่แยแส แค่เห็นก็รู้แล้วว่าเป็นคนที่เก่งกาจคนหนึ่ง
ข่าวลือเกี่ยวกับหยุนถิง ชูหลิงได้ยินมามากมายเหลือเกิน ความสามารถที่เอะอะก็สร้างความฮือฮาไปทั้งสี่แคว้นมีไม่กี่คนที่สามารถทำได้ และก็มีเพียงหญิงสาวที่มีพรสวรรค์อันน่าทึ่งเช่นนี้เท่านั้นถึงจะคู่ควรกับจวินหย่วนโยว
หยุนถิงถึงได้ปล่อยหูของจวินหย่วนโยวออก ยื่นมือไปคล้องแขนของจวินหย่วนโยวเอาไว้ หัวเราะแฮะๆ “ในเมื่อเป็นพี่สาว เช่นนั้นเมื่อครู่นี้ก็ขออภัยด้วย ข้านึกว่าซื่อจื่อของข้าเกี้ยวพาราสีผู้หญิงไปทั่วเสียอีก”
ชูหลิงยิ้มอย่างกระดากอาย “เป็นเพราะเมื่อครู่ข้าล้อเล่นเกินควรไป ข้าขอโทษเจ้าเอาไว้ตรงนี้แล้วกัน”
“ไม่ต้องขนาดนั้นหรอก”
“รีบเข้าไปข้างในเถอะ” ชูหลิงนำทางด้วยตัวเอง เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา สุดท้ายไปหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องแห่งหนึ่ง
หยุนถิงติดตามจวินหย่วนโยวเข้าไป ทั้งสามคนเข้าไปทางประตูห้องลับ เข้าไปในห้องลับที่อยู่ข้างใน
ในห้องลับมีคนมากมาย ล้วนกำลังยุ่งกับการขีดๆเขียนๆ ในยังถืออุปกรณ์แปลกๆประเภทต่างๆ เห็นชูหลิงและคนอื่นๆเข้ามา ทุกคนต่างก็ลุกขึ้นมาทำความเคารพ
“ทุกคนทำงานของตัวเองไปเถอะ ข้าก็แค่เข้ามาดูเท่านั้นแหละ!” จวินหย่วนโยวกล่าว
“ขอรับ” ทุกคนนั่งกลับไปยังตำแหน่งและเรียนรู้ต่อไป
หยุนถิงสังเกตเห็นว่าอุปกรณ์พวกนั้นเป็นเหมือนกับท่อ ส่วนงอส่วนโค้งต่างๆยื่นออกมาข้างนอก อดที่จะประหลาดใจไม่ได้ “หรือว่านี่ก็คือเครื่องช่วยฟังแปดเสียงในตำนาน?”
ดวงตาคู่สวยของชูหลิงมีความประหลาดใจเล็กน้อยแว๊บผ่านไป “ซื่อจื่อเฟยสายตาเฉียบแหลมจริงๆ นี่ก็คือเครื่องช่วยฟังแปดเสียง อุปกรณ์ที่อยู่ในมือของทุกคนที่นี่ล้วนเชื่อมต่อกับห้องส่วนตัวแต่ละห้อง เช่นนี้บรรดาแขกพูดอะไร พวกเขาก็สามารถจดบันทึกเอาไว้ จากนั้นก็ส่งออกไปทางช่องทางของจวนซื่อจื่อ
หยุนถิงคิดไม่ถึงว่า ร้านสุราเล็กๆแห่งหนึ่งถึงกับยังมีการพลิกแพลงเช่นนี้ ยิ่งประหลาดใจที่ซื่อจื่อพาตัวเองมาที่นี่
ที่นี่น่าจะเป็นข่าวกรองที่เป็นแกนหลักที่สุด เป็นสถานที่ที่เป็นความลับที่สุด ทันทีที่เปิดเผยออกมาผลที่ตามมาไม่สามารถจินตนาการได้เลย แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่ซื่อจื่อมีต่อตนเอง
“ครั้งนี้ซื่อจื่อมาด้วยตัวเอง คือมีคำสั่งสำคัญใช่ไหม” ชูหลิงเอ่ยปาก
ก่อนหน้านี้ทุกครั้งล้วนเป็นหลิงเฟิงหรือไม่ก็รั่วจิ่งมาส่งข่าว จวินหย่วนโยวไม่เคยแสดงตัวง่ายๆมาก่อน
“กระจายคำสั่งออกไปให้ร้านลับทั้งหมดของแคว้นเป่ยลี่กักตุนอาหารพื้นฐานจำพวกข้าวสารแป้งเมล็ดธัญพืชและน้ำมันจำนวนมาก รับซื้ออย่างเดียวไม่ขาย ทำให้แคว้นเป่ยลี่เกิดความวุ่นวายภายในห้าวัน!” จวินหย่วนโยวออกคำสั่ง
ชูหลิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “ซื่อจื่อนี่คือต้องการจะตัดเสบียงอาหารของแคว้นเป่ยลี่ เพราะเหตุใด?”
“เป่ยจิ่วฉิงก็คือคนร้ายที่ฆ่าพ่อแม่ข้า ครั้งนี้ข้าจะต้องสร้างความโกลาหลวุ่นวายไปทั่วทั้งแคว้นเป่ยลี่ให้ได้” ในน้ำเสียงของจวินหย่วนโยวยังแฝงไปด้วยความเกลียดชังและความมุ่งมั่น
ชูหลิงเข้าใจในทันที มองไปทางจวินหย่วนโยวด้วยความเอ็นดูสงสารเล็กน้อย “นึกไม่ถึงว่าจะเป็นฮ่องเต้แห่งแคว้นเป่ยลี่ เจ้าวางใจได้ ความแค้นของท่านก็คือความแค้นของข้า ข้าจะแจ้งข่าวออกไปเดี๋ยวนี้”
ออกไปจากประตูหลังของห้องลับ คือนกพิราบสื่อสารเต็มๆลาน
แม้แต่หยุนถิงก็ยังตกตะลึง นี่สามารถเปิดนิทรรศการนกพิราบได้เลยมั้ง เห็นเพียงชูหลิงพูดกับนกพิราบเหล่านั้นสองสามคำ นกพิราบเหล่านั้นก็บินพรวดออกไปหมด
“ซื่อจื่อ ไม่ต้องเขียนจดหมายหรือ?”
“ไม่ต้อง ชูหลิงฝึกฝนนกพิราบพวกนี้มาหลายปีแล้ว มีเพียงคนที่เข้าใจนกพิราบสื่อสารเท่านั้นที่สามารถฟังเข้าใจ ดังนั้นถึงแม้จะถูกคนทั่วไปดักจับก็ตรวจไม่พบอะไร” จวินหย่วนโยวอธิบาย
นาทีนี้ แม้แต่หยุนถิงก็ยังอดชูนิ้วโป้งให้กับชูหลิงไม่ได้ มิน่าข่าวกรองของสี่แคว้นถึงได้อยู่ในกำมือของซื่อจื่อ ไม่เคยมีข้อผิดพลาดมาก่อน ที่แท้ก็เป็นเพราะฝึกฝนนกพิราบที่เข้าใจภาษาคนนี่เอง
“พี่สาว ท่านช่างเก่งกาจจริงๆ” หยุนถิงกล่าวชื่นชม
ชูหลิงหัวเราะออกมาเบาๆ “ได้รับคำชมของซื่อจื่อเฟย ข้ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง”
“พี่สาวเกรงใจไปแล้ว”
ไปๆมาๆหยุนถิงกับชูหลิง ทั้งสองคนถึงกับเข้ากันได้อย่างยิ่ง คุยกันถูกคอมากสุดท้ายกลับดื่มเหล้าด้วยกัน ยังพูดว่าคนรู้ใจหายากอะไรทำนองนั้น จวินหย่วนโยวคิดไม่ถึงว่าสองคนนี้รู้สึกคุ้นเคยเหมือนรู้จักกันมานานแล้ว
เมื่อดื่มสุรากันแล้ว หยุนถิงกับชูหลิงถึงกับแทนกันเป็นพี่เป็นน้องแล้ว
“น้องสาว ข้าจะเล่าให้เจ้าฟัง ตอนเด็กๆจวินซื่อจื่อตลกมากเลย ตอนนั้นเขาถูกคนตามไล่ฆ่า ถูกข้าช่วยเอาไว้ แต่แล้วตอนที่เราสองคนหนีตายกัน มันไม่มีของกินไม่ใช่หรือ
เขาลงน้ำไปจับปลากลับมา แล้วก็มาย่างโดยตรง หลังจากที่ย่างสุกแล้วก็กัดกินไปหนึ่งคำยังบอกว่าทำไมปลานี้ถึงได้ขมขนาดนี้ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าปลามีดีขมที่ต้องกำจัดออกไป เจ้าว่าตลกไหม?” ชูหลิงบ่น
มุมปากของหยุนถิงกระตุกเล็กน้อย มองไปทางคนที่อยู่ด้านข้างโดยสัญชาตญาณ “ซื่อจื่อ ท่านเคยทำเรื่องที่น่าขายหน้าเช่นนี้ด้วยหรือ?”
สีหน้าของจวินหย่วนโยวกระอักกระอ่วน “ตอนนั้นยังเด็กเกินไป ไม่มีประสบการณ์”
“เด็กหรือ หกขวบแล้วนะ ตอนอายุหกขวบข้าทำเป็นหมดแล้ว ข้าจะบอกเจ้าไม่ง่ายกว่าที่จวินซื่อจื่อจะจับไก่ฟ้าได้มาสองตัว ตอนย่างไก่กลับลืมถอนขน
ยังมีอีกยังมีอีก ตอนเขากินถั่วปากอ้าถึงกับลืมคายเปลือก ตอนเผามันเทศกลับเผาจนกลายเป็นขี้เถ้า กินไม่ได้แล้ว
มีครั้งหนึ่งตอนเราวิ่งหนี เขายังสวมชุดผู้หญิง ตอนนั้นชายชราคนหนึ่งถูกใจเขาเข้า จะซื้อตัวกลับไปเพื่อเอาไปเลี้ยงเป็นเจ้าสาวในอนาคต——” ชูหลิงดื่มอย่างมีความสุข ปากก็ไม่มีหูรูดเลย
หยุนถิงเองก็ฟังด้วยความสนใจเช่นกัน คิดไม่ถึงว่าซื่อจื่อผู้ซึ่งเย็นชากระหายเลือด และยืนด้วยลำแข้งของตัวเองมาตลอดในอดีตยังเคยมีเรื่องน่าขายหน้าที่น่าสนใจมากมายขนาดนี้
หยุนถิงกับชูหลิงพูดคุยกันอย่างมีความสุข แต่ใบหน้าของจวินหย่วนโยวกลับดำมืดราวกับก้นหม้อ มือที่จับถ้วยสุรายังอดที่จะใช้แรงมากขึ้นไม่ได้
“ชูหลิง พอได้แล้ว!”
ในน้ำเสียงมีการตักเตือนและไม่สบอารมณ์เพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย
นังหนูคนนี้รนหาที่ตายหรือ ถึงกับพูดเรื่องน่าอายมากมายของตัวเองต่อหน้าหยุนถิง ทีนี้เขาอายมากแล้วจริงๆ
“อย่าโกรธไปเลย ข้าเห็นว่าน้องสะใภ้ดีใจไม่ใช่หรือ หลุดปากพูดไปอย่างปากไม่มีหูรูด ไม่พูดแล้ว หากข้ายังพูดต่ออีกซื่อจื่อคงจะโยนข้าไปตอนเหนือให้ได้แน่ น้องสะใภ้ครั้งหน้าเราสองคนหาที่แอบคุยกัน” ชูหลิงกล่าวพร้อมหัวเราะแฮะๆ
“เรื่องนี้สามารถทำได้” หยุนถิงเห็นด้วยอย่างยิ่ง
จู่ๆจวินหย่วนโยวก็รู้สึกเสียใจภายหลังที่พาหยุนถิงมา ผู้หญิงสองคนนี้ดื่มกันไปอีกเล็กน้อย ก่อนจะจากไปหยุนถิงยืนไม่มั่นคงแล้วด้วยซ้ำ
จวินหย่วนโยวอุ้มหยุนถิงขึ้นไปบนรถม้า กำลังจะจากไป เงาร่างหนึ่งก็ปรากฏอยู่ตรงหน้ารถม้า “จวินซื่อจื่อ ซื่อจื่อเฟย ซวนอ๋องขอเชิญ!”
คนที่มา คือองครักษ์ส่วนตัวของซวนอ๋อง