จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 400 เสด็จพี่ นางคือท่อนไม้ที่ไม่รู้อะไรเลย
แคว้นต้าเยียน เรือนนอกเมืองหลวง
วันแรกของเทศกาลเก็บเกี่ยวถูกจัดขึ้นมาอย่างคึกคัก หนึ่งวันเสร็จสิ้นลงคนที่มาเก็บผลผลิตก็พากันกลับไปแล้ว เรือนนอกเมืองและรถเข็นแต่ละบ้านล้วนทำกำไรได้มากมาย
องค์ชายสี่ถือกล่องไม้ขนาดใหญ่เห่ออย่างได้ใจ “คิดไม่ถึงจริงๆว่า รายได้ของวันนี้ก็มีหลายหมื่นตำลึงแล้ว เทียบได้กับหอชุนเฟิงเลยนะเนี่ย”
“ดูท่าทางอวดดีของท่านสิ ระวังระหว่างทางกลับไปจะถูกปล้นนะ!” โม่หลานกล่าวอย่างดูหมิ่น
“นังเด็กบ้า ข้าว่าเจ้าอิจฉาตาร้อนมากกว่ามั้ง บอกมาสิว่าวันนี้เจ้าทำกำไรได้เท่าไหร่?” โม่ฉือชิงถาม
“น้อยกว่าของท่าน แต่ก็มากกว่าที่ข้าคาดการณ์เอาไว้ เพียงพอให้ข้าซื้อกระบี่ชั้นดีเล่มหนึ่งแล้ว” โม่หลานกล่าวอย่างได้ใจ
“ไม่เอาไหนจริงๆ แค่นี้ก็พอใจแล้ว นังเด็กบ้าหากเจ้าประจบข้าตอนนี้ ข้ากินเนื้อจะให้เจ้าดื่มน้ำซุป”
“ชิ ข้าไม่สนใจดื่มน้ำซุปของท่านหรอก”
“ไม่รู้จักแยกแยะดีชั่ว ต่อไปเจ้าจะต้องร้องไห้มาอ้อนวอนข้า!” โม่ฉือชิงกล่าวอย่างหยิ่งทะนง
“เหอะๆ!”
ทางด้านนี้นางจ้าวกับหยุนหลิงเห็นจำนวนเงินที่อยู่ในสมุดบัญชี ไม่มีเวลาสนใจคนอื่นๆแล้ว สองแม่ลูกตื่นเต้นอย่างมาก
“หลิงเอ๋อร์ แค่วันหนึ่งก็มีเงินเข้าบัญชีสองพันกว่าตำลึงแล้ว เงินมากมายขนาดนี้ แม่เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก โชคดีที่พี่สาวของเจ้าให้โอกาสดีๆในการหาเงินเช่นนี้แก่เรา” นางจ้าวตื่นเต้นอย่างยิ่ง
หยุนหลิงก็ตกตะลึงไปเช่นกัน “ใช่แล้วท่านแม่ นี่เพิ่งจะวันเดียวเท่านั้นเอง”
“มิน่าถึงว่ากันว่าพี่ใหญ่ของเจ้าคืออัจฉริยะทางการค้า ต่อไปเราจะต้องอยู่ร่วมกันกับพี่ใหญ่ของเจ้าให้ดี พี่ใหญ่ของเจ้าก็คือเทพแห่งความมั่งคั่งของเรา” นางจ้าวกล่าวกำชับ
“เข้าใจแล้วท่านแม่” หยุนหลิงกล่าวอย่างไม่เต็มใจ
ถึงแม้นางจะเกลียดหยุนถิงแทบตาย แต่ต้องยอมรับและนับถือในความสามารถทางการค้าของนาง เช่นนี้ก็ดีเหมือนกันรอให้เก็บเงินได้มากพอแล้วค่อยแก้แค้นหยุนถิง
โม่ฉือหานก็อยู่ทั้งวันไม่ได้กลับไป ถึงแม้ใบหน้าของเขาจะเต็มไปด้วยความเย็นชา แต่รายได้ของวันนี้ก็มีห้าหกพันตำลึงเช่นกัน
อย่างไรเสียหลีอ๋องก็เป็นน้องชายของฝ่าบาทองค์ปัจจุบัน ได้รับความสำคัญอย่างมาก คนมากมายอยากจะประจบประแจงยังไม่มีโอกาส ตอนนี้จวนหลีอ๋องขายอาหาร ทุกคนย่อมแย่งกันซื้ออยู่แล้ว
โม่ฉือหานมองดูสมุดบัญชีก็ตกตะลึงไปเช่นกัน สมกับที่เป็นหยุนถิง นาทีนี้ในที่สุดโม่ฉือหานก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดเจ้าสี่ถึงได้ปล่อยวางฐานะและเกียรติก็จะร่วมมือกับหยุนถิงให้ได้
หยุนถิง ทำให้เขาเปลี่ยนแปลงมุมมองจริงๆ หากตัวเองไม่ได้ปฏิบัติต่อนางเช่นนั้น บางทีตอนนี้จวนหลีอ๋องก็ร่ำรวยมหาศาลแล้ว
ทันทีที่นึกถึงนางกับจวินหย่วนโยว โม่ฉือหานก็เสียใจในสิ่งที่ทำลงไปในตอนนั้น แต่เขาก็รู้ว่าเขากับหยุนถิงเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว สั่งให้คนไปสร้างรถเข็นเพิ่มอีกสิบคันทันที การค้าที่ทำกำไรเช่นนี้ เขาย่อมต้องคว้าโอกาสเอาไว้อยู่แล้ว
ข่าวการจัดงานเทศกาลเก็บเกี่ยวผ่านไปอย่างราบรื่นถูกส่งไปถึงหูของฮ่องเต้ ฟังการรายงานของสาย ฮ่องเต้ยินดีอย่างยิ่ง ออกคำสั่งให้นำแนวทางการดำเนินการของการเก็บผลผลิตไปยังทั่วทั้งแคว้นต้าเยียน
เทศกาลเก็บเกี่ยวทุกครัวเรือนมีรายได้ ล้วนให้คนเตรียมเอาไว้มากๆ ทั่วทั้งด้านนอกของเรือนนอกเมืองเสียงผู้คนจอแจ เดินขวักไขว่ไม่ขาดสาย ครึกครื้นอย่างมาก
พริบตาเดียวก็ถึงวันคัดเลือกหญิงงามเข้าวังแล้ว
ตอนเช้าตรู่ โม่หลานแต่งกายเรียบร้อยนั่งรถม้าของตัวเองเข้าไปในพระราชวัง
เพียงแต่ว่านางรอไปนานมาก เห็นผู้หญิงคนอื่นๆล้วนเข้ามาแล้ว ยังไม่เห็นซูชิงโยวกับฉินจิ้งอี๋
“ทำไมสองคนนี้ยังไม่มาอีก คงจะไม่ได้นอนตื่นสายใช่ไหม ไม่น่านี่นา” โม่หลานบ่นพึมพำ
รถม้าขององค์ชายสี่หยุดแล้ว โม่ฉือชิงเดินลงมา เห็นโม่หลานมองซ้ายมองขวาก็วิ่งเข้าไปทันที “ไม่ต้องรอแล้ว ซูชิงโยวกับฉินจิ้งอี๋ไม่มาหรอก”
โม่หลานกลอกตามองเขาครู่หนึ่ง “ท่านรู้ได้อย่างไร?”
“เจ้าไม่รู้หรือว่า หยุนถิงช่วยขอราชโองการให้พวกนาง ฝ่าบาทรับปากไม่ให้พวกนางสองคนเข้าวังแล้ว” โม่ฉือชิงกล่าวตอบ
“อะไรนะ สองคนที่ไม่มีมโนธรรมนี่ถึงกับไปขอร้องหยุนถิง แต่กลับไม่บอกข้า น่าชิงชังยิ่งนัก สองคนที่ใช้ดาบพันเล่มฟันก็ไม่หายแค้น!” โม่หลานก่นด่า
“ดังนั้นถึงได้บอกว่าเจ้าเป็นคนซื่อบื้อ เข้าวังแล้วเจ้าพยายามแสวงหาความสุขด้วยตัวเองเถอะ อย่างเจ้าเกรงว่าคงไม่ถึงเดือนก็คนอื่นกลั่นแกล้งจนตายแล้ว” โม่ฉือชิงกล่าวอย่างเย็นชา
“ไม่ต้องให้ท่านมาเป็นกังวล” โม่หลานเดินเข้าไปอย่างกระฟัดกระเฟียด
เดิมทีนางก็ไม่อยากเข้าวังอยู่แล้ว หากไม่ใช่ว่าฝ่าบาทมีคำสั่งให้หญิงสาวที่อายุถึงเกณฑ์ทุกคนล้วนต้องเข้าร่วมการคัดเลือก นางไม่อยากจะมาหรอก เดิมทียังคิดเอาไว้ว่ามีซูชิงโยวกับฉินจิ้งอี๋เป็นเพื่อน ตอนนี้ดูเหมือนว่านางคงต้องต่อสู้ตามลำพังแล้ว
อุทยานที่กว้างใหญ่ เต็มไปด้วยหญิงสาวที่โตเต็มวัย ทุกคนล้วนแต่งตัวกันอย่างตั้งอกตั้งใจ พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อดึงดูดของฝ่าบาทและได้อยู่ต่อ
โม่หลานกลับไม่สนใจ มองสำรวจบริเวณโดยรอบครู่หนึ่งไม่มีที่ที่สามารถนั่งได้ นางไปนั่งลงด้านข้างแปลงดอกไม้มันสักหน่อย และไขว่ห้างขึ้นมา ท่าทางหัวมุงกุท้ายมังกรทำให้หญิงสาวคนอื่นๆรังเกียจอย่างยิ่ง
หญิงงามกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าขึ้นไปเสร็จก็ลงมา คนที่ได้อยู่ต่อยินดีอย่างยิ่ง คนที่ถูกคัดออกท้อแท้ผิดหวัง ไม่ช้าก็ถึงตาโม่หลาน
โม่หลานถึงได้ลากชุดกระโปรงที่หนักหน่วงเดินเข้าไป นางคือคนสุดท้าย
“คุณหนูโม่เย็บปักถักร้อยเป็นหรือไม่?” กงกงที่อยู่ด้านข้างถามขึ้นมา
“ไม่เป็น” โม่หลานตอบ
ฮ่องเต้ที่อยู่บนที่นั่งสูงเลิกคิ้วอันหล่อเหลาขึ้นมาเล็กน้อย หลิ่วเฟยกลับมีสีหน้าสงบนิ่ง ไม่ได้พูดอะไร
“เช่นนั้นคุณหนูโม่แต่งบทกลอนบทกวีเป็นหรือไม่?” กงกงถาม
“ไม่เป็น”
“กู่ฉินหมากล้อมลายสือศิลป์และจิตรกรรมล่ะ?”
“ไม่เป็น!”
กงกงที่อยู่ด้านข้างยังอดที่จะมีสีหน้ากระอักกระอ่วนไม่ได้ สอบถามหญิงสาวมามากมายขนาดนี้แล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เจอคนที่ไม่มีความยำเกรงอะไรทั้งนั้นขนาดนี้ คุณหนูโม่คนนี้ช่างเป็นคนแปลกจริงๆ
ไม่เป็นอะไรสักอย่าง แล้วยังจะมาเข้าร่วมการคัดเลือกอะไรกันอีก
“เสด็จพี่ นางคือท่อนไม้ที่ไม่รู้อะไรเลย ไม่มีอะไรดีสักอย่าง หากพระองค์ให้นางเข้าวัง เกรงว่าทั่วทั้งวังหลังคงไม่ได้สงบสุขแน่!” โม่ฉือชิงเบะปากกล่าวออกมา
โม่หลานจ้องมองมาด้วยความโกรธ “ท่านต่างหากที่เป็นท่อนไม้ที่ไม่รู้อะไรเลย ใครบอกว่าข้าไม่มีอะไรดีสักอย่าง ข้าตีรันฟันแทงเป็น ความฝันของข้าก็คือการออกไปสู้รบในสนามรบ ปราบกบฏเพื่อฝ่าบาทเหมือนกับพี่ใหญ่ของข้า!”
ขณะที่โม่หลานกล่าวไป ก็ร่ายรำวิชามวยขึ้นมาทันที
เห็นหญิงสาวที่อ่อนโยนเพียบพร้อมไปด้วยศีลธรรมอันดีงามจนชิน จู่ๆก็มีหญิงสาวที่กล้าหาญตรงไปตรงมาอย่างโม่หลานโผล่มา ฮ่องเต้ที่เดิมทีรู้สึกเบื่อหน่ายจู่ๆก็เกิดความสนใจขึ้นมา
จนกระทั่งโม่หลานรำมวยจบ ฮ่องเต้พอพระทัยอย่างยิ่ง “พยัคฆ์ย่อมไม่ออกลูกเป็นสุนัขจริงๆ ไม่เลว อาศัยการรำมวยชุดนี้โม่หลานอยู่ต่อ!”
ขันทียื่นถาดเข้ามาทันที ข้างบนมีดอกไม้วางอยู่หนึ่งดอก
โม่หลานชะงักงันไปทันที จากนั้นใบหน้าก็เต็มไปด้วยความโศกเศร้า เดิมทีนางคิดอยากจะให้ฝ่าบาทรู้สึกว่านางหยาบคายเหลือทน ไม่ให้นางเข้าวัง ทำไมถึงรู้สึกว่าตัวเองทำมันพังไปล่ะ
“คุณหนูโม่ ยังไม่ขอบพระทัยอีก” กงกงที่อยู่ด้านข้างกล่าวเตือนสติทันที
โม่หลานยิ้มได้น่าเกลียดยิ่งกว่าร้องไห้เสียอีก ถึงได้รับดอกไม้ดอกนั้นมาอย่างไม่เต็มใจ “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ประทานดอกไม้”
โม่ฉือชิงมองดูนางถือดอกไม้ดอกนั้นเอาไว้ ไม่รู้ว่าทำไม หน้าอกรู้สึกอึดอัด หดหู่ พูดไม่ถูกอธิบายไม่ได้
และหยุนถิงกับจวินหย่วนโยวที่อยู่ไกลถึงแคว้นเป่ยลี่ย่อมได้รับข่าวจากทางแคว้นต้าเยียนแล้วเช่นกัน จวินหย่วนโยวขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย “โม่หลานเข้าวังแล้ว เจ้าไม่เป็นกังวลสักนิดเลยหรือ?”
ตอนนั้นหยุนถิงเป็นตัวแทนขอร้องให้ซูชิงโยวกับฉินจิ้งอี๋ แต่กลับไม่ได้พูดขอร้องให้โม่หลานคนเดียว นางสนิทกับโม่หลานไม่ใช่หรือ
หยุนถิงยกมุมปากขึ้นมา “ตอนนั้นข้าเป็นตัวแทนขอร้องฝ่าบาท ชะตากรรมของซูชิงโยวกับฉินจิ้งอี๋แล้วก็ลูกสาวตระกูลหยุนก็เพียงพอแล้ว หากเพิ่มลูกสาวของแม่ทัพใหญ่อีกคนฝ่าบาทต้องคิดว่าข้าได้คืบจะเอาศอกอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นด้วยนิสัยของโม่หลาน ถึงแม้นางจะเข้าวังก็เป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่ได้นาน วางใจเถอะ ข้ารู้อยู่แก่ใจ”