จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 430 เจ้าดูใส่ใจเขามาก
“ขอบคุณมาก!” ชางหลันเย่ซาบซึ้งใจยิ่งนัก
หยุนถิงรีบตรวจอาการให้เขา แน่ใจว่าพิษในร่างชางหลันเย่หายหมดแล้วจริงๆ จากนั้นก็หยิบขวดนั้นขวดนี้มาทาใส่ตัวชางหลันเย่ แล้วถึงจะให้เจว๋เฟิงพาคนกลับไป
รอจนขันทีเอาอาหารมาส่งตอนเช้า พอเห็นชางหลันเย่ที่ล้มนอนกับพื้นด้วยสีหน้าซีดเผือด ขันทีน้อยตกใจยิ่งนัก
“เกิดเรื่องกับชางไท่จื่อแล้ว!”
เสียงร้องเอะอะตกใจไปทั่วทั้งวังหลวง
ฮ่องเต้เองก็ได้ยินข่าวเช่นกัน ตกใจมาก รีบเร่งรุดมาดูด้วยตัวเอง และยังส่งหมอหลวงมาดูอาการด้วย
ชางหลันเย่เป็นไท่จื่อของแคว้นชางเยว่ ตอนนี้เหลืออีกเดือนเดียวก็จะปล่อยเขากลับไปแล้ว ทำไมต้องมาเกิดเรื่องในเวลานี้ด้วย ไท่จื่อของแคว้นหนึ่งเกิดเรื่องขึ้น แคว้นชางเยว่ต้องไม่ยอมเลิกราแน่
พวกฮ่องเต้เร่งรีบร้อนมา สุดท้ายมาเห็นชางหลันเย่ที่ล้มนอนอยู่กับพื้น “ทำไมไม่หามคนขึ้นไปไว้บนเตียงล่ะ?”
“กราบทูลฝ่าบาท พวกเราไม่กล้าขยับ กลัวจะทำลายหลักฐานสถานที่ไป” ขันทีน้อยตอบอย่างกล้าๆกลัวๆ
“เจ้าทำถูกแล้ว หมอหลวงรีบไปตรวจอาการชางไท่จื่อเร็ว!”
“พ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงหลิวรีบเข้าไปช่วยจับชีพจรให้ชางหลันเย่ และจับชีพจรเส้นเลือดใหญ่ที่คอของเขา “กราบทูลฝ่าบาท ชีพจรและการหายใจของชางไท่จื่อไม่มีเลย เขาตายแล้ว!”
ฮ่องเต้ตะลึงทันที ถอยหลังไปสองก้าว ได้เหมยเฟยที่ตามหลังเขามาพยุงไว้ทัน “ฝ่าบาท เป็นอะไรหรือไม่เพคะ?”
ฮ่องเต้ถึงได้สติกลับมา “หมอหลวงหลิวท่านตรวจละเอียดแล้วจริงรึ?”
หมอหลวงหลิวถวายบังคมอย่างนอบน้อม “ฝ่าบาท กระหม่อมตรวจละเอียดแล้วจริงๆ ให้หมอหลวงท่านอื่นมาลองตรวจดูหรือไม่?”
“พวกท่านสองคนไปตรวจดูสิ!” ฮ่องเต้ออกคำสั่ง
หมอหลวงอีกสองคนรีบเข้าไปทันที แต่ผลก็เหมือนกัน คราวนี้ฮ่องเต้งงเป็นไก่ตาแตกเลย
“ฝ่าบาท ชางไท่จื่อสีหน้าซีดเผือด ริมฝีปากเขียวม่วง มุมปากมีเลือดไหลเป็นสีดำ เห็นได้ชัดว่าตายเพราะโดนพิษ!” หมอหลวงหลิวตอบอย่างนอบน้อม
“หมอหลวงหลิว ท่านแน่ใจว่าที่นอนอยู่นั่นคือชางหลันเย่รึ?” องค์ชายสี่เดินเข้ามาถาม
คำพูดเดียวทำฮ่องเต้ที่กำลังร้อนใจนิ่งสงบลงทันที รีบหันไปทางหน้าประตู “เจ้าสี่ มาได้อย่างไรกัน?”
“กราบทูลเสด็จพี่ กระหม่อมมารายงานเรื่องการค้า สุดท้ายกลับได้ยินว่าพระองค์มาที่เรือนของชางหลันเย่ ดังนั้นเลยเร่งรีบมา” องค์ชายสี่โม่ฉือชิงบอกพลางเดินเข้ามา
เขามองชางหลันเย่ จากนั้นใช้มือตบหน้าชางหลันเย่เล็กน้อย “หมอหลวงหลิว ท่านแน่ใจนะว่านี่ไม่ได้ปลอมแปลงใบหน้า ชางหลันเย่อยู่แคว้นต้าเยียนมาจะสิบปีแล้วไม่เคยเป็นอะไรเลย ทำไมจู่ๆก็มาตายเสียได้?”
หมอหลวงหลิวสีหน้าเคร่งเครียดเช่นกัน เมื่อครู่เขาเอาแต่สนใจตรวจร่างกายชางไท่จื่อ ไม่ได้ตรวจดูใบหน้าเขาเลย
“เจ้าสี่พูดถูก เร็ว หมอหลวงหลิวตรวจให้ละเอียดเลย ขันทีที่รับใช้ชางไท่จื่อล่ะ ไปตรวจดูด้วยเร็ว!” ฮ่องเต้ออกคำสั่ง
เหล่าหมอหลวงและขันทีต่างไปด้วยกันหมด ตรวจสอบอย่างละเอียดผลสุดท้ายที่ได้คือ “ฝ่าบาท นี่คือชางไท่จื่อ ไม่ได้ปลอมแปลงใบหน้า ใบหน้าของเขาไม่มีร่องรอยหน้ากากหนังมนุษย์หรือรอยต่อใดๆ”
“ฝ่าบาท ข้าน้อยสองคนรับผิดชอบดูแลชางไท่จื่อ รอยแผลและรอยปานที่แขนซ้ายและขาขวาของชางไท่จื่อและด้านหลังล้วนเหมือนกัน เป็นชางไท่จื่อแน่นอนไม่ผิด” ขันทีน้อยสองคนตอบอย่างนอบน้อม
คราวนี้ฝ่าบาทนิ่งสงบไม่ได้แล้ว “ใครกัน กล้ามาวางยาพิษชางหลันเย่ในพระราชวังของข้า โม่ฉีเฟิงสืบมาให้ข้า ไม่ว่าจะเป็นใคร ข้าจะไม่ละเว้นอย่างเด็ดขาด!”
“พ่ะย่ะค่ะ!” โม่ฉีเฟิงรับคำสั่งทันที
“ซูกงกง เจ้ารีบไปเรียกหยุนเฉิงเซี่ยง จ้าวซ่างซู และแม่ทัพใหญ่โม่เร็ว ให้พวกเขารีบเข้าวังมาเร็ว!” ฮ่องเต้พูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“พ่ะย่ะค่ะ!” ซูกงกงรีบไปจัดการทันที
“เรื่องของชางหลันเย่ข้าไม่อยากได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างอันใด หากใครกล้าลือออกไป ข้าจะไม่ละเว้นแน่!”
“พ่ะย่ะค่ะ” ทุกคนตกใจตัวสั่น
ในเรือนที่กว้างใหญ่ พอพวกฮ่องเต้จากไป เหลือเพียงขันทีน้อยสองคนเฝ้าไว้
โม่ฉีเฟิงอยู่สืบสวนด้วยตัวเอง และยังให้คนไปสืบเรื่องคนของห้องเครื่องที่รับผิดชอบอาหารที่ชางหลันเย่กินเมื่อคืน ทุกคนในพระราชวังห้ามมิให้ออกไปไหน ต้องรอตรวจสอบก่อน บรรยากาศทั่วทั้งพระราชวังตื่นเต้นตึงเครียดยิ่งนัก
“ใครกันที่ชั่วร้ายขนาดนี้ กล้าวางยาพิษในพระราชวังของข้า บัดนี้ซวนอ๋องกับหลีอ๋องล้วนไม่อยู่ คนรับหน้าที่ไม่มีสักคน” ฮ่องเต้บ่นอย่างเคียดแค้น
กล้ามาลงมือในวังของเขา อีกทั้งเขายังมิรู้เลยสักนิด น่าตายนัก!”
“ฝ่าบาท ทรงลืมแล้วรึ จวินซื่อจื่อและคุณหนูหยุนยังอยู่ในเมืองหลวง คุณหนูหยุนมักจะมีความคิดดีๆเสมอ บางทีนางอาจจะมีหนทางก็ได้” เหมยเฟยเสนอ
“จริงด้วย ข้าลืมหยุนถิงไปได้อย่างไร ใครก็ได้รีบไปเรียกหยุนถิงกับจวินหย่วนโยวเข้าวังเร็ว!” ฮ่องเต้บอกอย่างดีใจ
ก่อนหน้านี้ล้วนเป็นหยุนถิงที่ช่วยตนแก้สถานการณ์ ครั้งนี้หวังว่านางจะมีหนทางเช่นกัน
เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป หยุนถิงกับจวินหย่วนโยวก็เร่งรุดมา หยุนถิงถือถาดขนมของกินมาด้วย
“ฝ่าบาท เช้าขนาดนี้เรียกหม่อมฉันมาทำอะไรรึ หม่อมฉันยังไม่ทันตื่นก็โดนซูกงกงตามตัวมาแล้ว ฝ่าบาทไม่ถือสาที่หม่อมฉันกินอะไรสักหน่อยกระมัง?” หยุนถิงถวายบังคมบอก
ฮ่องเต้สีหน้าร้อนใจ “ชางหลันเย่ตายแล้ว เจ้ายังกินลงรึ?”
หยุนถิงอึ้ง ขนมในมือแทบหล่นลงพื้น โชคดีที่จวินหย่วนโยวที่ยืนข้างๆมือไวรับไว้ทัน “เจ้าใส่ใจเขามากรึ?”
น้ำเสียงเย็นเยียบนัก สีหน้าไม่พอใจ
หยุนถิงตกใจตัวสั่นเทา “ซื่อจื่อ ท่านอย่าเข้าใจข้าผิดนะ ระหว่างข้ากับชางหลันเย่ไม่มีอะไรเลย เมื่อก่อนข้ารู้สึกว่าขันทีนางกำนัลล้วนรังแกเขา เขาน่าสงสารนัก ดังนั้นเลยส่งอาหารให้เขา ดูเขาหน่อย บัดนี้จู่ๆเขาก็ตาย ฝ่าบาทนี่มันเรื่องอะไรกัน เขาทนการเหยียดหยามไม่ไหว คิดไม่ตกรึ”
ดวงตาดำขลับของฮ่องเต้จับจ้องไปที่ใบหน้าหยุนถิงเขม็ง “เจ้าไม่รู้จริงๆรึ?”
“ฝ่าบาทตรัสเช่นนี้หมายความว่าอย่างไน ทำไมข้าต้องรู้ด้วย? ต่อให้ซื่อจื่อของเราจะมีความสามารถมากแค่ไหน ก็ไม่กล้าวางสายลับไว้ในพระราชวังหรอก ยิ่งไปกว่านั้นซื่อจื่อไม่อยากให้ข้าติดต่อกับบุรุษอื่น ท่านคิดว่าต่อให้เขารู้ เขาจะบอกข้ารึ” หยุนถิงย้อนถาม
ฮ่องเต้เห็นสีหน้าหยุนถิงไม่พอใจ โกรธขึ้ง แต่ไม่มีวี่แววลนลานใดๆเลย อดสงสัยไม่ได้ว่าตนคิดมากไปหรือไม่
“ชางหลันเย่โดนคนวางยาพิษตาย เขามาเกิดเรื่องในพระราชวังแคว้นต้าเยียน ย่อมต้องเป็นชนวนสงครามระหว่างสองแคว้นแน่ หยุนถิงเจ้ามีหนทางหลีกหนีศึกครั้งนี้หรือไม่?” ฮ่องเต้ถามเปิดประเด็นเลย
หยุนถิงสีหน้าเคร่งเครียด “ฝ่าบาท เช่นนั้นก็ต้องหาฆาตกรแล้วล่ะ จับตัวฆาตกรส่งไปให้แคว้นชางเยว่เป็นวิธีที่ดีที่สุด ข้าขอไปดูเรือนของชางหลันเย่หน่อยได้หรือไม่?”
“ไปเถอะ ข้าสั่งโม่ฉีเฟิงไปสืบแล้ว เจ้ารับผิดชอบช่วยเหลือ หากต้องการสิ่งใดซูกงกงจะให้ความร่วมมือกับเจ้าเอง” ฮ่องเต้ออกคำสั่ง
“เพคะ”
หยุนถิงกับจวินหย่วนโยวพุ่งตรงไปที่เรือนของชางหลันเย่ ตอนผ่านห้องเครื่อง หยุนถิงให้ซูกงกงส่งอาหารเช้าไปให้
ซูกงกงรีบให้คนไปยกมาทันที ย่อมไม่กล้าล่าช้าอยู่แล้ว
จวินหย่วนโยวดูแลหยุนถิงกินอาหารเช้า ฟังโม่ฉีเฟิงสืบ หยุนถิงเหล่มองขันทีสองคนนั่น จากนั้นไปวนหนึ่งรอบในห้อง สุดท้ายหยุดลงที่ด้านหน้า”ซากศพ”ของชางหลันเย่
“ปกติชางไท่จื่อเคยชินสิ่งใดบ้าง?”