จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 451 ชาตินี้รู้สึกผิดต่อท่านมากที่สุด
“เรียนนายท่าน เมื่อครู่นี้เหนียงเหนียงเพิ่งถูกหยางเฟยทำให้โกรธจนกระอักเลือด หมดสติไปแล้ว” เยว่ลิ่งตอบไปตามความจริง
ชางหลันเย่รีบวิ่งไปที่เตียงทันที มองดูหมิงเฟยที่สีหน้าซีดขาว ริมฝีปากบางยังมีเลือดติดอยู่เล็กน้อย รู้สึกเจ็บปวดใจไม่สิ้นสุด
สมัยนั้นเพื่อไม่ให้หยางเฟยกับนางสนมคนอื่นๆลงมือทำร้ายเขา เสด็จแม่ถึงได้เสนอให้ส่งเขาไปเป็นตัวประกันที่แคว้นต้าเยียน เวลาผ่านไปไม่นานนัก ชางหลันเย่เคยเกลียดชังความไร้หัวใจและความเย็นชาของเสด็จแม่ ตอนนี้ระยะเวลาสิบปีแล้ว เขาได้พบกับเสด็จแม่อีกครั้ง
นางไม่ได้มีรูปลักษณ์อย่างในความทรงจำอีกแล้ว อายุดูมากขึ้น ตรงจอนผมมีผมหงอกเพิ่มขึ้นมาหลายเส้นแล้ว
อายุแค่ประมาณสี่สิบ ถึงกับมีผมหงอกแล้ว แสดงให้เห็นว่าในเวลาปกติเสด็จแม่เป็นทุกข์ และกังวลใจมากเพียงใด
ชางหลันเย่จับชีพจรให้หมิงเฟยทันที ดวงตามืดมนและเฉียบคม รีบหยิบยาที่หยุนถิงให้เขาเอาไว้ก่อนหน้านี้ออกมา และป้อนให้หมิงเฟยกินติดต่อกันสามเม็ดทันที
“เหตุใดร่างกายของเสด็จแม่อ่อนแอเช่นนี้ สมัยก่อนตอนที่ข้าจากไปร่างกายของเสด็จแม่ก็ไม่ได้มีความผิดปกติอะไร?” ชางหลันเย่สอบถามด้วยเสียงที่เย็นชา
“เรียนนายท่าน หลังจากที่ท่านจากไปแล้วเหนียงเหนียงร้องไห้น้ำตาแอบแก้มทุกวัน ตำหนิตัวเองและรู้สึกผิด บอกว่าผิดต่อท่าน ต่อมาเศร้าเสียใจเกินไปจนป่วยหนัก และต่อจากนั้นร่างกายก็อ่อนแอนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
หลายปีมานี้ เหนียงเหนียงกินยาต้มไปไม่น้อย แต่กลับไม่ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกลับยิ่งอ่อนแอลงเรื่อยๆ บ่าวก็เคยสงสัยว่ามีคนแอบทำอะไรในยาต้มของเหนียงเหนียงหรือเปล่า
ดังนั้นบ่าวจึงตั้งใจคงความสงสัยเอาไว้ เก็บยาต้มและกากยาที่เหนียงเหนียงเคยดื่มเอาไว้ จากนั้นก็หาข้ออ้างนำออกไปนอกวังให้หมอตรวจสอบ แต่บ่าวถามหมอสิบกว่าคนแล้ว พวกเขาล้วนไม่เคยตรวจพบความผิดปกติอะไรเลย
ต่อมาบ่าวก็เลยเก็บยาต้มที่เหนียงเหนียงดื่มเอาไว้เล็กน้อยเทลงไปในกระถางดอกไม้ แต่แล้วสุดท้ายก็พบว่ากระถางดอกไม้ต้นนั้นก็เหี่ยวเฉาตาย แสดงให้เห็นว่าคนที่วางยาพิษโหดเหี้ยมเพียงใด
หลังจากที่เหนียงเหนียงรู้แล้ว ก็กำชับไม่ให้บอกนายท่านเรื่องนี้โดยเฉพาะ นางบอกว่านายท่านพึ่งพาผู้อื่นในการดำรงชีวิตในแคว้นต้าเยียน ทุกข์ยากลำบากจนไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้แล้ว ไม่อยากให้ท่านเป็นห่วง ดังนั้นจึงปิดบังเอาไว้ตลอด
จนกระทั่งไม่นานก่อนหน้านี้ ร่างกายของเหนียงเหนียงยิ่งแย่ลง นางกลับห้ามไม่ให้บ่าวติดต่อกับท่าน บอกว่าไม่อยากให้นายท่านเป็นห่วง และวอกแวกเสียสมาธิ
เหนียงเหนียงบอกว่าชาตินี้นางรู้สึกผิดต่อนายท่านมากที่สุด สาเหตุที่ยังเก็บลมหายใจเอาไว้ ก็เพราะต้องการจะพบนายท่านเป็นครั้งสุดท้าย” ทุกถ้อยคำของเยว่ลิ่งกล่าวออกมาจากส่วนลึกของจิตใจ
นางถูกนายท่านเก็บกลับมาจากหลุมฝังศพหมู่ตั้งแต่สิบขวบ ก็ถูกนายท่านจัดให้อยู่ปรนนิบัติอยู่ข้างกายของเหนียงเหนียงและเมื่อปรนนิบัติก็กินเวลาไปสิบปี นี่เป็นครั้งที่สองที่เยว่ลิ่งได้พบกับนายท่าน
นายท่านที่อายุไล่เลี่ยกับนางในตอนนั้น ตอนนี้ดูสูงตระหง่านและเย็นชาเช่นนี้ โครงหน้าเฉียบคม สง่างามน่าเกรงขาม เยว่ลิ่งชื่นชมและเคารพนบนอบด้วยใจจริง
ชางหลันเย่สีหน้าเคร่งเครียด มือที่ห้อยอยู่ข้างกายกำหมัดเอาไว้แน่น เส้นเลือดตรงหน้าผากเต้นขึ้นรางๆ
เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า เสด็จแม่ถึงกับแบกรับเรื่องพวกนี้เอาไว้ตามลำพัง นางคิดถึงตัวเองเช่นนี้ อดทนต่อความอัปยศอดสูมาหลายปีขนาดนี้ ล้วนเป็นเพราะตัวเองสมควรตาย ไม่ได้ทำหน้าที่ในฐานะของลูกชาย ถึงขั้นโทษเสด็จแม่ผิดเพราะความเข้าใจผิดด้วยซ้ำ
ชางหลันเย่คุกเข่าลงไปบนพื้นทันที “เสด็จแม่ ทั้งหมดเป็นความผิดของลูกเอง ลูกกลับมาช้าไป นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปลูกจะให้ใครทำร้ายท่านอีก ใครก็ไม่ได้ทั้งนั้น!”
เสียงที่เย็นชาดุร้าย แฝงไปด้วยความเด็ดขาด ดังก้องไปทั่วทั้งตำหนักบรรทม เวลาเนิ่นนานก็ไม่จางหายไป
เยว่ลิ่งฟังด้วยความซาบซึ้ง “นายท่านหากท่านปรากฏตัวขึ้นมากะทันหัน เกรงว่าหยางเฟยจะไม่ปล่อยท่านไป”
“ไม่เป็นไร ข้าปลอมตัวเป็นขันทีก็พอ เช่นนี้ก็สามารถอยู่ข้างกายเสด็จแม่ และสามารถปกป้องเสด็จแม่ด้วย” ชางหลันเย่กล่าวตอบ
“ลำบากนายท่านแล้ว” เยว่ลิ่งกล่าวด้วยความเอ็นดูสงสาร
“ลำบากเสด็จแม่ต่างหาก”
“เย่เอ๋อร์ เย่เอ๋อร์ของข้า——” หมิงเฟยที่หมดสติจู่ๆก็ละเมอพูดออกมา
ชางหลันเย่ได้ยินเสียงเรียกที่คุ้นเคยนั่น หัวใจสั่นสะท้านขึ้นมา และวิ่งเข้าไปจับมือของหมิงเฟยทันที “เสด็จแม่ข้าอยู่นี่แล้ว ข้าก็คือเย่เอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว ข้ายังไม่ตาย ข้าไม่เป็นไร ท่านวางใจเถอะ ข้าสบายดี”
หมิงเฟยที่หมดสติดูเหมือนจะได้ยินเสียงของชางหลันเย่ ลืมตาขึ้นมาเล็กน้อย ดูเหมือนจะมองเห็นคนนั่งอยู่ตรงหน้า เพียงแต่ว่าเงาร่างของคนคนนั้นเลือนรางเล็กน้อย หมิงเฟยมองเห็นไม่ชัดเจน
“เย่เอ๋อร์ เจ้าจริงๆหรือ แม่มีโอกาสได้พบเจ้าอีกจริงหรือ หลายปีมานี้เจ้าได้รับความลำบากแล้ว แม่จำเป็นต้องทำจริงๆ หวังว่าเจ้าจะไม่ถือโทษโกรธแม่——” ขณะที่หมิงเฟยพูดไป น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตา
ชางหลันเย่ฟังแล้วก็ยิ่งเอ็นดูสงสารมากขึ้น ยื่นมือไปเช็ดน้ำตาจากมุมตาของหมิงเฟย “ลูกรู้ เข้าใจความหวังดีที่จริงใจของเสด็จแม่ หลายปีมานี้เสด็จแม่ลำบากแล้ว”
“ไม่ลำบาก เจ้าต่างหากที่ลำบาก——”
ภายใต้การปลอบโยนของชางหลันเย่ หมิงเฟยที่สะลึมสะลือกล่าวคำพูดออกมาเล็กน้อยขณะครึ่งหลับครึ่งตื่น จากนั้นก็ผล็อยหลับไปอีกครั้ง
“หมอหลวงขอเข้าพบ!” เสียงของขันทีน้อยดังมาจากหน้าประตู
มือของชางหลันเย่ที่จับมือของหมิงเฟยกระชับแน่น “อย่าให้ใครรู้ว่าข้าเคยมา” จากนั้นก็กระโดดหน้าต่างจากไป
“เจ้าค่ะ!”
หมอหลวงมาตรวจชีพจรให้กับหมิงเฟยตามปกติ จากนั้นก็ตกตะลึงอย่างยิ่ง และจับต่อไปอีกหลายครั้ง ตอนที่จากไปยังกล่าวอยู่ตลอดว่าน่าเหลือเชื่อจริงๆ
เยว่ลิ่งก็ไม่ได้ถามอะไรมาก ดูแลหมิงเฟยต่อไป
…………….
ทางด้านนี้ จวินหย่วนโยวนำองครักษ์เงามังกรทั้งหมด เร่งเดินทางทั้งวันทั้งคืน ในที่สุดก็ถึงหอเทพเซียน
หลายวันมานี้ จวินหย่วนโยวและคนอื่นๆล้วนพักผ่อนอยู่ในป่า จากนั้นทุกคนก็เห็นซื่อจื่อถือจดหมายที่ซื่อจื่อเฟยใช้นกพิราบสื่อสารส่งมาให้ ยิ้มแหยๆและเหม่อลอย
“ซื่อจื่อของเราโง่ไปแล้วใช่ไหม ถึงกับยิ้มแหยๆให้กับจดหมายพวกนั้น?” หลงซื่อถามด้วยความงุนงง
“เจ้าโง่ ซื่อจื่อคิดถึงซื่อจื่อเฟยต่างหาก” หลงซานกลอกตามองเขาครู่หนึ่ง
จากนั้นทุกคนก็เห็นซื่อจื่อเอากระดาษพู่กันออกมาเขียนจดหมาย ฉบับแล้วฉบับเล่า มีจดหมายเป็นสิบๆฉบับ บรรดาองครักษ์เงามังกรพากันทอดถอนใจว่าซื่อจื่อนี่คือเขียนจดหมายที่ไหน มันคือการถล่มซื่อจื่อเฟยชัดๆ
ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว จวินหย่วนโยวนอนพักผ่อนอยู่ในป่า ไม่รู้ว่าตอนนี้ถิงเอ๋อร์กำลังทำอะไรอยู่ กินข้าวหรือยัง นอนหลับหรือยัง คิดถึงตัวเองบ้างหรือเปล่า
จวินหย่วนโยวไม่ได้ให้องครักษ์เงามังกรบุกโจมตีด้วยกำลัง แต่ให้คนจับตาดูความเคลื่อนไหวของหอเทพเซียนจากรอบทิศทาง และยิ่งส่งคนไม่น้อยแฝงตัวเข้าไปในหอเทพเซียน ก็เพื่อตามหาหมอยมบาล
ประตูใหญ่ของหอเทพเซียนที่อยู่ไม่ไกลออกไปเปิดออก ผู้ชายที่สวมชุดขาวคนหนึ่งเดินออกมาจากด้านใน ถือกล่องอาหารไว้ในมือ ท่าทางรีบร้อน มุ่งหน้าไปทางหลังเขา
องครักษ์เงามังกรที่รับผิดชอบจับตามองหอเทพเซียนรีบกลับมารายงานทันที จวินหย่วนโยวนำกำลังคนตามไปตรวจสอบทันที และเห็นคนผู้นั้นไปที่ถ้ำแห่งหนึ่งที่อยู่หลังเขาจริงๆ
ทางเข้าถ้ำนั่นถูกปกคลุมด้วยวัชพืชหนาทึบ แล้วก็มีกลไกกับดัก ดังนั้นจึงบรรดาองครักษ์เงามังกรตรวจสอบดูหลายครั้งแต่ก็ไม่พบอะไร
จวินหย่วนโยวส่งสัญญาณมือให้กับหลงยี คนผู้นั้นเปิดปากถ้ำออกกำลังจะเข้าไป หลงยีกระโดดตัวพุ่งเข้าไปราวกับสายฟ้าฟาด ตีคนผู้นั้นจนหมดสติในหนึ่งฝ่ามือ จวินหย่วนโยวรีบวิ่งเข้าไปข้างในทันที
บรรดาองครักษ์เงามังกรตามเข้าไปทันที ห้องลับที่มืดมิดส่งกลิ่นเหม็นเน่า ทำให้คนรู้สึกคลื่นไส้อาเจียน
จวินหย่วนโยวและคนอื่นๆเดินผ่านถนนหินที่สูงชันช่วงหนึ่ง ในตอนที่เห็นคนที่ถูกขังอยู่ข้างในกรงเหล่านั้น แม้จะเป็นเขาก็ตกตะลึงไปเช่นกัน
ไหนเลยจะยังใช่มนุษย์อยู่ นี่มันเหมือนสัตว์เดรัจฉานชัดๆ พวกเขาบางคนแขนขาดขาแขด บางคนถูกมัดมือมัดเท้า บางคนร่างกายเป็นแผลเน่าเปื่อยเป็นหนองขึ้นราและเน่าเสีย ยังมีคนที่มีรูปลักษณ์เหมือนเด็กสองสามคน ถึงกับถูกใส่เอาไว้ในไหที่สูงไม่ถึงหนึ่งเมตร แค่เห็นก็รู้ว่าถูกตัดมือและเท้าทำเป็นมนุษย์สุกร