จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 467 ข้าจะทำให้เจ้าได้สมหวัง
“ไม่ต้อง แค่เป็นกังวลจนกระวนกระวายเท่านั้นเอง” หยุนถิงพูดขึ้นมาอย่างเรียบเฉย
ถึงแม้นางจ้าวเคยวางแผนทำร้ายคนเอง แต่ครั้งนี้นางไม่มีส่วนร่วม หยุนถิงปล่อยนางไปก่อน
“เพคะ”
“คุณหนู ซื่อจื่อเขียนจดหมายมา” เยว่เอ๋อร์อุ้มนกพิราบส่งสาส์นตัวหนึ่งวิ่งมาจากด้านนอกอย่างมีความสุข
หยุนถิงเปิดอ่านจดหมาย มองดูเนื้อหาในจดหมาย แล้วพูดขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “ซ่างกวนหรูยังมีชีวิตอยู่ ยังไปที่หอเทพเซียน”
“ช่างเป็นความหายนะแห่งสหัสวรรษจริงๆ” เยว่เอ๋อร์พูดขึ้นมาอย่างอดทนไม่ไหว
“ซื่อจื่อเฟย องค์หญิงใหญ่ส่งบัตรเชิญมาให้” ด้านนอก มีองครักษ์คนหนึ่งถือบัตรเชิญเข้ามา
“องค์หญิงใหญ่หาข้าด้วยเรื่องอะไร?” หยุนถิงถามขึ้นมา
“คนที่เอาบัตรมาให้พูดว่า อีกครึ่งเดือนเป็นวันเกิดขององค์หญิงใหญ่ องค์หญิงใหญ่เรียนเชิญซื่อจื่อเฟยไปร่วมงานด้วย”
“ได้ ข้ารู้แล้ว”
ซูหลินรับบัตรเชิญมา พร้อมพูดขึ้นว่า “คุณหนูใหญ่ ท่านเป็นแบบนี้ จะไปร่วมงานวันเกิดองค์หญิงใหญ่ได้อย่างไร ในเมื่อเป็นงานเลี้ยงวันเกิด ยังไงก็ต้องมีเหล้า หรือเราบอกปัดไหม?”
“เอาไว้ก่อน ตอนนี้ข้าหมดสติ หากบอกปัดไปคนอื่นจะสงสัย ผ่านไปหลายวันค่อยว่ากัน” หยุนถิงพูดขึ้นมา
“เพคะ”
รั่วจิ่งอุ้มนกพิราบส่งสาส์นตัวหนึ่งเข้ามา พร้อมพูดขึ้นว่า “คุณหนูใหญ่ องค์หญิงสามของแคว้นเทียนจิ่วส่งจดหมายมาให้ท่าน”
หยุนถิงเลิกคิ้ว เริ่นเซวียนเอ๋อร์เขียนจดหมายมาให้นางทำไม นางรีบรับมา บนจดหมายมีเพียงประโยคเดียวว่า “หากเจ้าจะกำจัดหอเทพเซียน ข้ายินช่วยเจ้า”
มุมปากหยุนถิงอมยิ้มอย่างพอใจ คิดถึงที่ผ่านมา เริ่นเซวียนเอ๋อร์ไม่ยอมพูดถึงเรื่องหอเทพเซียน ก็พอเดารู้แล้วว่า ในนี้ต้องมีอะไรปิดบังแน่
“มีเริ่นเซวียนเอ๋อร์คอยช่วย ซื่อจื่อจะต้องประสบความสำเร็จแน่” หยุนถิงพูดขึ้นอย่างพอใจ
“ซื่อจื่อเฟย ก่อนหน้านี้ท่านให้ข้าตรวจคนในจวน ข้าได้ตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว ช่วงหนึ่งเดือนมานี้ มีเพียงคนในครัวของเราที่พาผู้ชายมาคนหนึ่ง ได้ยินว่าถูกรถซื้อผักของเราชน
ต่อมาคนคนนั้นฟื้นขึ้นมา ดูเหมือนจะจำไม่ได้ว่าตนเองเป็นใคร ไม่รู้จะทำยังไงจึงให้คนอยู่ต่อ เขาขยันทำงานมาก จึงให้ไปทำงานในโรงม้าอยู่เรือนด้านหลัง” รั่วจิ่งพูดตอบ
ครั้งที่แล้วหยุนถิงออกไปข้างนอก ใต้อานม้ามีรอยเลือด ฟู่อี้เฉินรับเคราะห์แทนตน ดังนั้นหยุนถิงจึงสั่งคนกลับมาสืบดู
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นก็ล่องูออกจากรู” หยุนถิงพูดขึ้นมาอย่างเย็นชา
“เจ้าค่ะ”
หยุนถิงพาเยว่เอ๋อร์ไปเดินเล่นด้านหลังเรือน แล้วก็ได้ยินเสียงเด็กสองคนดังขึ้น
“ม่อเซิง นี่เป็นชื่อของเจ้า เขียนแบบนี้” เสียงจิ่งไป๋ดังขึ้นมาอย่างน่ารัก
ม่อเซิงมองดูชื่อนั้น ยิ้มหัวเราะพร้อมพูดขึ้นมาว่า “ดีจริงๆ ซื่อจื่อเฟยตั้งชื่อให้ข้า ไพเราะ”
“ทำไมเวลาเจ้ายิ้มดูเหมือนคนโง่เลย” จิ่งไป๋เม้นริมฝีปาก
“เจ้าสิโง่ ข้าฉลาดอยู่ แค่ได้เรียนช้า เจ้าดูนะข้าจะชกมวยให้เจ้าดู” ม่อเซิงกำหมัดแกว่งไหวขึ้นมา ในมือถือท่อนฟืนไว้ด้วย
จากการรักษาช่วงที่ผ่านมานี้ ร่างกายม่อเซิงอ้วนขึ้นอย่างมาก และก็มีแรงขึ้นเยอะเลย ปกติช่วยงานอยู่ในครัว ทำงานเสร็จแล้วก็ฝึกฝีมือการต่อสู้กับองครักษ์ในจวน
จิ่งไป๋ปรบมือพร้อมพูดขึ้นว่า “ม่อเซิง เจ้าเก่งมากเลย”
เป็นครั้งแรกที่ม่อเซิงถูกพูดชม จึงพูดขึ้นมาอย่างถ่อมตัวว่า “หากเจ้าอยากเรียน ข้าสอนเจ้าได้นะ”
“ได้ งั้นเจ้าสอนฝีมือการต่อสู้ให้กับข้า ข้าสอนเจ้าอ่านเขียนหนังสือ”
“ไม่มีปัญหา”
หยุนถิงดูอยู่อย่างพอใจมาก ก้าวเดินเข้าไป พร้อมพูดขึ้นมา “ไม่เลว วันนี้ข้าว่าง ข้าจะสอนกลอุบายให้พวกเจ้า บางทีสักวันหนึ่ง พวกเจ้าสามารถนำไปใช้ในสนามรบได้”
หนานเทียนหลินที่รับผิดชอบให้อาหารม้าอยู่ด้านข้าง เมื่อเห็นหยุนถิง สายตาฉายแววโหดเหี้ยมอำมหิต แต่ก็เพียงแวบเดียว ก็ถูกเขาปกปิดไว้ แล้วให้อาหารม้าต่อไป
“วันนี้ ข้าเล่าเรื่องม้าโทรจันสงครามทรอยให้พวกเจ้าฟัง เมื่อก่อนมีเมืองหนึ่งชื่อเมืองทรอย เข้มแข็งอย่างมาก ต่อสู้โจมตียังไงก็ไม่ได้ ต่อมามีคนคนหนึ่งคิดแผนขึ้นมา ทั้งสองเมืองต่อสู้กันขึ้นมาอีกครั้ง คนเมืองนั้นแกล้งทำเป็นพ่ายแพ้ ทิ้งม้าโทรจันขนาดใหญ่ไว้แล้วหนีไป
เมืองทรอยแปลกใจอย่างมาก ไม่เคยเห็นม้าโทรจันใหญ่ขนาดนี้มาก่อน ไม่รู้ว่าใช้ทำอะไร สุดท้ายก็เห็นเป็นผลงานจากการสู้รบ ขนย้ายเข้าไปในเมือง สุดท้ายเมื่อถึงตอนกลางคืน ท้องม้าโทรจันเปิดออก ทหารติดอาวุธออกมาจากท้องม้าโทรจัน….”
หยุนถิงเล่าให้ฟังอย่างละเอียด เด็กสองคนไม่เคยฟังเรื่องเล่าแบบนี้ รู้สึกแปลกและสนใจ ตั้งใจฟังอย่างมาก เยว่เอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้าง ก็ตั้งใจฟัง
หนานเทียนหลินที่อยู่ไม่ไกลเหลือบมองมาทางนี้ ตอนนี้เขาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ล้วนเป็นเพราะหยุนถิง ที่เขาหลบเข้ามาอยู่ในจวนซื่อจื่อก็เพื่อต้องการแก้แค้นหยุนถิง
สายตาหนานเทียนหลินเยือกเย็นเฉียบคม ล้วงเอามีดสั้นออกมาจากในกระเป๋า พุ่งไปมุ่งจะทำร้ายหยุนถิงอย่างรวดเร็ว
“หยุนถิง ตายเสียเถอะ”
เสียงอันเย็นชา เต็มไปด้วยความเกลียดชัง แฝงไปด้วยแววแห่งความสังหาร
ม่อเซิงกับจิ่งไป๋ เด็กสองคนตกใจอย่างมาก วินาทีนั้น ม่อเซิงคิดจะไปขวางอยู่ข้างหน้าหยุนถิงอย่างไม่ยั่งคิด พร้อมพูดขึ้นว่า “ซื่อจื่อเฟย หลบไป”
“คุณหนูระวัง” เยว่เอ๋อร์ก็ขวางอยู่ข้างหน้าหยุนถิง
จิ่งไป๋ดึงมือหยุนถิงแล้วก็วิ่งหนี พร้อมพูดขึ้นว่า “ซื่อจื่อเฟย เจ้ารีบหนีไป ข้าระวังหลังให้”
หยุนถิงที่เดิมไม่อยากขยับ ถูกพวกเขาบีบบังคับให้เดินไปหลายก้าว
คมมืดหนานเทียนหลินแทงมาอย่างเฉียบคม ม่อเซิงตกใจจนสีหน้าขาวซีด แต่ก็ไม่ยอมหลบ
“ดนหาที่ตาย” หนานเทียนหลินพูดขึ้นอย่างโกรธโมโห ในเมื่อเจ้าคนพวกนี้มาหาที่ตาย งั้นก็ส่งพวกเขาไปตายด้วยกัน
“ปังๆ ปัง” เสียงดังขึ้นมาหลายครั้งติดกัน
หนานเทียนหลินยังไม่ทันรู้ตัว จู่ๆคนก็ล้มลงอย่างไม่ขยับเขยื้อน หน้าอกและสะบักซ้ายขวาดูเหมือนจะถูกแทงด้วยอะไรบางอย่าง เจ็บปวดแทบตาย เจ็บปวดไปถึงในไขกระดูก ทำให้ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวไปหมด
“หยุนถิง เจ้าทำอะไรข้า?” หนานเทียนหลินพูดขึ้นมาอย่างโมโห
หยุนถิงเป่าพ่นควันสีขาวออกมาจากปากกระบอกปืน พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าวางแผนรอบคอบขนาดนี้ ถึงขั้นยอมเสียโฉม เข้ามาอยู่ในจวนซื่อจื่อ ก็เพื่อแก้แค้นข้าไม่ใช่หรือ ข้าจึงทำให้เจ้าได้สมหวัง”
หนานเทียนหลินตกตะลึง พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้า เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าเป็นใคร?”
“นับจากครั้งที่แล้วที่รถม้าของข้ามีปัญหา ข้าก็สงสัยแล้ว เจ้าหลบซ่อนได้ดีมาก ที่จริงข้าก็ไม่มั่นใจว่าเป็นเจ้า เมื่อลองดูจึงรู้” หยุนถิงพูดขึ้นอย่างหัวเราะเย้ย
นางตั้งใจพาม่อเซิงกับจิ่งไป๋มายังเรือนด้านหลัง จวนซื่อจื่อสงบสุขมานานหลายมี จู่ๆมีคนเลี้ยงม้ามาเพิ่มขึ้น สุดท้ายก็เกิดเรื่องกับรถม้าของนาง ทำให้ไม่สงสัยไม่ได้
“น่าขยะแขยง หยุนถิง ข้าไม่ปล่อยเจ้าไปแน่ เจ้าจุดไฟเผาสำนักราตรีของข้า ฆ่าพี่น้องข้ามากมายขนาดนั้น เจ้าไม่ได้ตายดีแน่ ต่อให้ข้าตายเป็นผีก็จะไม่ปล่อยเจ้าไป…..”
“ปัง” เสียงปืนดังขึ้นมาอีกครั้ง กระสุนฝังทะลุหัวสมองหนานเทียนหลิน
เลือดพุ่งกระสูดออกมา หนานเทียนหลินยังพูดไม่จบ ก็ขาดใจตายทันที
“สำหรับคนที่ต้องการชีวิตข้า ข้าไม่เคยใจอ่อน” หยุนถิงพูดขึ้นมาด้วยเสียงเย็นชา
จิ่งไป๋ตกใจจนสีหน้าขาวซีด ตัวสั่นเทาไปทั้งร่างกาย เขาเข้ามาอยู่ในจวนซื่อจื่อระยะหนึ่งแล้ว เป็นครั้งแรกที่เห็นซื่อจื่อเฟยฆ่าคน ทำให้ตกใจไม่น้อย
ม่อเซิงเคยเห็นซื่อจื่อเฟยสั่งสอนสตรีคนนั้น ท่าทีจึงค่อนข้างดีกว่าจิ่งไป๋ แต่สีหน้าก็ย่ำแย่ ยังไงก็ยังเป็นเด็ก
“พวกเจ้าต้องจำไว้ ใครที่คิดจะฆ่าเจ้า เจ้าจะใจอ่อนไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นการใจอ่อนครั้งหนึ่งมีแต่จะทำให้ตนเองยิ่งตกอยู่ในอันตราย” หยุนถิงหัวเราะพร้อมพูดขึ้น