จอมนางข้ามภิภพ – บทที่ 525 ไม่ยอมเสียลูกก็ไม่ได้หมาป่า

จอมนางข้ามภิภพ

จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 525 ไม่ยอมเสียลูกก็ไม่ได้หมาป่า

“ตายเสียเถอะ!” อีกคนหนึ่งกล่าวขึ้นมาอย่างเย็นชา และกำลังจะจู่โจมเข้ามา

เซียวซ่างซูไม่มีวรยุทธ ไหนเลยจะยังมีเวลามาสนใจการโต้เถียงด้วยวาจา วิ่งหนีไปในความวุ่นวายทันที

เมื่อเห็นว่ากระบี่ยาวที่เปล่งประกายแสงเย็นชามืดมนเล่มนั้นฟันมาทางด้านหน้าของเขา เซียวซ่างซูตกใจจนเข่าอ่อน ปัสสาวะรดกางเกงไปโดยตรง หน้ามืดหมดสติไปทันที

“มีความกล้าแค่นี้ ก็กล้าวางแผนทำร้ายไท่จื่อ รนหาที่ตาย!” คนชุดดำคนหนึ่งกล่าวอย่างดูแคลน

“สับเขาเป็นชิ้นๆโดยตรง!”

พวกเขาสองคนไม่ใช่คนของหยางเฟยเลย แต่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของชางหลันเย่ปลอมตัวมา จุดประสงค์ก็เพื่อสร้างความบาดหมางระหว่างเซียวซ่างซูกับหยางเฟย

“ไท่จื่อสั่งการเอาไว้แล้ว จะฆ่าเขาไม่ได้ ตัดขาเขาทิ้งข้างหนึ่ง ปล่อยเขาไปตามยถากรรม!” คนคนหนึ่งกล่าวขึ้นมา

“ตกลง”

ผู้ใต้บังคับบัญชาสองคนยกมือขึ้นมาฟันลงไป ตัดขาของเซียวซ่างซูไปข้างหนึ่งโดยตรง ถึงได้จากไป

ทางด้านนี้ ชางหลันเย่ถูกเจว๋เฟิงประคองเข้าไปด้านในของที่พักเปลี่ยนม้า หาห้องๆหนึ่งและวางชางหลันเย่เอาไว้บนเตียง และหันหลังไปปิดประตูห้องลง

“ไท่จื่อ ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว!”

ชางหลันเย่ที่อยู่บนเตียงถึงได้ลืมตาขึ้นมา ลุกขึ้นมานั่ง หยิบสิ่งที่เต็มไปด้วยเลือดออกมาจากบริเวณเอว

“เจ้าสิ่งนี้เหม็นคาวมาก!”

เจว๋เฟิงยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน “มีเพียงถุงเลือดที่ทำมาจากเลือดหมูเท่านั้นที่เหมือนเลือดมนุษย์ที่สุด ลำบากไท่จื่อแล้ว”

นี่คือสิ่งที่ชางหลันเย่กับเจว๋เฟิงหารือกันไว้ก่อนหน้านี้ จงใจนำเลือดหมูทำเป็นถุงเลือดใส่เอาไว้ตรงบริเวณเอวกับหน้าอก เช่นนี้ก็สามารถแสร้งทำเป็นได้รับบาดเจ็บสาหัส หลอกลวงศัตรูได้!

“ไม่เป็นไร ความลำบากแค่นี้เมื่อเทียบกับความอัปยศอดสูที่ข้าได้รับตอนที่อยู่แคว้นต้าเยียน ไม่ควรค่าพอที่จะพูดถึงด้วยซ้ำ!” ชางหลันเย่กล่าวอย่างเย็นชา

ผู้ใต้บังคับบัญชาสองนายเข้ามารายงาน “ไท่จื่อ เซียวซ่างซูถูกเราสองคนทำลายขาข้างหนึ่งแล้ว ตอนนี้หมดสติไปแล้ว”

นัยน์ตาสีดำที่เย็นชาของชางหลันเย่ไม่มีความอบอุ่นเลยแม้แต่น้อย “เซียวซ่างซูยังไม่สามารถตายได้ชั่วคราว ต้องมีคนเปิดโปงความผิดของหยางเฟยแทนข้า ดำเนินการตามแผนเดิม!”

“ขอรับ!”

ผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งเปลี่ยนเสื้อผ้ากับชางหลันเย่ จากนั้นผู้ใต้บังคับบัญชาคนนั้นก็นอนบนเตียง เจว๋เฟิงปลอมตัวให้เขาทันที

ชางหลันเย่สวมเสื้อผ้าของผู้ใต้บังคับบัญชา พาอีกคนหนึ่งจากไปทางประตูหลัง คนที่ซ่อนตัวอยู่ในที่ลับออกมารับเขาทันที จากนั้นกลุ่มคนของชางหลันเย่ก็มุ่งหน้าไปยังเมืองหวู่หนิง

ทางด้านนี้ ไม่นานนักทหารสองนายนั่นก็ไปเชิญหมอมา เจว๋เฟิงให้แค่หมอเข้ามาเท่านั้น ไม่ได้ปล่อยให้คนอื่นๆเข้ามา

บรรดาองครักษ์ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูชำเลืองมองคนที่นอนไม่ขยับเขยื้อนบนเตียง ถึงแม้จะมองไม่เห็นใบหน้า แต่ร่างกายที่นอนตะแคงอยู่ บวกกับมีเจว๋เฟิงเฝ้าอยู่ ย่อมจะไม่สงสัยเป็นธรรมดา

ใครจะไปคิดว่า ไท่จื่อของพวกเขาจะใช้กลยุทธ์ปิดฟ้าข้ามทะเล จากไปอย่างเงียบๆแล้ว

…………………..

แคว้นต้าเยียน

ในที่สุดองค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นเทียนจิ่วก็พาทุกคนเร่งเดินทางมาถึงแคว้นต้าเยียน นางไม่มีเวลาสนใจจะพักผ่อน เข้าไปในวังโดยตรง

เซียจิ่วเซียวเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของนาง จะปล่อยให้เกิดเรื่องขึ้นกับเขาไม่ได้เด็ดขาด

พระราชวังในเวลานี้ องค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นเทียนจิ่วกำลังเข้าเฝ้าฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าเยียนที่ตำหนักด้านข้าง

“ฝ่าบาท ตอนนี้ข้ามาแล้ว เซียวเอ๋อร์ของข้าอยู่ที่ไหน ข้าต้องการพบเขาเดี๋ยวนี้!” องค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นเทียนจิ่วกล่าวอย่างตรงประเด็น

สีหน้าของฮ่องเต้ต้าเยียนเย็นยะเยือกเคร่งขรึม “องค์หญิงใหญ่เข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้เป็นคนกักขังเซียจิ่วเซียว แต่ว่าเขาหมดสติกลางถนนเอง บังเอิญถูกแม่ทัพของข้าพบเข้าพอดี ต้าเยียนกับแคว้นเทียนจิ่วสองแคว้นมีความสัมพันธ์อันดี ข้าจะทนดูเฉยๆไม่ให้ความช่วยเหลือไม่ได้หรอกใช่ไหม ถึงได้สั่งให้คนพาเซียจิ่วเซียวมายังพระราชวัง!”

“หมายความว่า ข้ายังต้องขอบคุณฝ่าบาทงั้นสิ!” น้ำเสียงขององค์หญิงใหญ่เย็นยะเยือกสุดขีด

หากไม่ใช่เพราะคนของแคว้นต้าเยียนลอบโจมตีกองทัพของแคว้นเทียนจิ่ว ลูกชายของนางก็คงจะไม่ถูกลักพาตัวไป องค์หญิงใหญ่สาบานในใจ จะไม่ปล่อยแคว้นต้าเยียนไปเด็ดขาด

“องค์หญิงใหญ่ไม่ต้องเกรงใจ เดินทางเหน็ดเหนื่อยมาตลอดทาง ตอนนี้ก็ดึกแล้ว ข้าสั่งให้คนพาเจ้าไปพักผ่อน มีเรื่องอะไรเราค่อยคุยกันพรุ่งนี้!” ฮ่องเต้ดูเหมือนห่วงใย ความจริงคือออกคำสั่งไล่แขก

ซูกงกงเดินเข้ามาทันที คำนับองค์หญิงใหญ่ด้วยความเคารพนบนอบ “องค์หญิงใหญ่เชิญเถิด!”

องค์หญิงใหญ่โกรธจนสีหน้าดำมืด แต่นางก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่ฮ่องเต้จะให้นางพบเซียวเอ๋อร์ง่ายๆ “หวังว่าพรุ่งนี้ฝ่าบาทจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง ความอดทนของข้ามีจำกัด หากพรุ่งนี้ยังไม่ได้พบเซียวเอ๋อร์ของข้าอีก กองทัพสองแสนนายของแคว้นเทียนจิ่วจะบุกประชิดพรมแดนอย่างแน่นอน!”

ทิ้งคำพูดเอาไว้ประโยคหนึ่ง องค์หญิงใหญ่สะบัดแขนเสื้อเดินจากไป

ฮ่องเต้โยนฎีกาทั้งหมดที่อยู่บนโต๊ะลงไปบนพื้นด้วยความโกรธ “เป็นแค่องค์หญิงใหญ่ตัวเล็กๆคนหนึ่งก็กล้ามาข่มขู่ข้า น่าชิงชังนัก!”

ตอนที่ซูกงกงกลับมา เห็นฮ่องเต้บันดาลโทสะ ก็รีบวิ่งเหยาะๆเข้ามาทันที “ฝ่าบาท องค์หญิงใหญ่ผู้นี้โอหังจริงๆ แค่กองทัพสองแสนนายไม่เพียงพอให้ต้องเกรงกลัว!”

ฮ่องเต้เลิกคิ้วมองมา “คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร?”

“ทูลฝ่าบาท พรมแดนระหว่างแคว้นเทียนจิ่วกับแคว้นต้าเยียนเราประชากรเบาบาง และทิศทางลมอยู่ทางทิศเหนือตลอดทั้งปี ซึ่งก็หมายความว่าแคว้นเทียนจิ่วอยู่ในทิศทางที่อยู่ใต้ลมของแคว้นต้าเยียนเรา องค์หญิงหยุนถิงชำนาญเรื่องการใช้พิษไม่ใช่หรือ ถ้าหากขอยาพิษจากนางแล้วโรยเข้าไปในสายลมเช่นนี้ ทหารของแคว้นเทียนจิ่วจะไม่ถูกพิษกันหมดหรอกหรือ!

จากนั้นก็ให้หยุนเสี่ยวลิ่วควบคุมอินทรีทอง เสี่ยวอันจื่อสามารถควบคุมฝูงงู บนพื้นดินและท้องฟ้าจู่โจมในเวลาเดียวกัน คิดว่ากองทัพของแคว้นเทียนจิ่วต้องพ่ายแพ้ไม่เป็นท่าอย่างแน่นแน!” ซูกงกงเอ่ยปากเสียงเบา

ฮ่องเต้เลิกคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย มองเข้ามาด้วยความสงสัย “ซูเหล่าซานเจ้าช่างบังอาจนัก ขันทีอย่างเจ้าถึงกับรู้เรื่องชายแดนชัดเจนเช่นนี้ ยังไม่รีบสารภาพมาตามความจริงอีก!”

ซูกงกงตกใจจนคุกเข่าลงไปบนพื้นทันที “ฝ่าบาทไว้ชีวิตด้วย บ่าวแค่ได้ยินแม่ทัพหยุนกับบรรดาทหารหารือเรื่องพรมแดนของแคว้นเทียนจิ่วกับแคว้นต้าเยียนโดยบังเอิญ เลยได้ยินเรื่องทิศทางลมเท่านั้น

ดังนั้นบ่าวถึงได้คิดว่าองค์หญิงหยุนถิงใช้พิษได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่ให้คนสังเกตได้เลย ฝ่าบาทโปรดอภัยด้วย บ่าวผิดไปแล้ว ขอฝ่าบาทโปรดประทานศพในสภาพที่สมบูรณ์แก่บ่าวด้วยเถิด!”

ขันทีพูดคุยเรื่องการเมือง นี่เป็นเรื่องต้องห้าม

มองดูสีหน้าที่ซีดขาวของซูกงกง แม้แต่น้ำเสียงก็สั่นเทาเล็กน้อย สีหน้าที่บันดาลโทสะของฮ่องเต้ก็เปลี่ยนไปทันที “ไม่เสียแรงที่อยู่ข้างกายของข้า ข้อเสนอแนะเมื่อครู่นี้ของเจ้าดีมาก ข้าต้องการคนที่พูดจาตรงไปตรงมาเช่นเจ้านี่แหละ ข้าตบรางวัลให้เจ้าหนึ่งพันตำลึง”

ซูกงกงเช็ดเหงื่อเย็นบนหน้าผาก “ขอบพระทัยฝ่าบาท!”

“เจ้าไปที่จวนซื่อจื่อด้วยตัวเอง ไปขอยาพิษกับหยุนถิง ข้าจำเป็นต้องเฝ้าระวังเอาไว้ล่วงหน้า!” ฮ่องเต้เอ่ยปากอย่างราบเรียบ

“พ่ะย่ะค่ะ!”

ในตอนที่ซูกงกงเร่งเดินทางไปถึงจวนซื่อจื่อ ก็เป็นเวลาดึกมากแล้ว

“ซื่อจื่อเฟย องค์หญิง ท่านเกือบจะทำให้บ่าวต้องทิ้งชีวิตไปแล้วจริงๆ!” ซูกงกงอธิบายความเป็นมาของเหตุการณ์โดยสังเขป

ความจริงวิธีที่เขาบอกฮ่องเต้เมื่อครู่นี้ เป็นวิธีที่หยุนถิงบอกเขาก่อนหน้านี้ เพียงแต่ว่าหยุนถิงห้ามไม่ให้ซูกงกงบอกว่าเป็นความคิดของตัวเอง มิเช่นนั้นฝ่าบาทจะต้องระแวงนางอย่างแน่นอน

ได้ยินว่าองค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นเทียนจิ่วนำกองทัพสองแสนนายมาที่พรมแดน หยุนถิงก็รีบบอกแผนการนี้กับซูกงกงทันที

“ลำบากกงกงแล้ว ไม่ยอมเสียลูกก็ไม่ได้หมาป่า ถึงแม้เมื่อครู่นี้ท่านจะเดินผ่านประตูนรกมาหนึ่งรอบ แต่ก็แคล้วคลาดปลอดภัยไม่ใช่หรือ แถมยังได้เงินมาอีกหนึ่งพันตำลึง ไม่เลว!” หยุนถิงกล่าวหยอกล้อ

“องค์หญิง บ่าวยอมไม่เอาหนึ่งพันตำลึงนั่น” ซูกงกงทอดถอนใจ แต่เขาก็ทนดูองค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นเทียนจิ่วโอหังเช่นนั้นไม่ได้ ลังเลอยู่ครู่หนึ่งสุดท้ายก็กล่าวออกมา

จอมนางข้ามภิภพ

จอมนางข้ามภิภพ

Status: Ongoing
นางเป็นบุตรีเอกแห่งจวนเฉิงเสี้ยง เป็นยัยอัปลักษณ์ไร้ค่าผู้ฉาวโฉ่ กลับมีรักแรกพบกับหลีอ๋อง คะยั้นคะยอจะอภิเษกสมรสกับหลีอ๋องอย่างไม่กลัวสิ่งใด ณคืนวันอภิเษกถูกหลีอ๋องทำอัปยศอดสูจนตายพอลืมตาขึ้นดันทะลุมิติมาอีกภพหนึ่งกลายเป็นศาสตราจารย์หมอพิษสมัยใหม่ควบสองบัณฑิต คนที่เคยรังแกนาง มันต้องเอาคืนเป็นร้อยเท่าพันเท่า นาง…จัดการกับพวกสันดานชั่วอย่างออกนอกหน้า หาเงินอย่างถ่อมตน มัสมบัติระรวยใต้หล้า เพื่อหลุดพ้นจากหลีอ๋อง เลยแต่งในฐานะนางสนมของซื่อจื่อ กลับคิดไม่ถึงว่าจะไปกระตุกหนวดเสือให้เข้าแล้ว เขาเป็นซื่อจื่อผู้ป่วยเสาะแสะ สุขุมอ่อนโยน เย็นชาเจ้าเล่ห์ ร่างมีพิษที่จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน หยุนถิงเป็นคนช่วยเขาแก้พิษ ทำให้เขากลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง เขาสาบานว่า จะอยู่กินกับนางแต่เพียงผู้เดียว หลังแต่งงาน นางนวดเอวที่ปวดอยู่ เตะเขาลงจากเตียง:“รับจดหมายรักจากหญิงอื่น ยังกล้ามานอนกับหม่อมฉันอีกรึ?” เขารีบอธิบาย:“น้องนาง ข้าผิดไปแล้ว ใครกล้ามาแย่งข้าไปจากเจ้า ข้าจะตัดขานางให้รู้แล้วรู้รอด” นางยักคิ้วหลิ่วตา:ก็ท่านนี่แหละที่เป็นต้นเหตุ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท