จอมนางข้ามภิภพ – บทที่ 526 เจ้าไม่เชื่อคำพูดของซื่อจื่อเฟยหรือ

จอมนางข้ามภิภพ

จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 526 เจ้าไม่เชื่อคำพูดของซื่อจื่อเฟยหรือ

“ข้าย่อมรู้อยู่แล้วว่ากงกงเป็นคนประเภทที่เห็นเงินทองเป็นเหมือนมูลสัตว์ นี่ถึงจะแสดงถึงความภักดีที่กงกงมีต่อฝ่าบาท รักแคว้นต้าเยียน ข้าขอขอบคุณกงกงแทนราษฎรของแคว้นต้าเยียนด้วย!” หยุนถิงกล่าวชื่นชม

เป็นเช่นนั้นจริงๆ ซูกงกงสุขกายสบายใจอย่างยิ่ง “นั่นเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว ข้าจงรักภักดีต่อฝ่าบาทอย่างยิ่ง”

“กงกงเข้าไปดื่มชาก่อน ข้าจะสั่งให้คนไปหยิบยาพิษมาเดี๋ยวนี้” หยุนถิงกล่าว

“ได้เลย ขอบคุณซื่อจื่อเฟยมาก!” ซูกงกงเข้าไปดื่มชาอย่างรวดเร็ว

มาที่จวนซื่อจื่อหลายครั้งขนาดนี้ ล้วนมาถ่ายทอดคำสั่งทุกครั้ง ยังไม่เคยดื่มชาของจวนซื่อจื่อมาก่อนเลย

ดังนั้นพ่อบ้านลั่วยกน้ำชาเข้าไป ซูกงกงจึงดื่มติดต่อกันไปหลายถ้วย

ไม่นานนัก หยุนถิงก็เดินเข้ามา “ซูกงกง ยาพิษที่ท่านต้องการ”

ซูกงกงมองเห็นแป้งจี่นั่นก็ชะงักงันไปในทันที “ซื่อจื่อเฟย นี่ท่านกำลังล้อบ่าวเล่นอยู่ใช่ไหม แป้งจี่นี่จะเป็นยาพิษได้อย่างไร

“นี่คือแป้งจี่ก็จริง แต่ว่ามันถูกแช่ในยาพิษที่สกัดขึ้นมาพิเศษ ยาพิษนี้ไร้สีไร้กลิ่น แค่ชิ้นเดียวล้มคนนับพันได้ไม่เป็นปัญหา!” หยุนถิงอธิบาย

“ทำไม เจ้าไม่เชื่อคำพูดของซื่อจื่อเฟย?” จวินหย่วนโยวที่ไม่พูดไม่จามาตลอดกล่าวขึ้นมาอย่างเย็นชา

ซูกงกงตกใจจนตัวสั่น “จวินซื่อจื่อเข้าใจบ่าวผิดแล้ว บ่าวจะสงสัยซื่อจื่อเฟยได้อย่างไร เพียงแต่ว่าเหตุการณ์เกี่ยวพันใหญ่หลวง บ่าวต้องการยืนยันเท่านั้น ซื่อจื่อเฟยแป้งจี่นี่วางยาพิษอย่างไร?”

“ขอเพียงใส่แป้งจี่นี่เข้าไปในกองไฟ วางเอาไว้ตรงทิศทางเหนือลม เช่นนั้นทิศทางใต้ลมอย่าว่าแต่คนเลย แม้แต่ช้างก็สามารถล้มได้ หมดสติหนึ่งชั่วยามไม่ใช่ปัญหา และเวลาในการจัดเก็บทั้งหมดก็ยาวนาน ถึงแม้เจ้าจะย่างต่อหน้าศัตรู ก็ไม่มีใครสงสัย และการขนส่งก็สะดวกสบาย ผู้คนจะมองว่าเป็นอาหาร คิดไม่ถึงด้วยซ้ำว่านี่คือยาพิษ!” หยุนถิงตอบ

ซูกงกงหยิบแป้งจี่ขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น “ซื่อจื่อเฟยท่านช่างมีสติปัญญาจริงๆ บ่าวขอขอบคุณท่านแทนราษฎรของแคว้นต้าเยียนด้วย”

“สามารถแบ่งเบาภาระฝ่าบาทได้ถือเป็นเกียรติของข้า!”

ซูกงกงรีบพาคนขนแป้งจี่ห้าคันรถม้ากลับไปที่พระราชวัง รายงานการปฏิบัติภารกิจต่อฮ่องเต้ทันที

ฮ่องเต้ได้ยินว่าแป้งจี่หนึ่งชิ้นสามารถทำให้คนนับพันหมดสติได้ ก็เต็มไปด้วยความตกตะลึงเช่นกัน “แป้งจี่นี่ร้ายกาจเช่นนี้จริงหรือ?”

“ซื่อจื่อเฟยกล่าวเช่นนี้ แต่ว่าบ่าวก็ไม่เคยลองเช่นกัน” ซูกงกงตอบ

“เมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นก็ลองดูแล้วกัน เรื่องเกี่ยวพันถึงความปลอดภัยของพรมแดนระหว่างแคว้นเทียนจิ่วกับแคว้นต้าเยียน เจ้าไประดมพลมาเดี๋ยวนี้ จำไว้ว่าอย่าสร้างความเอิกเกริกมากเกินไป!” ฮ่องเต้กำชับ

“พ่ะย่ะค่ะ!” ซูกงกงให้องครักษ์ของพระราชวังอยู่รับผิดชอบรักษาการณ์ องครักษ์คนอื่นๆล้วนระดมพลกันที่ด้านหน้าพระตำหนัก

ฮ่องเต้เดินออกมา มองไปทางทุกคนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ที่ข้าเรียกทุกคนมาในวันนี้ เพราะต้องการจะดูว่าการฝึกฝนในเวลาปกติของทุกคนเป็นอย่างไร พวกเจ้ารับผิดชอบความปลอดภัยของพระราชวัง แน่นอนว่าต้องเป็นบรรดาทหารที่ข้าไว้วางใจที่สุดอยู่แล้ว!”

“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!” ทหารทุกคนรีบฝึกซ้อมกันขึ้นมาทันที

ขันทีตัวน้อยสองคนยกเตาไฟเดินไปทางเหนือลม จากนั้นก็โยนแป้งจี่ที่หยุนถิงให้เข้าไปในเตาไฟและเผาขึ้นมา

ไม่นานนัก บรรดาทหารที่กำลังฝึกฝนกันอยู่ก็รู้สึกเวียนหัวตาลาย ไม่มีเรี่ยวแรง พวกเขายังไม่ทันได้รายงานต่อฝ่าบาท ก็ล้มลงไปทีละคน

ฮ่องเต้เต็มไปด้วยความยินดีและพึงพอใจ “หยุนถิงไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ เจ้าส่งคนไปรายงานซวนอ๋องเดี๋ยวนี้ ให้เขาหาคนสนิทสองสามคนส่งแป้งจี่นี่ไปที่ชายแดนทันที!”

“พ่ะย่ะค่ะ แต่ว่าฝ่าบาท จู่ๆบรรดาทหารก็ล้มลงไปหมด บ่าวกลัวว่าพระองค์จะไม่ปลอดภัย!” ซูกงกงกล่าวด้วยความเป็นห่วง

“นี่คือพระราชวังของข้า ยังจะมีใครมาลอบโจมตีหรืออย่างไร รีบไปจัดการธุระเดี๋ยวนี้!” ฮ่องเต้กล่าวอย่างเย็นชา

ซูกงกงตัวสั่นขึ้นมา “ฝ่าบาทสั่งสอนถูกต้องแล้ว บ่าว——”

เพียงแต่ว่าคำพูดของซูกงกงยังไม่ทันได้พูดจบ จู่ๆกลุ่มคนชุดดำก็ลอยลงมาจากฟ้า ถือกระบี่ยาวเอาไว้ในมือและแทงไปทางฮ่องเต้

“ฝ่าบาทมีคนลอบโจมตี ทหาร อารักขา รีบมาเร็วๆ!” ซูกงกงตะโกนเสียงดัง ขวางอยู่ตรงหน้าของฝ่าบาทโดยสัญชาตญาณ

สีหน้าของฮ่องเต้ตึงเครียด เขาก็นึกไม่ถึงเช่นกันว่าจู่ๆจะมีมือสังหาร

บรรดาองครักษ์ได้ยินเสียง ก็รีบพุ่งเข้ามาอารักขาทันที ต่อสู้กับมือสังหารพวกนั้น เพียงแต่ว่ามือสังหารพวกนั้นมีมากเกินไป องครักษ์ที่รักษาการณ์ก็มีเพียงสิบกว่าคนเท่านั้น องครักษ์จากตำหนักอื่นเร่งเดินทางมาก็ไม่ทันการแล้ว

“ฝ่าบาทพระองค์รีบหนีเร็วเข้า บ่าวจะคุ้มกันพระองค์เอง!” ซูกงกงเก็บกระบี่ยาวขององครักษ์ที่หมดสติอยู่บนพื้นขึ้นมา และชูขึ้นมาอย่างสั่นเทา

ท่าทางขี้ขลาดตาขาวนั่นฮ่องเต้เห็นแล้วยังรู้สึกหงุดหงิดโมโห “ท่าทางอย่างเจ้ายังจะมาปกป้องข้า ถอยไปอยู่ด้านหนึ่งไป!”

ซูกงกงกระดากอายอย่างมาก แต่ก็รู้ดีแก่ใจ รีบถอยไปด้านหนึ่งทันที

คนชุดดำพวกนั้นเห็นว่ากำลังจะแทงไปทางฮ่องเต้แล้ว จู่ๆก็มีลูกธนูนับไม่ถ้วนยิงออกมาจากที่ลับ คนชุดดำพวกนั้นยังไม่ทันได้ตอบสนองกลับมาก็ขาดใจตายแล้ว

เมื่อคนชุดดำที่เหลือเห็นท่าไม่ดี “ถอย!”

“บังอาจลอบโจมตีข้า ยังคิดจะหนีอีก จับเป็นมาให้ข้า!” ฮ่องเต้ยืนอยู่บนแท่นสูง ออกคำสั่งด้วยเสียงที่เย็นชา

จู่ๆในที่ลับก็มีเงาร่างปรากฏขึ้นมาสิบกว่าเงา ทั้งหมดล้วนสวมชุดเกราะกันทุกคน นั่นคือองครักษ์ลับของฮ่องเต้ รับผิดชอบความปลอดภัยของฮ่องเต้โดยเฉพาะ

ซูกงกงแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาลืมองครักษ์ลับไปได้อย่างไร

บรรดาองครักษ์ลับลงมือ ไม่ช้าก็ปราบคนชุดดำพวกนั้นลง ฮ่องเต้กำลังได้ใจ และกำลังจะเดินเข้าไป

จู่ๆในบรรดาคนชุดดำที่ถูกธนูยิงเมื่อครู่นี้ ก็มีคนหนึ่งแอบลุกขึ้นมา หยิบกระบี่ยาวในมือขึ้นมา แทงไปทางฮ่องเต้อย่างแรงด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มี

“ฝ่าบาท ระวัง!” เสียงที่เย็นชาดุดันดังมา เงาร่างของโม่เหลิ่งเหยียนวิ่งเข้ามาราวกับสายฟ้าฟาด หนึ่งฝ่ามือตบคนผู้นั้นกระเด็นออกไป

คนผู้นั้นลอยกระเด็นออกไปหลายสิบเมตร ชนกับเสาที่อยู่ด้านข้าง และสิ้นลมไปในทันที

โม่เหลิ่งเหยียนรีบวิ่งเข้าไปทางฮ่องเต้ทันที “ฝ่าบาท กระหม่อมมาอารักขาช้าไป ขอฝ่าบาทโปรดอภัยด้วย!”

นัยน์ตาสีดำที่เฉียบคมของฮ่องเต้กวาดมองไปทางคนที่สิ้นลมคนนั้น “ซวนอ๋องลุกขึ้นมาเถิด เมื่อครู่หากไม่ได้เจ้า ข้าคงจะถูกแทงไปแล้วแน่นอน เจ้ามีความผิดอะไร”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท” ซวนอ๋องยืนขึ้นมาด้วยความเคารพนบนอบ เหลือบมองไปทางองครักษ์ที่ล้มอยู่บนพื้นเหล่านั้น เลิกคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย “ฝ่าบาท ทหารพวกนี้คือ?”

สีหน้าของฮ่องเต้แข็งทื่อทันที “พูดขึ้นมาแล้วเรื่องมันยาว เด็กๆนำตัวมือสังหารไปที่คุก ข้าจะไต่สวนด้วยตัวเอง!”

“พ่ะย่ะค่ะ!” บรรดาองครักษ์ทำตามคำสั่งทันที

“ซวนอ๋อง เจ้ามาได้อย่างไร?” ฮ่องเต้ตรัสถามอย่างราบเรียบ

การปรากฏตัวของโม่เหลิ่งเหยียนมันจะบังเอิญเกินไปหน่อยแล้ว

“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมจะมารายงานสถานการณ์ของพื้นที่ทางทะเลและกองทัพชายแดนต่อฝ่าบาท คิดไม่ถึงว่าจะพบมือสังหารลอบโจมตีกะทันหัน ดังนั้นข้าจึงได้ลงมือ!” โม่เหลิ่งเหยียนอธิบาย

“โชคดีที่มีเจ้า ข้ารู้สึกปลื้มใจมาก ไปกันเถอะ ไปที่ห้องทรงอักษร” ฮ่องเต้หันหลังก็จากไป

โม่เหลิ่งเหยียนตามไปทันที ซูกงกงลุกขึ้นมาจากบนพื้นทันที เขาไม่กล้าอยู่ห่างจากฝ่าบาทอีกแล้ว

ระหว่างทาง ฮ่องเต้เล่าความเป็นมาของเหตุการณ์โดยสังเขป โม่เหลิ่งเหยียนฟังจนหน้าผากมีเส้นสีดำสามเส้นแว๊บผ่านไป “หมายความว่าฝ่าบาทใช้บรรดาทหารทดสอบยาพิษของหยุนถิง?”

ฮ่องเต้กระแอมไอด้วยความกระอักกระอ่วน “ข้าก็อยากจะรู้ประสิทธิภาพไม่ใช่หรือ เรื่องนี้พวกเจ้าใครก็ห้ามพูดออกไปเด็ดขาด”

หากให้คนรู้ว่าเขาที่เป็นถึงฮ่องเต้แห่งแคว้น เพื่อพิสูจน์ประสิทธิภาพของยาพิษ ใช้บรรดาองครักษ์ของตัวเองเป็นตัวทดลอง แต่แล้วกลับถูกลอบโจมตี ยังจะไม่ถูกคนหัวเราะเยาะจนฟันร่วงหรอกหรือ

โม่เหลิ่งเหยียนกลั้นหัวเราะ “ตอนนี้ฝ่าบาททรงเห็นประสิทธิภาพของมันแล้ว จะจัดการอย่างไร?”

จอมนางข้ามภิภพ

จอมนางข้ามภิภพ

Status: Ongoing
นางเป็นบุตรีเอกแห่งจวนเฉิงเสี้ยง เป็นยัยอัปลักษณ์ไร้ค่าผู้ฉาวโฉ่ กลับมีรักแรกพบกับหลีอ๋อง คะยั้นคะยอจะอภิเษกสมรสกับหลีอ๋องอย่างไม่กลัวสิ่งใด ณคืนวันอภิเษกถูกหลีอ๋องทำอัปยศอดสูจนตายพอลืมตาขึ้นดันทะลุมิติมาอีกภพหนึ่งกลายเป็นศาสตราจารย์หมอพิษสมัยใหม่ควบสองบัณฑิต คนที่เคยรังแกนาง มันต้องเอาคืนเป็นร้อยเท่าพันเท่า นาง…จัดการกับพวกสันดานชั่วอย่างออกนอกหน้า หาเงินอย่างถ่อมตน มัสมบัติระรวยใต้หล้า เพื่อหลุดพ้นจากหลีอ๋อง เลยแต่งในฐานะนางสนมของซื่อจื่อ กลับคิดไม่ถึงว่าจะไปกระตุกหนวดเสือให้เข้าแล้ว เขาเป็นซื่อจื่อผู้ป่วยเสาะแสะ สุขุมอ่อนโยน เย็นชาเจ้าเล่ห์ ร่างมีพิษที่จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน หยุนถิงเป็นคนช่วยเขาแก้พิษ ทำให้เขากลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง เขาสาบานว่า จะอยู่กินกับนางแต่เพียงผู้เดียว หลังแต่งงาน นางนวดเอวที่ปวดอยู่ เตะเขาลงจากเตียง:“รับจดหมายรักจากหญิงอื่น ยังกล้ามานอนกับหม่อมฉันอีกรึ?” เขารีบอธิบาย:“น้องนาง ข้าผิดไปแล้ว ใครกล้ามาแย่งข้าไปจากเจ้า ข้าจะตัดขานางให้รู้แล้วรู้รอด” นางยักคิ้วหลิ่วตา:ก็ท่านนี่แหละที่เป็นต้นเหตุ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท