จอมนางข้ามภิภพ – บทที่ 561 ข้าเป็นคนของซวนอ๋อง

จอมนางข้ามภิภพ

จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 561 ข้าเป็นคนของซวนอ๋อง

ใบหน้าของเหมยเฟยซีดขาวสุดขีด คนทั้งคนเกือบจะทรุดลงไปกับพื้น ดีที่ได้หลิ่วเฟยประคองนางเอาไว้“เจ้ายังไหวไหม?”

“ฝ่าบาทเป็นเช่นนี้ ข้าเป็นห่วง!” เสียงของเหมยเฟยสะอึกสะอื้นไปหมด

“ทุกคนล้วนเป็นห่วงฝ่าบาทมาก แต่เจ้าต้องรักษาสุขภาพให้ดี เช่นนี้ถึงจะสามารถดูแลฝ่าบาทได้” หลิ่วเฟยปลอบโยน

“เจ้าพูดถูกแล้ว ข้ายังต้องดูแลฝ่าบาทอีก!” เหมยเฟยรีบลุกยืนขึ้นมาทันที ให้ตัวเองสงบสติอารมณ์ลงมา

“พวกท่านเข้าไปอยู่กับฝ่าบาทได้แล้ว คุยเรื่องที่เขาใส่ใจกับเขา แต่ว่าเข้าไปได้แค่ครั้งละหนึ่งคนเท่านั้น แล้วก็อย่ารบกวนการพักผ่อนของเขาด้วย เหนื่อยมาทั้งคืนแล้ว ตาแก่อย่างข้าขอตัวกลับไปก่อนแล้ว!” ท่านลั่วเอ่ยปาก

“ขอบคุณหมอยมบาลมากที่ให้ความช่วยเหลือ!” หลิ่วเฟยกล่าว

“ขอบคุณผู้อาวุโสที่ช่วยถอนพิษให้ฝ่าบาท!” เหมยเฟยซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง

“เกรงใจแล้ว!”

หลิงเฟิงส่งท่านลั่วจากไปด้วยตัวเอง ประตูตำหนักด้านข้างที่กว้างใหญ่เหลือเพียงสนมเพียงไม่มีกี่คนเท่านั้น

“หลิ่วเฟย โปรดให้ข้าเข้าไปเฝ้าฝ่าบาทเถอะ!” ในน้ำเสียงของเหมยเฟยเต็มไปด้วยการวิงวอน

“ตกลง คืนนี้เจ้าอยู่ดูแลฝ่าบาท ยังมีแขกเหรื่อถูกกักตัวเอาไว้ ข้าก็ต้องไปจัดการเช่นกัน!” หลิ่วเฟยกล่าว

“ขอบคุณมาก!” เหมยเฟยผลักประตูเข้าไปทันที

หลิ่วเฟยก็ตรงไปที่งานเลี้ยงเช่นกัน เหลือไว้เพียงฉินเฟยเท่านั้น

“เหนียงเหนียงเราทำอะไรกันดี?” สาวใช้คนสนิทถาม

“ในเมื่อฝ่าบาทกับแขกเหรื่อล้วนไม่ต้องการข้า ข้าย่อมต้องไปเคี่ยวยาให้ฝ่าบาทที่ห้องครัวอยู่แล้ว” ฉินเฟยหันหลังก็จากไปเช่นกัน

และบรรดาแขกเหรื่อที่ถูกกองทัพหลวงล้อมรอบเอาไว้พวกนั้น ต่างก็รู้สึกตื่นตระหนก ฝ่าบาทกับซื่อจื่อเฟยล้วนถูกพิษกันทั้งคู่ แถมยังเป็นพิษร้ายแรง ผลที่ตามมาร้ายแรงมาก

นาทีนี้ ผู้คนมากมายถึงขั้นรู้สึกเสียใจภายหลังที่มาร่วมงานเลี้ยง อยู่บ้านดีๆไม่ดีหรือ

หลิ่วเฟยรีบมาถึง“การสืบสวนเป็นอย่างไรบ้าง?”

หลีอ๋องสีหน้ามืดมน“ตรวจค้นร่างกาย และสิ่งที่พวกเขาพกติดตัวหมดแล้ว ไม่มีความผิดปกติใดๆ แต่คนร้ายตัวจริงต้องอยู่ในกลุ่มพวกเขาอย่างแน่นอน”

“หาตัวคนร้ายไม่เจอ ใครก็ห้ามจากไปเด็ดขาด ในเมื่อเฟิ่งจาวหยีเป็นคนรับผิดชอบงานเลี้ยง เช่นนั้นก็เริ่มตรวจค้นตำหนักของเฟิ่งจาวหยีก่อน!” น้ำเสียงของโม่เหลิ่งเหยียนเด็ดขาดเย็นชา ไม่อนุญาตให้มีข้อกังขา

หลิ่วเฟยทอดถอนใจ“ดูท่านี่คงจะเป็นทางเดียวเท่านั้นแล้ว คืนนี้ทุกคนไม่ต้องกลับไปแล้ว ข้าจะสั่งให้คนเก็บกวาดห้องเอาไว้ ทุกคนก็พักผ่อนในพระราชวังแล้วกัน!”

ทุกคนล้วนตะลึงงันกันหมด แต่หลิ่วเฟยกับซวนอ๋องล้วนพูดแล้ว พวกเขาไม่กล้าโต้แย้ง

“ข้าจะกลับไปพักผ่อนที่แปรพระราชฐาน!” องค์หญิงใหญ่แคว้นเทียนจิ่วกล่าวอย่างเย็นชา

“ข้าบอกไปแล้วว่า สืบหาคนร้ายตัวจริงไม่เจอใครก็ห้ามจากไป ยิ่งไปกว่านั้นองค์หญิงใหญ่ท่านคือคนที่น่าสงสัยมากที่สุด!” นัยน์ตาสีดำที่เฉือนคมของโม่เหลิ่งเหยียน กวาดมองมาราวกับใบมีดที่คมกริบ

องค์หญิงใหญ่หงุดหงิดโมโหอย่างยิ่ง สายตามองประสานกัน ดินควันระเบิดที่มองไม่เห็นกำลังแผ่ซ่านระหว่างพวกเขาทั้งคู่

แม้จะเป็นองค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นเทียนจิ่ว ก็ไม่เคยเห็นว่าใครมีสายตาเย็นชาเช่นนี้มาก่อน โม่เหลิ่งเหยียนแตกต่างจากความโหดเหี้ยมและกระหายเลือดของจวินหย่วนโยว มีความรุนแรงที่ชั่วร้าย ไร้ความปรานีมากกว่าเล็กน้อย

โม่เหลิ่งเหยียนผู้ซึ่งเป็นเทพสงครามในสนามรบที่สี่แคว้นต่างหวาดกลัว ทุกที่ที่ไปถึงไม่มีสิ่งใดขัดขวางได้ วิธีการโหดร้าย ไร้ปรานี ยิ่งขึ้นชื่อเรื่องไม่เห็นแก่หน้าใครทั้งนั้น วิธีการทรมานคนก็ทารุณบ้าคลั่ง

แต่ต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้ องค์หญิงใหญ่ถูกปฏิเสธกะทันหัน ย่อมรู้สึกเสียหน้าอยู่แล้ว ขณะเดียวกันนางก็ต้องการหยั่งเชิงความสามารถของโม่เหลิ่งเหยียน ความสามารถของพระราชวังต้าเยียน

“หากข้าจะไปให้ได้ล่ะ?”

“องค์หญิงใหญ่สามารถลองดูได้เลย!” โม่เหลิ่งเหยียนกล่าวอย่างดูหมิ่น

“องค์หญิงใหญ่ถ้าอย่างไรเราอยู่ที่นี่คืนหนึ่งดีไหม?” จี้อวี๋เสนอแนะเสียงเบา

“เจ้าโง่ใช่ไหมเนี่ย จะอยู่ในที่ที่มีข้อพิพาทเช่นนี้ทำไมกัน ไหนเลยจะมีอิสระเท่าแปรพระราชฐาน!” หลัวหรูจี๋โต้แย้ง

“หุบปากให้หมด พวกเราไปกันเถอะ!” องค์หญิงใหญ่ก้าวเท้าก็จากไป

หลัวหรูจี๋รีบตามไปทันที จี้อวี๋ลังเลครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ตามไป ไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องปกป้องความปลอดภัยขององค์หญิงใหญ่

แต่กองทัพหลวงที่อยู่ข้างนอกไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย ไม่ได้หลีกทางเลย

ใบหน้าขององค์หญิงใหญ่เต็มไปด้วยความหงุดหงิดโมโห“ไสหัวไป!”

กองทัพหลวงไม่สนใจนางเลย ยังคงยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน

โม่เหลิ่งเหยียนกับโม่ฉือหานใครก็ไม่ได้เอ่ยปาก องค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นเทียนจิ่วคนหนึ่งก็กล้ากำเริบเสิบสานในพระราชวังต้าเยียน เห็นตัวเองสำคัญจริงหรือ

“นี่ก็คือวิถีการต้อนรับแขกของแคว้นต้าเยียนพวกเจ้าหรือ พวกเจ้าไร้มารยาทก่อน เช่นนั้นก็อย่ามาโทษข้าแล้วกัน เด็กๆ ยังไม่เปิดทางให้ข้าอีก!”องค์หญิงใหญ่คำรามด้วยความโกรธ

ทันใดนั้น ก็มีคนชุดดำสิบกว่าคนลอยลงมาจากฟ้าทั่วทุกทิศทาง

กองทัพหลวงทั้งหมดจับกระบี่ยาวที่อยู่ในมือเอาไว้แน่น หันกลับมาเผชิญหน้ากับคนชุดดำ

คนอื่นๆล้วนตกใจกลัวแทบแย่ กรีดร้องออกมา พากันหลบไปด้านข้างของหลิ่วเฟย

“องค์หญิงใหญ่นี่ท่านจะใช้กำลังในพระราชวังต้าเยียนหรือ?” หลิ่วเฟยกล่าวอย่างเย็นชา

“พวกเจ้าไร้มารยาทก่อน รู้สถานการณ์ก็หลีกทางให้ข้าซะ!”

“แคว้นต้าเยียนข้าให้ความสำคัญกับมารยาทและพิธีการมาตลอด ตอนนี้ฝ่าบาทถูกพิษหมดสติ องค์หญิงใหญ่กระทำการเช่นนี้ คิดว่าต้าเยียนข้าเป็นที่ที่ท่านสามารถโอหังได้จริงหรือ หลีอ๋องซวนอ๋องมอบให้พวกเจ้าเป็นคนจัดการ!” หลิ่วเฟยกล่าวอย่างน่าเกรงขามและแสดงอำนาจ

“พ่ะย่ะค่ะ!” ซวนอ๋องหยิบถ้วยสุราที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมาและโยนลงไปบนพื้น

เสียงที่ดังชัดเจนดังมา ทุกคนยังไม่ทันได้ตอบสนองกลับมาว่าเกิดอะไรขึ้น คนชุดดำที่อยู่ในฝูงชนพวกนั้นพากันล้มลงเสียชีวิตไปกับพื้นกะทันหัน ตายอย่างแปลกประหลาดและคาดไม่ถึงอย่างมาก

“แย่แล้ว มีกับดัก ทุกคนช่วยองค์หญิงใหญ่!” คนชุดดำที่เป็นหัวหน้าเพิ่งจะพูดจบ จู่ๆหน้าผากก็มีรูเลือดปรากฏขึ้นมา เลือดสาดกระเซ็น อนาถเกินกว่าจะทนดูได้ ล้มลงไปเสียชีวิตกับพื้น

ทุกคนหวาดกลัวจนกรีดร้องออกมา “ผี มีผี——” ในกลุ่มคน คนคนหนึ่งตกใจจนตะโกนออกมา

“ผีที่เจ้าพูดถึงคือข้าหรือ?” จู่ๆหมิงจิ่วซางก็ปรากฏตัวขึ้น เข้าไปใกล้คนผู้นั้น

คนผู้นั้นตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ แต่เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือคนคนหนึ่ง ก็ถามขึ้นมาด้วยความตกตะลึง“เจ้าคือคน?”

“ไร้สาระ ข้าไม่ใช่คนจะช่วยพวกเจ้าได้ได้อย่างไร คนโง่ กล่าวให้ถูกต้องคือข้าเป็นคนของซวนอ๋อง ลูกกระจ๊อกพวกนี้ช่างอ่อนแอจริงๆ ข้ายังไม่ทันได้ลงมือก็ตายแล้ว ไก่อ่อน!” หมิงจิ่วซางกล่าวด้วยความรังเกียจ

ทุกคนถึงได้โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง สมกับเป็นซวนอ๋อง ถึงกับให้คนดักซุ่มเอาไว้นานแล้ว

เดิมทีองค์หญิงใหญ่แคว้นเทียนจิ่วนึกว่าตัวเองทำสำเร็จอย่างแน่นอน แต่แล้วเมื่อเห็นองครักษ์ลับของตัวเองบาดเจ็บล้มตายไปกว่าครึ่งในพริบตาเดียว ไม่มีกำลังตอบโต้ได้เลย ก็ตกใจไปอย่างสิ้นเชิง

นางรู้ว่าโม่เหลิ่งเหยียนเก่งกาจ แต่คิดไม่ถึงว่าจะเก่งกาจเช่นนี้ ถึงขึ้นพูดได้ว่าน่ากลัวด้วยซ้ำ ไม่เห็นคนของเขาลงมือด้วยซ้ำ ก็กำจัดองครักษ์ลับที่นางฝึนฝนมาอย่างดีไปอย่างง่ายดาย

น่าชิงชัง สมควรตาย

องครักษ์ลับคนอื่นๆยังไม่ทันได้พุ่งเข้ามา ก็ถูกยิงตายจนหมด ประเด็นคือพวกเขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองตายอย่างไร

ซวนอ๋องชำเลืองไปทางศพที่อยู่เต็มพื้น หันหน้ามองไปทางองค์หญิงใหญ่ที่สีหน้าซีดขาว“เด็กๆ พาองค์หญิงใหญ่ไปที่ห้อง!”

“ขอรับ!” กองทัพหลวงหน่วยหนึ่งเดินเข้ามา

ไหนเลยที่องค์หญิงใหญ่จะยังกล้าอวดดีอีก องครักษ์ลับหกเจ็ดสิบคนที่คัดเลือกมาอย่างดีตายไปหมดเช่นนี้ นางยังกล้าปฏิเสธอีกหรือ

ก่อนจากไปจี้อวี๋ยังไม่ลืมมองโม่เหลิ่งเหยียนอีกครู่หนึ่ง ซวนอ๋องคนนี้ช่างน่ากลัวจริงๆ

องค์หญิงใหญ่จากไปแล้ว คนอื่นๆก็ล้วนโล่งใจเปลาะหนึ่ง หลิ่วเฟยให้คนพาคนอื่นๆไปพักผ่อน หลีอ๋องให้คนมาจัดการกับศพ

เพียงแต่ในตอนที่เหลือบมองเห็นรูเลือดบนหน้าผากขององครักษ์ลับที่เป็นหัวหน้า นัยน์ตาสีดำของโม่ฉือหานหรี่ขึ้นมาเล็กน้อย

โม่เหลิ่งเหยียนฝึกฝนองครักษ์ลับที่น่ากลัวขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ พลังการต่อสู้เช่นนี้แม้แต่เขาก็ยอมรับว่าไม่สามารถสู้ได้ ดูท่าต่อไปเห็นเจ้าหมอนี้ต้องหลบหน่อยแล้ว

จอมนางข้ามภิภพ

จอมนางข้ามภิภพ

Status: Ongoing
นางเป็นบุตรีเอกแห่งจวนเฉิงเสี้ยง เป็นยัยอัปลักษณ์ไร้ค่าผู้ฉาวโฉ่ กลับมีรักแรกพบกับหลีอ๋อง คะยั้นคะยอจะอภิเษกสมรสกับหลีอ๋องอย่างไม่กลัวสิ่งใด ณคืนวันอภิเษกถูกหลีอ๋องทำอัปยศอดสูจนตายพอลืมตาขึ้นดันทะลุมิติมาอีกภพหนึ่งกลายเป็นศาสตราจารย์หมอพิษสมัยใหม่ควบสองบัณฑิต คนที่เคยรังแกนาง มันต้องเอาคืนเป็นร้อยเท่าพันเท่า นาง…จัดการกับพวกสันดานชั่วอย่างออกนอกหน้า หาเงินอย่างถ่อมตน มัสมบัติระรวยใต้หล้า เพื่อหลุดพ้นจากหลีอ๋อง เลยแต่งในฐานะนางสนมของซื่อจื่อ กลับคิดไม่ถึงว่าจะไปกระตุกหนวดเสือให้เข้าแล้ว เขาเป็นซื่อจื่อผู้ป่วยเสาะแสะ สุขุมอ่อนโยน เย็นชาเจ้าเล่ห์ ร่างมีพิษที่จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน หยุนถิงเป็นคนช่วยเขาแก้พิษ ทำให้เขากลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง เขาสาบานว่า จะอยู่กินกับนางแต่เพียงผู้เดียว หลังแต่งงาน นางนวดเอวที่ปวดอยู่ เตะเขาลงจากเตียง:“รับจดหมายรักจากหญิงอื่น ยังกล้ามานอนกับหม่อมฉันอีกรึ?” เขารีบอธิบาย:“น้องนาง ข้าผิดไปแล้ว ใครกล้ามาแย่งข้าไปจากเจ้า ข้าจะตัดขานางให้รู้แล้วรู้รอด” นางยักคิ้วหลิ่วตา:ก็ท่านนี่แหละที่เป็นต้นเหตุ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท