จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 587 เจ้าเคยคิดถึงข้าบ้างหรือไม่
“ซื่อจื่อเฟยพูดถูกต้องแล้ว!” เป่ยเย่เหอเสริม แต่ทำไมฟังน้ำเสียงซื่อจื่อเฟยแล้ว เขารู้สึกไม่ชอบมาพากล
ดวงตาเย็นเยียบของหยุนถิงเหล่มองเป่ยจิงจิงที่พื้น “ต่อให้เป็นเป่ยหมิงฉี่มายืนต่อหน้าข้าก็ไม่กล้าบังอาจเยี่ยงนี้ ครั้งนี้ข้าเห็นแก่หน้าเป่ยหมิงฉี่ละเว้นพวกเจ้าสักครั้ง หากมีครั้งหน้า ข้าไม่รังเกียจที่จะส่งซากศพของพวกเจ้าสองคนกลับไปให้เป่ยหมิงฉี่!”
น้ำเสียงเย็นเยียบ ทรงอำนาจอันตราย ทำเอาคนฟังสะท้านเยือก
นี่เป็นครั้งแรกที่เป่ยจิงจิงเห็นสายตาและบรรยากาศอันน่ากลัวของสตรี ตกใจยิ่งนัก นางดูน่ากลัวกว่าท่านพี่ไท่จื่อเสียอีก
“ซื่อจื่อเฟยสั่งสอนถูกแล้ว ต่อไปข้าจะต้องสั่งสอนน้องสาวให้ดีแน่!” เป่ยเย่เหอตอบอย่างนอบน้อม
หยุนถิงถึงดึงสายตากลับ ควักตั๋วเงินออกมาหนึ่งปึกทันที “เถ้าแก่ ไม่ต้องทอนแล้วนะ!”
เถ้าแกเหล่มองตั๋วเงินนั่นคือหนึ่งหมื่นตำลึง หนาเป็นปึก มีหลายล้านตำลึงได้เลย ดีใจจนยิ้มไม่หุบแล้ว “ซื่อจื่อเฟยใจป้ำนัก ข้าน้อยรับไว้แล้วกัน ใครก็ได้ รีบยกยาพวกนี้ขึ้นรถม้าซื่อจื่อเฟยเร็ว !”
คนรับใช้พุ่งเข้ามาทันที และยกกล่องพวกนั้นออกไปอย่างคล่องแคล่ว
“หลงเอ้อร์ พวกเราไป!” หยุนถิงหมุนตัวจากไป
“ขอรับ!”
คราวนี้เป่ยจิงจิงที่อยู่ที่พื้นบื้อใบ้ไปเลย “พี่ชายสาม องครักษ์เมื่อครู่นั่นคือหลงเอ้อร์ องครักษ์เงามังกรรึ?”
“ข้าเองก็เคยได้ยินมาเช่นกัน ว่ากันว่าจวินซื่อจื่อให้หลงเอ้อร์มาอยู่ข้างกายคุ้มครองหยุนถิง รับผิดชอบความปลอดภัยของนาง น้องหญิงหก ต่อไปเจ้าอย่าได้วู่วามผลีผลามเช่นนี้อีกนะ หยุนถิงมิใช่ผู้ใดที่เราจะหาเรื่องด้วยได้ ไท่จื่อยังต้องครั่นคร้ามนาง ดังนั้นพวกเราต้องระมัดระวังให้มาก” เป่ยเย่เหอกำชับ
สายตาเป่ยจิงจิงยังคงมองตามรถม้าของหยุนถิง จวบจนรถม้าลับสายตาไป นางก็ยังไม่เลิกมอง
“ที่แท้เขาคือหลงเอ้อร์ องครักษ์เงามังกรที่บารมีองอาจ สะท้านสะเทือนไปทั่วทั้งสี่แคว้นนั่น!”
ตอนนี้เป่ยจิงจิงไหนเลยจะยังมีความเดือดดาล เคียดแค้น ไม่พอใจเฉกเช่นเมื่อครู่ ดวงตางามเต็มไปด้วยแววเลื่อมใสและยินดี
“จิงจิง จิงจิง เจ้าเป็นอะไรน่ะ ทำไมแก้มแดงขนาดนี้ ไม่สบายตรงไหนหรือไม่?” เป่ยเย่เหอรีบเข้ามาพยุงนางทันที
เป่ยจิงจิงถึงได้สติกลับมา “ข้ามิเป็นไร พี่ชายสามพวกเรากลับกันเถอะ”
“ได้!”
อีกด้านหนึ่ง หยุนถิงไม่ได้กลับไปทันที แต่กลับไปจวนซวนอ๋อง
โม่เหลิ่งเหยียนเห็นหยุนถิงมา ก็ประหลาดใจมาก “นึกยังไงมาจวนข้า เกิดอะไรขึ้นงั้นรึ?”
“มิมีอะไร ข้าแค่แวะมาขอดื่มชา!” หยุนถิงตอบ
โม่เหลิ่งเหยียนมองท้องนางในทันที “ตอนนี้เจ้าดื่มชาไม่ได้ พ่อบ้านไปนำซูปหวานและขนมมา!”
“ขอรับ!” พ่อบ้านรีบไปจัดการทันที ไม่นานพ่อบ้านก็นำซูปหวานและขนมมา
หยุนถิงเองก็ไม่เกรงใจ หยิบมากินทันที “รสชาติไม่เลวจริงๆ!”
“หากเจ้าชอบ อีกครู่ตอนกลับเจ้าเอากลับไปด้วยสิ!” โม่เหลิ่งเหยียนบอก
“ได้!”
“ซวนอ๋อง หากเคราะห์กรรมของข้าเป็นจริงขึ้นมา ข้าหวังว่าท่านจะช่วยข้าดูแลจวินหย่วนโยว อย่าให้เขาคิดสั้น ให้เขามีชีวิตต่อไป!” จู่ๆหยุนถิงก็โพล่งขึ้นมา
มือที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อของโม่เหลิ่งเหยียนกำหมัดแน่น แต่สีหน้ายังคงเรียบเฉย “ห้ามพูดเหลวไหล จวินหย่วนโยวเตรียมวิธีป้องกันที่รอบด้านแล้ว ไม่มีทางให้เจ้าเป็นอะไรแน่!”
“ข้ารู้ เราต้องพลิกผันรับมือทุกสถานการณ์ หากทุกเรื่องล้วนอาจเกิดเหตุไม่คาดฝันได้ ข้าแค่เตรียมการหากเกิดเรื่องเลวร้ายที่สุด ดังนั้นหวังว่าท่านจะช่วยข้า!” หยุนถิงพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“เหตุใดต้องเป็นข้า เจ้าก็รู้ว่าข้ากับจวินหย่วนโยวมิถูกกันมิใช่รึ?” โม่เหลิ่งเหยียนคิ้วขมวดมุ่น
“ข้ารู้ และเพราะเหตุนี้ ดังนั้นท่านจึงเป็นผู้เดียวที่สามารถทำให้ซื่อจื่อลุกขึ้นยืนหยัดใหม่อีกครั้งได้ สิบกว่าปีก่อนนี้เขาใช้ชีวิตอย่างเหน็ดเหนื่อยมาก ลำบากมากเกินไป ข้าไม่อยากให้เขาต้องใช้ชีวิตยากลำบากไปอีกครึ่งชีวิตเพราะข้า
ภาระหน้าที่บนไหล่เขานั้นมันหนักเกินไป เขาไม่ควรเป็นเช่นนี้ ซื่อจื่อกับข้ารักใคร่ลึกซึ้งต่อกันมาก ข้ากลัวเขาจะแบกรับไม่ไหว ดังนั้นข้าต้องการความช่วยเหลือจากท่าน เรื่องนี้มีเพียงท่านเท่านั้นที่ทำได้!” หยุนถิงพูดอย่างจริงจัง
มีแววปวดร้าวขึ้นมาในสายตาโม่เหลิ่งเหยียน “หากเจ้าเป็นอะไรไป เจ้าคิดแต่จวินหย่วนโยว เจ้าเคยคิดถึงข้าบ้างหรือไม่?”
น้ำเสียงเย็นเยียบ แต่ละคำล้วนแฝงไปด้วยแววอาดูรและทำอะไรมิได้อย่างไร้ที่สิ้นสุด
ตัวหยุนถิงแข็งค้างทันที เธอไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตาโม่เหลิ่งเหยียน ได้แต่หันหน้าหนีไปทางอื่น
“ซวนอ๋อง ข้าเห็นท่านเป็นสหายรู้ใจ เป็นเพื่อนตายที่เหนือกว่าความเป็นความตาย หากขาดเพียงหัวใจรักเท่านั้น ข้าเคยบอกท่านนานแล้วว่า หัวใจข้าเล็กเกินไป จุซื่อจื่อได้เพียงคนเดียว ดังนั้นข้าขอโทษ!”
โม่เหลิ่งเหยียนเห็นนางไม่กล้ามองตนเอง ทั้งรู้สึกเศร้าใจและทอดถอนใจ เก็บแววเจ็บปวดในดวงตากลับลงไป
“หัวใจเจ้าข้ารู้มานานแล้ว จวินหย่วนโยวโชคดีกว่าข้าจริงๆ ได้รู้จักเจ้าก่อนข้า หากมีชาติหน้า ข้าจะต้องรู้จักเจ้าก่อนให้ได้
เมื่อครู่ข้าแค่ล้อเจ้าเล่นเท่านั้นเอง เจ้ามิต้องถือเป็นจริงจังไป ในเมื่อเจ้าเชื่อใจข้า เรื่องนี้ข้ารับปากเจ้า เจ้าวางใจเถอะ ขอเพียงข้ายังมีชีวิตอยู่ จะไม่มีทางให้จวินหย่วนโยวคิดสั้นแน่นอน!” โม่เหลิ่งเหยียนพูดเน้นย้ำทีละคำอย่างหนักแน่นมั่นคงนัก
“ขอบคุณมาก!” หยุนถิงถึงถอนหายใจโล่งอก
…………………..
อีกด้านหนึ่ง จวนซื่อจื่อ
เวลาอาหารเย็น จิ่งไป๋และม่อเซิงเอาแต่ฝึกซ้อม ลืมกินข้าว ตอนนี้จะเข้านอนแล้ว แต่ท้องของพวกเขากลับร้องโคร่กๆขึ้นมา หิวมาก
เด็กสองคนเลยแอบย่องไปห้องครัวท่ามกลางความมืดเพื่อหาของกิน
“จิ่งไป๋ ข้ารู้สึกว่าครั้งหน้าพวกเรากินอิ่มแล้วค่อยฝึกดีกว่า ไม่อย่างนั้น กลางค่ำกลางคืนอย่างนี้ คนอื่นจะคิดว่าพวกเรามาขโมยของนะ!” ม่อเซิงเบ้ปากบอก
“ข้าแค่ไม่อยากเป็นตัวถ่วง คราวหน้าเชื่อฟังเจ้าละกัน” จิ่งไป๋เห็นด้วย
เด็กสองคนเกือบจะถึงห้องครัวอยู่แล้ว แต่กลับเห็นเงาดำทำลับๆล่อๆอยู่ที่ห้องครัวพอดี ม่อเซิงดึงจิ่งไป๋ไว้ทันที
“ระวัง ห้องครัวมีคน!”
จิ่งไป๋เห็นเงาไม่ไกลนั่นก็ตะลึงเหมือนกัน
ตอนนี้กลางดึกสงบเงียบ คนของจวนซื่อจื่อหลับกันหมดแล้ว ห้องครัวไม่ได้จุดไฟ อาศัยแค่แสงจันทร์จางก็มองเห็นคนผู้นั้นได้ เขาอยู่ในชุดดำ มีผ้าปิดหน้าไว้
จิ่งไป๋คว้ามือม่อเซิงทันที “งั้นพวกเราทำยังไงดี ไปบอกซื่อจื่อดีหรือไม่?”
“เจ้าไป เจ้าวิ่งเร็ว ข้าจะจับตาดูอยู่ที่นี่ ระวังนะอย่าให้โดนจับได้!” ม่อเซิงกำชับ
ก่อนหน้านี้เขาโดนยัยเฒ่าโรคจิตนั่นทรมาน ร่างกายขาดสารอาหารไม่ได้รับการบำรุงมาเป็นเวลานาน ถึงจะฟื้นฟูขึ้นมาไม่นานเมื่อมาอยู่จวนซื่อจื่อนานขนาดนี้ แต่เรื่องวิ่งกระโดดหรือเรียนวรยุทธ์ ความเร็วของม่อเซิงก็ถือว่าช้ากว่าเด็กธรรมดาเล็กน้อย
เพราะยังไงเขาก็โดนทรมานแต่เล็ก อวัยภายในเสียหาย ดังนั้นเลยต้องทำการบำรุงดูแลเป็นระยะเวลานาน
“ได้ เจ้าระวังตัวด้วยนะ!” จิ่งไป๋ถอยกลับไปอย่างระวัง หมุนตัวจะวิ่งออกไป แต่กลับไม่ทันระวังเหยืยบโดนกิ่งไม้ในสวนเข้า เกิดเสียงขึ้น
คนชุดดำในห้องครัวได้ยินความเคลื่อนไหว มีดสั้นในมือส่อประกายคมปลาบ พุ่งเข้ามาทันที
จิ่งไป๋ตะลึงอึ้ง ยืนไม่ขยับเลย
“จิ่งไป๋ รีบหนี!” ม่อเซิงร้องเสียงดังขึ้นมาทันที
จิ่งไป๋ไม่สนใจอะไรอีก รีบวิ่งหนีทันที
คนชุดดำเหลือบเห็นม่อเซิงที่อยู่ใกล้ตนมากกว่า สีหน้าเขาเคียดแค้นอำมหิต สะบัดมีดสั้นแทงใส่ม่อเซิงทันที
“ไอ้เด็กเลว หาเรื่องตาย!”