จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 594 หากข้าไม่กัดคนเล่า
“ท่านอา ทำไมจู่ๆท่านก็จามเล่า?” หยุนหลีมองมาอย่างสงสัย
“ข้าแค่ไม่สบายเล็กน้อยเท่านั้น!” เสวี่ยเชียนโฉวอ้าง เขาจะยอมรับได้อย่างไรว่าตนก็คือไอ้สารเลวที่นางว่าน่ะ
“ท่านต้องใส่เสื้อผ้าให้มากหน่อยนะ ตอนนี้เข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้ว อากาศเริ่มเย็นแล้ว” หยุนหลีปลอบ ไม่ได้คิดอะไรมาก
เสวี่ยเชียนโฉวเห็นนางมิได้ซักไซ้ต่อ ก็แอบถอนหายใจโล่งอก
องครักษ์ลับด้านข้างกับเจ๋ออวี่มองกันอึ้งบื้อไปเลย นี่ยังเป็นเจ้าอุทยานที่เย็นชากระหายเลือดและฝีมือโหดเหี้ยมคนนั้นของพวกเขาอีกรึ เขามิกล้ายอมรับออกมาต่อหน้าสาวน้อยคนหนึ่ง ทำให้ทุกคนตกตะลึงจริงๆ
ไม่นาน เสวี่ยเชียนโฉวพาหยุนหลีมายังห้องตนเอง พลางเดินไปที่หน้าตู้หนึ่งหยิบกล่องหนึ่งลงมา “ นี่เป็นยาที่ช่วยลดอาการบวม ทาเองเถอะ”
“ขอบคุณท่านอานัก!” หยุนหลีรับมา เปิดออก และควักยาในนั้นออกมาละเลงบนมือที่บวมแดงนั่นเสียหลายที จากนั้นท้องนางก็ดังโครกๆ
“ท่านอา ข้าหิวแล้ว!”
“ใครก็ได้!” เสวี่ยเชียนโฉวแค่นเสียงเย็น
องครักษ์ด้านนอกรีบพุ่งเข้ามาทันที “เจ้า—-“ คำว่าอุทยานยังไม่ทันพูดออกมา ก็โดนสายตาเย็นเยียบของเสวี่ยเชียนโฉวสะกดไว้ทันที
“เจ้าไปบอกห้องครัว ให้ส่งอาหารเลิศรสมาโต๊ะหนึ่ง!” เสวี่ยเชียนโฉวออกคำสั่ง
“ขอรับ!” องครักษ์รีบออกไปทันที
ไม่นาน องครักษ์ก็พาคนรับใช้ยกอาหารเลิศรสโต๊ะหนึ่งเข้ามา และจัดวางลงเต็มโต๊ะ
“ไอ้โหย ท่านอา อาหารของบ้านท่านอุดมสมบูรณ์มากนี่นา!” หยุนหลีเดินเข้ามา หยิบตะเกียบขึ้นมาเริ่มกิน สวาปามยกใหญ่
เสวี่ยเชียนโฉวยิ้มมุมปาก สตรีนางอื่นกินนิดเดียวก็อิ่มแล้ว หรืออาจมิค่อยกล้ากิน นังหนูนี่เสียอีก สวาปามกินคำโต ราวกับไม่ได้กินข้างมาแปดชาติก็ไม่ปาน
หากมิได้รู้มาก่อนว่านางเป็นลูกสาวตระกูลหยุน เสวี่ยเชียนโฉวต้องสงสัยแน่ว่า นังหนูนี่โดนที่บ้านทรมานไม่ยอมให้กินข้าวแน่
“ท่านอา เทน้ำให้ข้าจอกหนึ่งสิ”
นังหนูกล้าใช้ตน แต่เห็นแก่ที่นางกำลังกินอย่างเอร็ดอร่อย เสวี่ยเชียนโฉวก็ไม่ได้ปฏิเสธ นิ้วมือเรียวยาวหยิบกาน้ำชามาเทน้ำหนึ่งจอกยื่นให้หยุนหลี
หยุนหลีรับมาดื่มทันที “ขออีกแก้ว!”
เสวี่ยเชียนโฉวใบ้กิน นังหนูนี่ไม่เห็นตนเองเป็นคนนอกจริงๆ
อาหารมื้อหนึ่ง หยุนหลีกินอย่างพอใจนัก นางลูบหน้าท้องกลมตึงของตนอย่างพึงพอใจ “ในที่สุดก็ได้กินอิ่มสักมื้อหนึ่ง!”
“จวนตระกูลหยุนไม่ให้ข้าวเจ้ากินรึ?” เสวี่ยเชียนโฉวถาม
“ไม่ใช่อยู่แล้ว อาหารของจวนตระกูลหยุนข้ากินมาตั้งแต่เล็กจนโต กินจนเบื่อแล้ว อาหารบ้านท่านนี่รสชาติไม่เลวจริงๆ” หยุนหลีชมเชย
“หากเจ้าชอบ ต่อไปก็มาได้บ่อยๆนะ!” ตอนเสวี่ยเชียนโฉวพูดออกมา เขาเองยังแปลกใจ
ทั้งๆที่เขาให้คนไปจับตัวนางมา คิดจะสั่งสอนนางสักหน่อย สุดท้ายทำไมกลายเป็นว่านังหนูมาเป็นแขกไปเสียได้นี่ เจ้าหนี้อย่างตนนี่ทำหน้าที่ไม่ดีเอาเสียเลยนะ
“ในเมื่อโดนลักพาตัวมา พอฟื้นแล้วเหตุใดจึงมิหนีเล่า?” เสวี่ยเชียนโฉวถามอย่างสงสัย
“ทำไมต้องหนีด้วยเล่า ข้ายังหาตัวไอ้สารเลวที่ลักพาตัวข้ามาไม่เจอเลย ข้าจะต้องจับมันสับเป็นหมื่นๆชิ้นก่อนค่อยกลับไป อีกอย่างมีท่านอาอยู่นี่นา ข้าไม่กลัวดอก!” หยุนหลีเบ้ปากบอก
ตอนนี้เสวี่ยเชียนโฉวไม่รู้จะพูดอะไรดีแล้วจริงๆ หากนังหนูนี่รู้ว่าตนจับตัวนางกลับมา คงต้องอาละวาดหนักแน่
ด้านนอกเรือน เสียงเอ็ดตะโรดังขึ้น
เจ๋ออวี่เข้ามารายงานว่า “นายท่าน พวกผู้อาวุโสฉีมากันหมดเลย น่ากลัวจะเป็นเพราะเกิดเรื่องไฟไหม้ในเรือน ทำให้พวกเขาตกใจกัน!”
หยุนหลีเบ้ปาก นางไม่มีทางยอมรับหรอกว่าตนเป็นคนวางเพลิง
“ท่านอา ข้าง่วงแล้ว” หยุนหลีพุ่งไปที่เตียงทันที และเอนลงแกล้งหลับทันที
เสวี่ยเชียนโฉวเฉลียวฉลาด มองออกถึงข้ออ้างของหยุนหลีทันที “ไปเถอะ ข้าจะไปดูหน่อย!”
หยุนหลีแอบฟังพวกเขาเดินไปไกลแล้ว ก็รีบลุกขึ้นจากเตียงมาปิดประตูอย่างรวดเร็ว ถึงได้ถอนหายใจโล่งอก
อีกด้านหนึ่ง เสวี่ยเชียนโฉวพาองครักษ์มุ่งตรงไปที่ห้องโถงด้านหน้า ในนั้นมีคนแก่อายุมากยืนอยู่ประมาณเจ็ดแปดคน
พอทุกคนเห็นเจ้าอุทยาน ก็พากันคารวะอย่างนอบน้อมทันที
“เจ้าอุทยาน เกิดไฟไหม้ในอุทยานได้อย่างไรกัน?”
“อุทยานของเราไม่เคยเกิดไฟไหม้มาสิบกว่าปีแล้ว มีคนวางเพลิงใช่หรือไม่?”
“เจ้าอุทยาน นี่มิใช่เรื่องเล็กเลย ต้องสืบให้แน่ชัด!”
“ผู้ใดทำกันแน่ กล้ามาวางเพลิงอุทยานตระกูลเสวี่ย จะละเว้นไม่ได้เด็ดขาด!”
เหล่าผู้อาวุโสพูดกันคนละคำ และสอบถามออกมากันหมด พากันกังวลยิ่งนัก
องครักษ์ลับได้ยินแล้วอดขมวดคิ้วไม่ได้ หันมองเจ้าอุทยานของตนในบัดดล
ส่วนเสวี่ยเชียนโฉวสีหน้าเย็นชาเย็นเยียบ เหล่มองทุกคนอย่างรำคาญ “ทุกคนไม่ต้องกระต่ายตื่นตูมปานนี้ดอก แค่ไฟไหม้เท่านั้นเอง เรื่องนี้ข้าให้คนไปสืบแล้ว ไม่ได้ทำความเสียหายอันใดกับอุทยาน”
“เจ้าอุทยาน นี่มิใช่เรื่องเสียหายหรือมิเสียหายนะ การป้องกันของอุทยานตระกูลเสวี่ยเราน่ะแน่นหนานัก คนรับใช้ยิ่งผ่านการฝึกฝนมาโดยเฉพาะ จู่ๆจะมาเกิดข้อผิดพลาดเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?” ผู้อาวุโสฉีพูดอย่างเข้มงวด
“ข้ารู้ว่าทำไมอุทยานถึงไฟไหม้!” น้ำเสียงแหลมเสียดหูดังมา เสวี่ยรั่วหย่าเดินเข้ามาพอดี
เดิมนางกลับไปกักบริเวณแล้ว แต่ยิ่งคิดยิ่งเดือดดาล นางเป็นถึงคุณหนูใหญ่แห่งอุทยานตระกูลเสวี่ย พี่ใหญ่กลับกักบริเวณนางเพื่อคนนอกคนหนึ่ง เสวี่ยรั่วหย่าโกรธจัด ได้ยินว่า เหล่าผู้อาวุโสแล่นมาที่อุทยานเพราะเรื่องไฟไหม้ เสวี่ยรั่วหย่ารู้สึกว่าโอกาสมาแล้ว ก็รีบวิ่งมาฟ้องทันที
ต่อให้พี่ใหญ่เก่งกาจแค่ไหน แต่เหล่าผู้อาวุโสมากันมากมายขนาดนี้ เสวี่ยรั่วหย่าก็ไม่กลัวแล้ว พี่ใหญ่คงไม่อาจจัดการตนเองต่อหน้าผู้อาวุโสทั้งหมดได้หรอก
เหล่าผู้อาวุโสมองมา “คุณหนูใหญ่ เพราะเหตุใดจึงไฟไหม้กันแน่?” เหล่าผู้อาวุโสสอบถาม
“เพราะมีคนนอกบุกเข้ามาในอุทยาน คนนอกคนนั้นเป็นผู้วางเพลิง และตอนนี้มันก็อยู่ในห้องของพี่ใหญ่ด้วย!” เสวี่ยรั่วหย่าพูดขึ้นเสียงดัง
ทุกคนพากันตกตะลึง มองไปยังเสวี่ยเชียนโฉวอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
“เจ้าอุทยาน เป็นเรื่องจริงรึ?”
เสวี่ยเชียนโฉวสีหน้าเย็นเยียบ ดวงตาดำขลับคมปลาบดุจใบมีด ถลึงตามองเสวี่ยรั่วหย่าอย่างเย็นชา “ข้ากักบริเวณเจ้าแล้วมิใช่รึ!”
เสวี่ยรั่วหย่าตกใจตัวสั่นเทา ตแต่นางทำใจยอมแพ้ให้กับคนนอกคนหนึ่งมิได้ นางสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ทำใจกล้าบอกว่า “พี่ใหญ่ เหตุใดท่านต้องเข้าข้างคนนอกคนหนึ่งที่วางเพลิงอุทยานด้วยเล่า ข้าต่างหากที่เป็นน้องสาวแท้ๆของท่านนะ?”
เสวี่ยเชียนโฉวถลึงตาเกรี้ยวกราดใส่ว่า “หุบปาก!”
นางไม่เห็นหยุนหลีวางเพลิงด้วยซ้ำ และไม่มีทางมีคนรู้ เพราะคนที่รู้เรื่องนี้มีเพียงองครักษ์ลับเท่านั้น แต่เพื่อแก้แค้นหยุนหลี เสวี่ยรั่วหย่ากลับจงใจพูดปด มันทำให้เสวี่ยเชียนโฉวรังเกียจนางยิ่งนัก
“เจ้าอุทยาน คุณหนูใหญ่พูดเรื่องจริงรึ คนร้ายที่วางเพลิงอยู่ในห้องท่านจริงรึ?” ผู้อาวุโสฉีถาม
“ท่านเป็นเจ้าอุทยานแห่งอุทยานตระกูลเสวี่ยของเรา เหตุใดเข้าข้างคนนอกเล่า อีกทั้งยังเป็นคนร้ายวางเพลิงด้วย?”
“อุทยานตระกูลเสวี่ยก่อตั้งมาเป็นร้อยปี ไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนี้มาก่อน หากเจ้าอุทยานท่านไม่มอบคนออกมา อย่าหาว่าพวกข้าไม่เกรงใจนะ!” เหล่าผู้อาวุโสพากันเดือดดาลยิ่งนัก พากันบีบคั้นเขาหนัก
เดิมพวกเขาก็ไม่ชอบหน้าเสวี่ยเชียนโฉวอยู่แล้ว หากมิใช่เพราะติดที่การกดขี่ทรงอำนาจของเขา คงมิได้จับจุดอ่อนเขาในตอนนี้ได้ เหล่าผู้อาวุโสย่อมไม่มีทางยอมปล่อยโอกาสนี้ไปอยู่แล้ว
เส้นเลือดที่ขมับเสวี่ยเชียนโฉวปูดโปน ใบหน้าเย็นชาประดุจภูเขาน้ำแข็งหมื่นปี ดวงตากระหายเลือดปรายมองผู้อาวุโสเหล่านั้น “หากข้าไม่มอบออกมาเล่า?”