จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 918 พวกเราอยู่ด้วยกันเถอะ
จูบครั้งหนึ่งนี้ เริ่นเซวียนเอ๋อร์รวบรวมความกล้าหาญที่มีทั้งหมดขึ้นมา
ความจริงนางชอบกู้จิ่วเยวียนมานานแล้ว แม้ว่าสุขภาพของเสด็จอาเก้าจะไม่ดี แต่เขามีความรู้ความสามารถมากมาย เย็นชาสง่างาม สุขุมปราดเปรียว มีการวางแผนเสด็จศึกในภายหลัง ไม่ใกล้ชิดสนิทสนมกับคนอื่น แต่อ่อนโยนเอาใจใส่ดูแลตัวนางเองเพียงแค่ผู้เดียว
เริ่นเซวียนเอ๋อร์มีการติดต่อกับหยุนถิงอยู่ตลอด มักจะเขียนจดหมายถึงหยุนถิงเป็นประจำ ทั้งสองคนหารือเกี่ยวกับสภาพร่างกายของกู้จิ่วเยวียน แม้แต่ยาโอสถที่กู้จิ่วเยวียนกินอยู่ตอนนี้ก็เป็นยาที่หยุนถิงกลั่นปรุง
หากไม่ใช่เพราะแคว้นเทียนจิ่วเกิดการรัฐประหาร เริ่นเซวียนเอ๋อร์ก็คิดเพียงแต่จะใช้ชีวิตอย่างสันโดษในป่าเขากับเสด็จอาเก้า เป็นคู่สามีภรรยาที่ไม่ถามไถ่ต่อเรื่องภายนอก
ตอนนี้นางสืบทอดตำแหน่งกษัตริย์ กลายเป็นจักรพรรดินี เริ่นเซวียนเอ๋อร์ไม่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องการเมืองการบริหารประเทศสักน้อย หากไม่มีการช่วยเหลือของเสด็จอาเก้า เกรงว่านางคงจะสับสนวุ่นวายจนเป็นโจ๊กหม้อหนึ่งไปนานแล้ว
สิ่งแรกที่เริ่นเซวียนเอ๋อร์ขึ้นครองบัลลังก์คือการแต่งตั้งกู้จิ่วเยวียนเป็นเซ่อเจิ้งอ๋อง เพื่อทำให้เริ่นเซวียนเอ๋อร์คุ้นเคยกับราชสำนักการเมืองโดยเร็วที่สุด กู้จิ่วเยวียนจึงย้ายเข้ามาในวัง
ตลอดเวลาที่ทั้งสองคนอยู่ร่วมกัน เริ่นเซวียนเอ๋อร์ก็ยิ่งถูกความเฉลียวฉลาดของเขาทำให้พ่ายแพ้ และพึ่งพาอาศัยเขามากยิ่งขึ้น นางพบว่าเสด็จอาเก้าถึงจะเป็นคนมีความสามารถในการปกครองประเทศที่ดี
เริ่นเซวียนเอ๋อร์เสนอที่จะสละราชบัลลังก์ให้กับกู้จิ่วเยวียน แต่ถูกกู้จิ่วเยวียนปฏิเสธ และนางก็เคยสารภาพความในใจกับกู้จิ่วเยวียนแล้ว ก็ยังถูกเขาปฏิเสธอีก
เวลานี้ ระยะห่างของคนทั้งสองคนมาจนถึงตอนนี้ ก็กั้นไว้ด้วยผ้าบางๆ เริ่นเซวียนเอ๋อร์สามารถสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิร่างกายของกู้จิ่วเยวียน ร้อนจนทำให้คนตกใจ
ครั้งนี้ เริ่นเซวียนเอ๋อร์ไม่อยากหักห้ามความรู้สึกของตัวเองอีกต่อไป ชอบก็ไล่ตามอย่างกล้าหาญ นางไม่อยากพลาดผู้ชายดีๆอย่างเสด็จอาไป
กู้จิ่วเยวียนตัวแข็งทื่อไปทั้งตัว มองไปทางเริ่นเซวียนเอ๋อร์ที่อยู่เบื้องหน้าด้วยความตะลึง แต่เริ่นเซวียนเอ๋อร์กลับปิดตาแน่นสนิท ขนตาบางๆราวกับปีกของจักจั่นสั่นไหวเล็กน้อย กู้จิ่วเยวียนสามารถสัมผัสได้ถึงความรู้สึกตื่นเต้นและความอายของเริ่นเซวียนเอ๋อร์
รับรู้สึกถึงความอ่อนนุ่มของริมฝีปาก พร้อมกับความหวานสดชื่นจางๆ กู้จิ่วเยวียนรู้สึกเพียงเลือดในร่างกายเดือดพล่านไปหมด ท้องน้อยกระชับอย่างฉับพลัน ร่างกายแข็งทื่อดั่งก้อนหินเช่นนั้น
เขารู้ความคิดจิตใจของเริ่นเซวียนเอ๋อร์มาโดยตลอด ก่อนหน้านี้ปฏิเสธไปก็เพราะสุขภาพร่างกายของตัวเอง แม้ว่าจะดีขึ้น แต่เขาก็รู้ว่าตัวเองอยู่ได้อีกไม่เกินสามปี ไม่อยากถ่วงรั้งเริ่นเซวียนเอ๋อร์ไว้ด้วยเหตุนี้
ณ เวลานี้ พวกเขาทั้งสองกอดกันอยู่เช่นนั้น ลมหายใจเกี่ยวพันกันและกัน ดวงตาทั้งสองข้างของกู้จิ่วเยวียนแดงก่ำ ฝืนทนต่อความวู่วามของร่างกาย มือใหญ่ๆต้องการจะดึงนางออกไป
แต่มือของเริ่นเซวียนเอ๋อร์โอบคอเขาไว้แน่นยิ่งขึ้น “เสด็จอาเก้า ข้าชอบท่าน พวกเราอยู่ด้วยกันเถอะนะเพคะ!”
เสียงที่สดใสชัดเจน พร้อมด้วยความเขินอายของหญิงสาว ดังก้องวนเวียนอยู่ข้างหูของกู้จิ่วเยวียน ไม่ทันรอให้เขาดึงสติได้ เริ่นเซวียนเอ๋อร์ ก็จูบเข้าไปอีกครั้ง
จูบของนางเป็นเหมือนนาง บุ่มบ่าม รีบด่วน แต่ก็กลับไม่มีประสบการณ์ ทำให้กู้จิ่วเยวียนเจ็บหลายครั้ง แต่กู้จิ่วเยวียนก็ไม่ได้โกรธ
ฉับพลันนั้นอาการเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่หน้าอกก็แผ่เข้ามา กู้จิ่วเยวียนขมวดคิ้วแน่นเป็นก้อน มองดูสาวน้อยเบื้องหน้าแวบหนึ่ง ก็ยังคงตัดใจดึงมือของนางออกจากคอของตัวเองอยู่ดี
“ฝ่าบาทควรพักผ่อนแล้ว ข้าก็ควรกลับไปแล้วเช่นกัน!” กู้จิ่วเยวียนพูดจบประโยคหนึ่ง ก็หมุนตัวจากไปโดยไม่หันมามอง
เริ่นเซวียนเอ๋อร์มองดูเงาหลังของเสด็จอาเก้า เบ้าตาก็แดงในทันที รู้สึกน้อยใจเป็นอย่างยิ่ง
ตัวเองเริ่มก่อนขนาดนี้ ทำไมเขาถึงยังไม่ยอมรับอีก หากบอกว่าไม่ชอบตัวเอง เริ่นเซวียนเอ๋อร์สามารถเข้าใจได้ แต่นางรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเสด็จอาเก้าก็ชอบตัวเอง
เริ่นเซวียนเอ๋อร์ลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะหนังสือด้วยความหงุดหงิดและกระวนกระวายใจ เขียนจดหมายยาวกว่าสิบหน้า ให้คนส่งไปให้หยุนถิงอย่างเร่งด่วน
ผู้ชายห่วยแตกที่จัดการยากอย่างจวินหย่วนโยวหยุนถิงยังสามารถจัดการได้ คิดว่านางจะต้องมีวิธีช่วยตัวเองแน่
และหลังจากที่กู้จิ่วเยวียนออกไป เพิ่งจะเดินออกจากประตูได้ไม่กี่ก้าว สีหน้าก็ซีดเผือดอย่างฉับพลัน กุมหน้าอกของตัวเองด้วยสัญชาตญาณ
“ท่านอ๋องท่านไม่สบายอีกแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ” ทันทีที่คนสนิทที่เฝ้าอยู่นอกตำหนักเห็นเข้า ก็รีบประคองกู้จิ่วเยวียนไว้ในทันใด
“ข้าไม่เป็นไร ห้ามบอกฝ่าบาท!” กู้จิ่วเยวียนกล่าวกำชับ
“พ่ะย่ะค่ะ!”
กลับห้องของตัวเอง กู้จิ่วเยวียนชำเลืองมองไปยังเทียนสีแดงที่จุดไว้ จิตใจว้าวุ่นจนไม่ไหว เขายื่นมือไปสัมผัสริมฝีปากบางๆของตัวเองโดยไม่รู้ตัว ตรงนั้นยังคงมีรสชาติของเริ่นเซวียนเอ๋อร์เหลือไว้อยู่น้อยนิด
สาวน้อยคนนี้กล้าหาญซะจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะจูบตัวเอง มุมปากของกู้จิ่วเยวียนวาดขึ้นเป็นรอยยิ้มเล็กน้อยที่ตัวเขาเองก็ไม่เคยได้สังเกตเห็น
แต่คิดถึงร่างกายของตัวเอง ความอ่อนโยนที่มีอยู่น้อยนิดบนใบหน้าของกู้จิ่วเยวียนก็ถูกแทนที่ด้วยความหดหู่และความเจ็บปวดในทันที
ทำไมเขาจะไม่อยากอยู่กับเริ่นเซวียนเอ๋อร์ นางคือแสงอาทิตย์ลำแสงเดียวในชีวิตของกู้จิ่วเยวียน แต่น่าเสียดายที่ตัวเขาเองถูกลิขิตไว้ว่าไม่สามารถครอบครองได้
เขาคิดเพียงแค่อยู่เป็นเพื่อนกับนางในระหว่างที่มีชีวิตอยู่ ปกป้องนาง ดูแลนาง ก็เพียงพอ
วันรุ่งขึ้น เริ่นเซวียนเอ๋อร์ลุกขึ้นมาจัดการบริหารราชการตามปกติ แต่กู้จิ่วเยวียนกลับเก้ๆกังๆและมีความระมัดระวังเล็กน้อย ไม่รู้ว่าควรจะเผชิญหน้ากับเริ่นเซวียนเอ๋อร์ยังไง
“เสด็จอาเก้า ข้ากล้ารักกล้าเกลียดมาโดยตลอด ในเมื่อท่านไม่ชอบข้า ข้าก็จะไม่เกาะแกะรังควานท่านอีกต่อไป ต่อไปนี้ข้าและท่านก็ยังเป็นเหมือนเมื่อก่อน เรื่องเมื่อคืนของข้าท่านไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ” เริ่นเซวียนเอ๋อร์กล่าวด้วยความหนักแน่น
แต่ไหนแต่ไรมาเมื่ออยู่ต่อหน้ากู้จิ่วเยวียนนางไม่เคยแทนตัวเองว่าเจิ้น(คำเรียกตัวเฉพาะของฮ่องเต้ หมายความว่าข้า)มาก่อน
“ได้พ่ะย่ะค่ะ!” กู้จิ่วเยวียนพยักหน้า แม้ว่านี่จะเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด แต่ไม่รู้ทำไมจิตใจของกู้จิ่วเยวียนถึงได้รู้สึกถึงความหดหู่เช่นนี้
สามวันผ่านไป วันที่สี่ในตอนเช้าตรู่ กู้จิ่วเยวียนกำลังจะไปท้องพระโรง อยู่ไกลๆก็เห็นคุณชายหนุ่มมากมายรออยู่ด้านนอกท้องพระโรง
เดิมทีเขาอยากจะไปถามเริ่นเซวียนเอ๋อร์ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เดินได้ครึ่งทางก็ได้ยินนางกำนัลสองคนกำลังสนทนากัน
“ทำไมวันนี้ถึงได้มีคุณชายวัยหนุ่มเข้าวังมามากมายเช่นนี้ล่ะ?” นางกำนัลผู้หนึ่งถามขึ้น
“เลือกพระสนมชายไงล่ะ ฝ่าบาทของเราก็ไม่ใช่เด็กแล้ว และควรมีครอบครัวแล้ว ตอนนี้วังหลังยังไม่มีผู้ใด ฝ่าบาทก็จำเป็นต้องมีคนสนิทที่ห่วงใยตนเองน่ะสิ”
“ทีแรกข้ายังคิดว่าฝ่าบาทจะได้อยู่กับเซ่อเจิ้งอ๋องแล้ว สุดท้ายก่อนหน้านี้ไม่นานข้าได้เห็นว่าเซ่อเจิ้งอ๋องปฏิเสธฝ่าบาทเข้าโดยบังเอิญ ฝ่าบาททรงโทมนัสยิ่งนัก ร้องไห้พระองค์เดียวตั้งนาน ข้าคิดว่าฝ่าบาทน่าจะถูกเซ่อเจิ้งอ๋องทำให้เจ็บเข้าจริงๆแล้ว จึงได้ต้องการเลือกพระสนมชาย!”
“ข้าว่าคุณชายหูและคุณชายหลิ่วก็ไม่เลว พวกเขาเป็นถึงคนที่มีความสามารถโดดเด่นในหมู่คนในเมืองหลวงเชียว ไม่แน่ฝ่าบาทอาจจะพอพระทัยพวกเข้าก็ได้!”
บรรยากาศรอบตัวกู้จิ่วเยวียนเย็นยะเยือกขึ้นในพริบตา ดวงตาสีดำดั่งหมึกอันเฉียบคมเพ่งมองมาด้วยความโกรธ “วิพากษ์วิจารณ์ฝ่าบาทเพ้อเจ้อ ใครให้ความกล้ากับพวกเจ้า!”
เสียงอันเยือกเย็นดังมาจากข้างหลังอย่างกะทันหัน นางกำนัลทั้งสองตกใจรีบคุกเข่าลงร้องขอความเมตตาทันที “เซ่อเจิ้งอ๋องโปรดไว้ชีวิตด้วยเพคะ บ่าวผิดไปแล้ว ต่อไปบ่าวไม่กล้าแล้วเพคะ”
“ไสหัวไปโรงซักผ้า หากมีครั้งหน้าข้าจะให้คนตัดลิ้นพวกเจ้าซะ!” กู้จิ่วเยวียนคำรามด้วยความโกรธ
“เพคะ!” นางกำนัลรีบหนีไปทันที
แต่เมื่อนางกำนัลทั้งสองเดินมาถึงระเบียงอีกด้าน ก็ทำความเคารพต่อโจวมามาอย่างนอบน้อม “มามา พวกเราทำตามคำสั่งที่ท่านบอกแล้วเจ้าค่ะ!”
“ไม่เลว ถอยไปเถอะ!” โจวมามามองไปทางเงาหลังอันโกรธเกรี้ยวของกู้จิ่วเยวียน นัยน์ตามีความพอใจแวบผ่าน
นางก็คือแม่นมของเริ่นเซวียนเอ๋อร์ ตอนนี้ก็เป็นมามาที่อยู่ข้างกายของนาง เห็นฝ่าบาทรักใคร่เซ่อเจิ้งอ๋องอย่างลึกซึ้งแต่มักจะถูกปฏิเสธอยู่เสมอ โจวมามาก็สงสารฝ่าบาทเป็นธรรมดา
หวังว่าการทำเช่นนี้ในวันนี้ จะสามารถทำให้เซ่อเจิ้งอ๋องรู้ใจตัวเองอย่างกระจ่างได้สักที
ตำหนักบรรทม เริ่นเซวียนเอ๋อร์สวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่ได้คาดเข็มขัดเท่านั้น มือทั้งสองของนางผายออกพอดี จากนั้นด้านหลังก็มีมือใหญ่ๆสองข้างเอื้อมเข้ามา ช่วยนางรัดเข็มขัด
“ซิ่นเอ๋อร์เจ้าว่าวันนี้ข้าเลือกผู้ชายสักสามสี่คนดีหรือไม่ ได้ยินมาว่าคุณชายที่มาในวันนี้ล้วนแต่เป็นอันดับต้นๆของเมืองหลวง ทั้งยังมีทักษะวิชาที่เลิศล้ำกันหมด ต่างว่ากันว่าวังหลังมีหญิงงามสามพันนาง อย่างน้อยข้าก็ต้องเลือกสักสี่พัน มีทุกรูปแบบเช่นนี้ถึงจะมีความคึกคัก!” เริ่นเซวียนเอ๋อร์เอ่ยถาม
“เจ้าเอาแต่ใจไปมากเกินไปไหมล่ะ!”
เสียงที่คุ้นเคยอันเย็นชา ดังมาจากด้านหลัง