Ch.64 – ราชันย์สัตว์เสี่ยวไป๋
Translator : Muntra / Author
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.64 – ราชันย์สัตว์เสี่ยวไป๋
“ฉันคิดว่าด้วยเจ้าสิ่งนี้ ท่านปู่น้อยน่าจะหายโกรธนะ” ฉินเฟิงถือห่อพัสดุในมือ ลงจากหลังคา ตรงไปหน้าห้องนอนชั้นสอง และเคาะประตูสองสามครั้ง
“เสี่ยวไป๋ ฉันเอาของขวัญมาให้ ลองเปิดออกมาดูสิว่าแกชอบไหม?” ฉินเฟิงกล่าว
เสี่ยวไป๋ที่อยู่ภายในไม่มีการตอบสนองใดๆ ทำทีราวกับไม่ได้ยิน
“นี่เป็นแก่นพลังงานเลยนะ ของโปรดแกไง!” ฉินเฟิงกระตุ้นอีกครั้ง
คราวนี้ ในที่สุดก็มีการเคลื่อนไหว บังเกิดเสียงกริ๊ก! และประตูก็ค่อยๆแง้มออก
ฉินเฟิงเดินเข้าไปในห้องนอน และพบว่าหลังจากเปิดประตู เสี่ยวไป๋ก็กระโจนกลับไปทิ้งตัวลงบนหมอน ยังคงแสดงท่าทีท่าไม่สนใจฉินเฟิง
“มันเป็นของอร่อยมากเลยนา นี่คือแก่นพลังงงานที่เปี่ยมไปด้วยพลังมากที่สุดที่ฉันหามาได้ ฉันขอใช้มันไถ่โทษกับแกจะได้ไหม?”
ฉินเฟิงเกลี้ยกล่อมเสี่ยวไป๋ การกระทำเช่นนี้ช่างดูเหมือนกับว่าพ่อกำลังง้อลูกสาวอยู่เลย
ก็เสี่ยวไป่ไม่โตขึ้นสักที เป็นเจ้าก้อนขนปุกปุยน่ารักขนาดเท่าสองฝ่ามือ เมื่อถูกสิ่งมีชีวิตตัวน้อยน่ารักเช่นนี้งอน แล้วผู้คนจะไม่ง้อได้อย่างไร?
กระทั่งฉินเฟิงที่สังหารผู้คนไปแล้วมากมาย พอมาเจอเสี่ยวไป๋เข้า เขากลับไม่กล้าที่จะทำร้ายมันแม้เส้นขน
ความรู้สึกนี้ มันได้ไกลเกินกว่าความรู้สึกสำนึกคุณ ที่เสี่ยวไป๋เคยช่วยชีวิตเขาเอาไว้แล้ว
บางที อาจเป็นสัญญาณ หรือไม่ก็เพราะหลายวันที่ผ่านมา ทั้งสองได้ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กัน
ดังนั้นฉินเฟิงจึงรู้สึกได้ ว่าเสี่ยวไป๋ยังไงก็ไม่มีทางที่จะทิ้งเขาให้นอนนอกห้องคนเดียว
“ฮึ่ม!”
เสี่ยวไป๋เปล่งเสียงน้อยๆออกมา แต่สุดท้ายมันก็ฉกของขวัญจากมือฉินเฟิงไป พลางจิกตามองเขา
แต่ฉินเฟิงรู้ดี ว่าตอนนี้เสี่ยวไป๋ได้ยกโทษให้กับเขาแล้ว
เสี่ยวไป๋กุมห่อของขวัญ กรงเล็บของมันวูบไหวอย่างรวดเร็ว กล่องภายในพลันถูกเปิดออก ปรากฏ 5 แก่นพลังงานจัดเรียงเอาไว้อย่างเรียบร้อย มีขนาดแตกต่างกันไปทั้งใหญ่เล็ก
เสี่ยวไป๋หยิบเอาแก่นพลังงานที่เล็กที่สุดออกมา และเริ่มลามเลียมัน
พอกินจนอิ่ม คราวนี้เสี่ยวไป๋กลับไม่ได้จมลงสู่ห้วงนิทราในทันที แต่กลับกลายเป็นขนทั้งร่างของมันที่เริ่มฟูฟ่อง อ้าปากส่งเสียงครวญครางออกมาแทน
เดิมทีฉินเฟิงตั้งใจจะนอนหลับ เพื่อปรับสมดุลร่างกายของเขา พอเห็นถึงฉากนี้ เจ้าตัวก็ดีดผึงจากเตียง ผุดลุกตรงเข้าไปข้างๆเสี่ยวไป๋
“นี่มันเรื่องอะไรกัน? หรือว่ามีอะไรผิดปกติกับแก่นพลังงาน?”
การตอบสนองแรกของฉินเฟิงคือความคิดที่ว่ามีใครบางคนวางยาพิษในแก่นพลังงาน แต่ต่อมา เขาก็คลายความคิดที่ว่านั่นไป และเริ่มวิตกกังวลขึ้นมาแทน
เพราะกลิ่นอายของเสี่ยวไป๋เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ กลิ่นอายเช่นนี้ คล้ายกับว่าจะเป็นการตัดผ่านยกระดับ
ไม่เพียงเท่านั้น แต่ขนหางปุกปุยของมันก็เริ่มงอกยาวขึ้นด้วยอัตราเร็วที่มองเห็นด้วยตาเปล่า ฟูจนเกือบจะดูเป็นพุ่มไม้ขนาดย่อม
ในด้านของความแข็งแกร่งเอง ก็กำลังเพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็ว
แก่นพลังงานที่ได้รับมาจากสัตว์ร้ายในทุ่งล่า ฉินเฟิงยกทั้งหมดให้แก่เสี่ยวไป๋ แม้ว่ามันจะเพิ่งถือกำเนิดออกมาในช่วงเวลาสั้นๆแค่หนึ่งเดือน แต่เสี่ยวไป๋ก็ไม่เพียงวิวัฒนาการเป็นนายพลสัตว์ร้ายเท่านั้น แต่ยังมีความแข็งแกร่งของมันที่ยกระดับขึ้นเรื่อยๆจนอยู่ในเลเวล G8 อีกด้วย
และตอนนี้ มันได้กินแก่นพลังงานของราชันย์สัตว์ร้ายเข้าไป เสี่ยวไป๋กลับไม่หลับลงเพื่อปรับสมดุล แต่ดันเกิดพลังงานอันยิ่งใหญ่พลุ่งพล่านออกมาแทน นี่ชัดเจนว่าจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างแน่ๆ
กลิ่นอายของเสี่ยวไป๋ค่อยๆเปลี่ยนไป จากนายพลสัตว์ร้าย วิวัฒนาการขึ้นเป็นราชันย์สัตว์ร้าย!
เมื่อเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ฉินเฟิงก็ย่อมรู้สึกมีความสุขเป็นธรรมดา
เพราะการทำสัญญาระหว่างราชันย์สัตว์ร้าย กระทั่งผู้ฝึกสัตว์เอง น่ากลัวว่ายังแทบจะไม่สามารถเป็นเจ้าของมันได้
ศักยภาพของเสี่ยวไป๋ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ
ทว่าไม่นาน แก่นพลังงานก็ถูกกลืนหายไปจนสิ้น กลิ่นอายของเสี่ยวไป๋เริ่มแผ่วจางลงเหมือนว่าอาหารที่กินยังไม่เพียงพอที่จะวิวัฒนาการ ฉินเฟิงเร่งหันไปหยิบแก่นพลังงานอีกก้อนขึ้นมา แล้วให้เสี่ยวไป๋กลืนกินมันอีกครั้งทันที
และมันก็ปฏิบัติตามอย่างว่าง่าย คล้ายกับว่ากำลังรับรู้ได้เหมือนกัน ว่าตนกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่สำคัญยิ่ง
เมื่อเวลาผ่านไป ความแข็งแกร่งของเสี่ยวไป๋ก็ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขนาดตัวของมันเริ่มใหญ่ขึ้น จากสองฝ่ามือ ปัจจุบันกลายเป็นครึ่งเมตรแล้ว
ซึ่งนี่ไม่น่าแปลกอะไร เพราะเดิมทีขนาดตัวของเสี่ยวไปก็ไม่สมควรจะแค่เท่าสองฝ่ามืออยู่แล้ว เพียงแต่ว่าการมีขนาดเท่านี้ มันง่ายสำหรับฉินเฟิงในการอุ้มมันไปไหนมาไหน กล่าวได้ว่าสำหรับสัตว์ร้ายที่มีภูมิปัญญาสูงส่งดังเช่นเสี่ยวไป๋ ทักษะเปลี่ยนรูป ปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ได้ดั่งใจ เป็นสิ่งที่ควรพึงมี
เสี่ยวไป๋ยังคงกลืนกินแก่นพลังงานต่อไป
ก้อนที่สาม , สี่ และห้า!
ทันใดนั้นเอง กลิ่นอายของเสี่ยวไป๋ก็ระเบิดออกอย่างรุนแรง ความสง่างามอันน่าเกรงขามของระดับราชันย์ปะทุขึ้น แพร่กระจายออกไป
ตลอดทั้งสวนชิงหู กระทั่งวิลล่าใกล้เคียงที่อยู่ถัดออกไปจากทะเลสาบก็ยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายนี้
ไม่ทราบเหมือนกันว่ามีกี่คนที่สะดุ้งตื่นจากห้วงฝัน ผุดลุกขึ้นมาตั้งท่าอยู่ในสภาพพร้อมต่อสู้
“เสี่ยวไป๋ รีบเก็บกลิ่นอายของแกเร็วเข้า!”
ฉินเฟิงตะโกนอย่างร้อนรน
กลิ่นอายของเสี่ยวไป๋ถูกระงับลงอย่างรวดเร็ว ทว่ารูปร่างของมันในปัจจุบันแปรเปลี่ยนไปอย่างมาก
จากสองฝ่ามือกลายเป็นครึ่งเมตร หางยาวปุกปุยแยกจากกลาง ฉีกออกเป็นสอง
ปัจจุบัน มันได้กลายเป็นจิ้งจอกสองหางไปแล้ว!
นอกจากนี้ เสี่ยวไป๋ยังสามารถยกระดับขึ้นเป็นเลเวล F ได้ในที่สุด และยังคงเป็นในระดับราชันย์สัตว์ร้าย!
ไม่คาดคิดเลย ว่าเสี่ยวไป๋จะชิงตัดหน้า ทะยานขึ้นไปถึงเลเวล F ก่อนตัวเขาอย่างกระทันหัน!
พลังอำนาจของเสี่ยวไป๋ที่ปรากฏออกมาในปัจจุบันแข็งแกร่งมาก รูปลักษณ์ของมันก็แสนสง่างาม แต่ทว่า …
“เสี่ยวไป๋ ในเมื่อแกกลายเป็นแบบนี้ แล้วฉันจะพาแกไปโรงเรียนได้ยังไง?”
ต้องไม่ลืมนะว่า ก่อนหน้านี้เสี่ยวไป๋เคยปรากฏตัวสู่สายตาของผู้คนมาก่อน
ทันทีที่เสี่ยวไป๋ได้ยินคำของฉินเฟิง คู่ดวงตาของมันก็เบิกกว้างขึ้นทันที คล้ายกำลังจะตำหนิฉินเฟิง
“อิ๋ง!”
เสี่ยวไป๋เริ่มโกรธอีกครั้ง
‘นี่นายท่านต้องการจะทิ้งหนูไว้ที่บ้านอีกแล้วใช่ไหม? ไหนตกลงกันว่าจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้วไง ที่แท้ก็เป็นเรื่องโกหกงั้นหรอ?’
ตอนไปเที่ยวด้วยกันในย่านการค้า เห็นได้ชัดว่าหากเป็น ‘สัตว์สองขา’ อยากจะเดินเหินไปที่ใด ก็ย่อมสามารถทำได้
เมื่อคิดถึงจุดนี้ เสี่ยวไป๋ก็ปิ๊ง! ไอเดียหนึ่งขึ้นมา
ในช่วงเวลาต่อมา ฉินเฟิงก็สังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่าขนบนร่างกายและหางของเสี่ยวไป๋เริ่มจางหายไปอย่างรวดเร็ว แต่ขนตรงส่วนหัวกลับดูยาวและหนาขึ้น
รูปร่างของเสี่ยวไป๋เริ่มยืดขยาย หนังสัตว์กลายเป็นสีชมพูคล้ายกันกับผิวหนังของมนุษย์
หูที่เรียวแหลมเริ่มกลมมน ปากและคางที่ยืดยาวเริ่มหดตัว กลายเป็นรูปเป็นร่างที่ดูสมส่วน
เค้าโครงหน้าเปลี่ยนไป ปรากฏขนคิ้วสีขาวซีด คู่ดวงตาเรียวดั่งจิ้งจอก จมูกเล็กทรงหยดน้ำ ริมฝีปากสีชมพูอ่อนเป็นกระจับ
ทั้งคนทั้งร่างของฉินเฟิงสั่นสะท้านด้วยความตกตะลึง!
“นี่แก .. ”
“นายท่าน!”
เสี่ยวไป๋อ้าขยับปากน้อยๆ เปล่งเสียงที่ดังฟังชัด ซึ่งเสียงนี้ มันเป็นเสียงแบบเดียวกันเลยกับที่ฉินเฟิงเคยได้ยินในตอนที่สื่อสารกันด้วยสัญญา ผ่านทางความคิดของเขา
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ เสี่ยวไป๋มิได้เป็นจิ้งจอกอีกต่อไปแล้ว หากแต่มันกลายร่างเป็นมนุษย์จริงๆ!
ผมสีขาวที่เปล่งประกายแสงสีเงินลากยาวลงมาถึงเอว ใบหน้าทรงเสน่ห์ที่อาจถึงขั้นก่อให้เกิดการล่มสลายของประเทศได้ เจ้าตัวโน้มกายลงมาด้านหน้าฉินเฟิง กล่าวด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ “งั้นแบบนี้ล่ะ? ด้วยรูปลักษณ์นี้ หนูก็สามารถไปกับนายท่านได้แล้วใช่หรือไม่? หากเป็นมนุษย์ ไปด้วยกันก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร!”
ฉินเฟิง “ … ”
แต่จู่ๆเขาก็สัมผัสได้ว่าจมูกตนเริ่มร้อนระอุ เลือดลมกำลังพลุ่งพล่าน ฉินเฟิงเร่งยกมือขึ้นปิดจมูกของเขาทันที
“เสี่ยวไป๋ จะยังไงก็เถอะ ตอนนี้แกช่วยไปใส่เสื้อก่อน!”
หลังจากเกิดใหม่ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ฉินเฟิงรู้สึกว่าตนถูกโยนลงสู่ความตื่นตระหนก!
เสี่ยวไป๋กลายร่างได้ก็จริง แต่มันยังไม่มีสามัญสำนึกของมนุษย์ ปัจจุบันมันเปลือยเปล่า และไม่มีสัญชาตญาณที่คิดจะปกปิดส่วนลับของร่างกายเลย
ถึงแม้ว่าหน้าอกของเสีย่วไป๋จะแบนราบราวกับพื้นสนามบิน ดูจากลักษณะแล้วเป็นมนุษย์อายุราวๆ 13 14 ปี แต่ฉินเฟิงก็ไม่อาจหยุดจินตนาการไม่ดีไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำที่มันเรียกเขาว่า ‘นายท่าน’
ตรงจุดนี้เองที่ทำให้เขาเกือบจะขาดใจตาย
“หนูใส่มันไม่ได้!”
เสี่ยวไป๋ก้มลงคว้าเสื้อผ้าสัตว์เลี้ยงที่ขาดวิ้นเป็นชิ้นๆ นี่เกิดจากก่อนหน้านี้ที่มันวิวัฒนาการ จนกลายเป็นสถานะราชันย์สัตว์ร้าย
และคุณก็คงจะรู้ใช่ไหม ว่าหากชุดนี้ของมันใส่ไม่ได้ ก็หมายความว่าชุดอื่นใส่ไม่ได้เช่นกัน
ฉินเฟิงผุดลุกขึ้นและกล่าว “งั้นใส่เสื้อของฉันไปก่อน!”
ฉินเฟิงถอดเสื้อเชิ้ตตัวนอกออก และสวมให้แก่เสี่ยวไป๋ เนื่องจากรูปร่างของเสี่ยวไป๋ยังดูเด็ก มีขนาดความสูงไม่เท่าใดนัก เสื้อนี้เลยลากลงมาคลุมถึงขา ดูคล้ายกับชุดเดรสยาว
ทว่าเนื่องจากเสื้อเชิ้ตของเขาเป็นสีขาว ชุดเดรสเลยพลอยโปร่งแสงไปด้วย
ปรากฏว่าภาพตรงหน้าทำให้เลือดลมพลุ่งพล่านยิ่งกว่าเดิมเป็นเท่าทวี นี่มันน่าดึงดูดยิ่งกว่าตอนไม่สวมใส่อะไรซะอีก!
เวลานี้ ฉินเฟิงตระหนักได้เลยว่า เรื่องราวในนิยายต่างๆที่กล่าวกันถึงจิ้งจอกในร่างมนุษย์ พรรณนาว่ามันคือตัวตนที่ทรงเสน่ห์อย่างหาที่ใดเปรียบ มิใช่เรื่องเกินจริง
“มาเถอะ อันดับแรกก็มาเลือกเสื้อผ้ากันก่อน”
ฉินเฟิงทดลองแนบเสื้อเชิ้ตหลายตัวให้กับเสี่ยวไป๋ พอเจอตัวที่คิดว่าน่าจะถูกใจก็สวมให้มัน จากนั้นก็นำเข็มขัดมาคาดเอวเอาไว้ เปลี่ยนเสื้อเชิ้ตให้กลายเป็นชุดเดรสแบบเฉพาะกิจ
แต่ด้วยรูปลักษณ์ในตอนนี้ หากต้องนำเสี่ยวไป๋ออกไป เขาก็ยังรู้สึกไม่ปลอดภัยอยู่ดี
สภาพนี้จะพาไปโรงเรียนได้จริงๆน่ะหรอ?
เพ้ย! ช่างหัวโรงเรียนเถอะ มีปัญหามากนัก ก็ขอโดดมันซะวันแรกเลยก็แล้วกัน!