โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ – ตอนที่ 118

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

4/4

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.118 – เชือดไก่ให้ลิงดู

“ผมไม่รู้หรอกนะว่าพวกคุณบังคับให้หลิวซูกลับมารับได้ยังไง แต่การกระทำของพวกคุณ มันทำให้ผมย้อนนึกไปว่า การเรียนการศึกษาในสถาบันระดับกลาง ที่สอนสั่งการต่อสู้เบื้องต้นและการเอาชีวิตรอด มันช่างเปล่าประโยชน์!”

“จริงอยู่ว่าถ้าสู้ไม่ได้ก็แค่หนี แต่ไม่ใช่หนีโดนโยนภาระให้คนอื่นแบบนี้ ไม่งั้นผลลัพธ์จะเป็นเหมือนกับไอ้คนที่เพิ่งตายไป”

ปลายปืนพลังงานในมือของฉินเฟิง ชี้ไปทางหลุมขนาดใหญ่ที่มังกรดินขุดหนีไป

“ผมไม่ใช่ผู้ใช้พลังในเมืองของพวกคุณ ดังนั้นผมไม่มีภาระหน้าที่ต้องปกป้องคุณเช่นกัน ครั้งต่อไปถ้าผมยังเห็นใครทำตัวแบบเศษสวะ หวาดกลัวความตายถึงขั้นคิดจะหยิบยื่นมันให้คนอื่นแทนแล้วล่ะก็ … ”

“ผมจะจับมันคนนั้นโยนไปเลี้ยงเป็นอาหารแมลง โยนไปเรื่อยๆจนกว่าพวกมันทุกตัวจะอิ่ม!”

น้ำเสียงของฉินเฟิงดุดันมาก

การยิงปืนเมื่อครู่นี้ อันที่จริงมันคือการเชือดไก่ให้ลิงดู!

และพวกลิงทุกตัวที่อยู่รอบๆ ตอนนี้ต่างกำลังสั่นสะท้าน

ทั้งหมดทราบแล้วว่า ฉินเฟิงนั้นแตกต่างกับหลิวซู เขาโหดร้ายกว่ามาก

อย่างไรก็ตาม ความหวังเดียวผู้คนก็คือฉินเฟิง หากอยากจะรอดชีวิตมันต้องอาศัยความแข็งแกร่งของเขาเท่านั้น

หลิวซูคล้ายต้องการจะโต้แย้งอะไรบางอย่าง ในเบ้าตาของเธอรื้นไปด้วยหยาดน้ำตา ทั้งคนทั้งร่างสั่นเทา

แต่ฉินเฟิงกลับไม่แสดงถึงความเมตตาใดๆเลย

“ส่วนเธอ คิดว่าตัวเองเป็นผู้ใช้พลังคงกระพันรึไง? อย่าคิดโยนตัวเองไปสู่ความตายแบบนี้อีก ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่สามารถช่วยเธอได้ ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้าลุงหลิว ฉันจะไม่มีวันเจียดเวลาลงมาพล่ามอะไรแบบนี้!”

ว่าจบ ฉินเฟิงก็หันหลังและจากไปทันที

คนอื่นๆที่อยู่ที่นี่ ไม่รั้งรออยู่เฉย ทั้งหมดเร่งวิ่งตามฉินเฟิงไป โดยไม่มีแม้แต่คนเดียวที่คิดก้าวเข้ามาปลอบหลิวซู!

หลิวซูแหงนหน้าขึ้นเบื้องบน แต่ยังคงปรากฏหยดน้ำใสๆที่มุมหางตา ในแววตาฟุ้งไปด้วยความสับสนไม่เข้าใจ

‘ที่ฉันทำมันผิดอย่างงงั้นหรอ?’

เธอผิดตรงไหนกัน? ทั้งๆที่เธอแค่ต้องการช่วยผู้คนแท้ๆ แต่ทำไมเขาถึงปฏิบัติตัวกับเธอแบบนี้?

“ยังอยากตายอยู่หรอ? ทำไมยังชักช้าไม่ขึ้นมาอีก!” ฉินเฟิงตะโกนอีกครั้งจากอีกฝั่งหนึ่ง

ทว่าในเวลานี้ หลิวซูกลับเพิกเฉยต่อคำเรียกขานของเขา เธอจมอยู่กับความรู้สึกโศกเศร้า

ฉินเฟิงขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ

“ช่างไม่มีหัวคิด จำไว้ด้วยล่ะ ว่าเธอยังมีอีกหลายเรื่องให้ต้องเรียนรู้!”

ฉินเฟิงคร้านจะให้ความสนใจใดๆกับหลิวซูอีก เขาเดินจากไป ตรงเข้าสู่ห้องหลอมด้วยใบหน้าถมึงทึง

กว่า15-16คนวิ่งตามฉินเฟิงมา หลิวเซินซานกับพนักงานโรงแรมเมื่อเห็นคนเหล่านั้น ก็แสดงสีหน้ารังเกียจทันที

ฉินเฟิงพอมาถึงก็กล่าวว่า “ลุงหลิวครับ ช่วยมอบอาวุธให้กับพวกเขาด้วย แต่อย่าลืมสอบถามทุกคน ว่าใช้ปืนเป็นรึเปล่า ถ้าไม่เป็น ก็ให้พวกมีดพวกดาบไปแทน”

หลิวเซินซานรีบพยักหน้ารับ “เข้าใจแล้ว วางใจได้เลย ปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉันเอง”

ในบรรดาคนเหล่านั้น สุดท้ายมีเพียงสามคนที่ได้รับอาวุธปืนเบาจากหลิวเซินซาน ส่วนพนักงานของร้านจะได้รับอาวุธหนักไป แน่นอนว่าหากเป็นเวลาปกติ ทุกคนคงไม่มีโอกาสได้ใช้มัน

ไม่รอให้ฉินเฟิงได้พักหายใจ เสียงการต่อสู้ก็ดังขึ้นอีกครั้ง

ทว่าคราวนี้เสียงมันดังมาจากทางหน้าร้านขายอุปกรณ์

เห็นได้ชัดว่าเจ้าของกลุ่มที่ทำให้เกิดเสียง คงไม่พ้นพวกที่วังเฉินและคนอื่นๆอธิบายไว้ก่อนหน้านี้ —เป็นพวกที่ต้องการให้เขาพาหลบหนีไปด้วย

“พวกนายช่วยปกป้องที่นี่เอาไว้ก่อน ส่วนฉันจะออกไปดูเอง”

“ทราบแล้ว”

“มิสเตอร์ฉิน ระวังตัวด้วยนะ”

“ไป๋หลี เธอเองก็คอยอยู่ที่นี่ ส่วนหลิวซู มากับฉัน” ฉินเฟิงกล่าว

“เอ๋? ฉันหรอ เข้าใจแล้ว” หลิวซูที่เพิ่งตามขึ้นมาทีหลัง ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมฉินเฟิงถึงเลือกเธอ แต่ก็ติดตามฉินเฟิงไป

ไป๋หลีพยักหน้า เชยคางมองเหล่าผู้มาใหม่และกล่าว “กลิ่นตัวพวกคุณแรงเกินไป มันจะโชยไปแตะจมูกพวกแมลงได้ ควรจะรีบล้างมันออก ไม่งั้นก็ทาผงขับไล่สัตว์ร้ายซะ”

กลิ่นของคนเหล่านี้ไม่ใช่อะไรอื่น หากแต่เป็นกลิ่นของเสียจากร่างกาย ระหว่างที่ผ่านไปค่ำคืนหนึ่ง คนพวกนี้ไม่ได้ทำตามกฏเกณฑ์หรือข้อบังคับใดๆที่บัญญัติเอาไว้ยามเกิดวิกฤต ส่งผลให้ห้องใต้ดินเละเทะจนแทบอยู่ไม่ได้ ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อพวกเขาได้ยินข่าวจากหลิวซู จึงตัดสินใจพากันหนีออกมา

แต่เมื่อลองย้อนคิดดู ห้องใต้ดินของตระกูลหลิวก็ไม่เหมาะสมที่จะอยู่ร่วมกันหลายคนจริงๆ เพราะท้ายที่สุดแล้ว มันไม่ใช่ที่หลบภัยสาธารณะ เหมือนกับชั้นใต้ดินของห้องสรรพสินค้าหรือซุปเปอร์มาร์เก็ต

พอถูกจี้ใจดำเรื่องกลิ่นและความสกปรก คนพวกนี้ก็รู้สึกอับอาย ปรากฏให้เห็นถึงความโกรธและความอัปยศอดสูในสายตาที่มองไปทางไป๋หลี แต่พวกเขาก็ไม่มีใครกล้าเถียงเธอ

เพราะในวิดีโอเมื่อวานนี้ แม้ไป๋หลีจะไม่ได้ทำอะไร แต่ระหว่างต่อสู้และหลบหนี เธอไม่แสดงท่าทีตื่นตระหนกใดๆเลย แม้จะเผชิญหน้ากับหายนะถึงตายก็ตาม เหมือนกับว่าจะชาชินกับมัน

ยิ่งไปกว่านั้น เธอคนนี้ยังเป็นแฟนของฉินเฟิง คนเหล่านี้เลยไม่กล้าทำอะไรกับไป๋หลี ทำได้แค่ปฏิบัติตาม ไม่ไปล้างตัวก็เอาผงขับไล่มาโปะเท่านั้น

……

อีกด้านหนึ่ง

ฉินเฟิงเดินนำหลิวซูไปตามทางเดิน มุ่งต่อไปเรื่อยๆ

ปรากฏกลุ่มคนมากกว่า 10 คนหน้าร้านอุปกรณ์ ในบรรดาคนเหล่านั้น มีห้าคนเป็นผู้ใช้พลัง สองคนเป็นเลเวล F อีกสามเลเวล G ส่วนคนอื่นๆถ้าในมือไม่กุมขวาน ก็กุมอาวุธมีด ดาบ หรือปืน

ในระหว่างที่พวกเขากำลังจะเข้าไปในร้านอุปกรณ์ ก็ถูกพวกแมลงบุกจู่โจมซะก่อน ด้วยเหตุนี้เอง การต่อสู้รุนแรงจึงปะทุขึ้น ห้ำหั่นกันชนิดที่ว่าหากเจ้าไม่ตาย ก็ข้าสิ้น!

เมื่อฉินเฟิงปรากฏตัว ด้วงกระหายเลือดก็บินโฉบผ่านไปพอดี

โผล๊ะ!

ปืนในมือของฉินเฟิงปะทุออก รังสีแสงเข้มข้นสีฟ้า เจาะทะลุกะโหลกของด้วงกระหายเลือดตัวนั้นทันที จบชีวิตมันกลางอากาศก่อนจะพุ่งเข้าโจมตีใส่ฝ่ายตรงข้าม

เวลานั้นเอง คนอื่นๆถึงได้เห็นฉินเฟิง ทั้งหมดจ้องมองเขาด้วยความตื่นเต้นดีใจ

“นั่นแหละเขา!”

“เป็นฉินเฟิง!”

“ขอบคุณข่าวของหัวหน้าหลิว รอดไปที!”

ฝูงชนราวกับว่าได้เห็นพระผู้ช่วยชีวิต

ฉินเฟิงไม่ได้กล่าวอะไร เขาเพียงวาดมือขึ้น ระเบิดบอลไฟพุ่งออกไป ในพริบตา แมลงที่บุกโจมตีร้านอุปกรณ์ก็ถูกเก็บกวาดจนเกลี้ยง

คนอื่นๆก็พลอยตกใจไปกับพลังพิเศษของฉินเฟิง แม้ว่าจะเคยได้เห็นเมื่อช่วงดึกเมื่อวานนี้มาแล้วก็ตาม แต่พอได้มาเห็นกับตาตัวเอง มันเป็นอีกแบบหนึ่งไปเลย

“ฉินเฟิ- อ่า ไม่สิมิสเตอร์ฉิน เวลานี้เมืองหานได้ถูกล้อมโดยศัตรู ดังนั้นทุกคนเลยตัดสินใจว่าจะทะลวงฝ่ามันไปด้วยกัน ยิ่งร่วมมือกัน พวกเราก็ยิ่งแข็งแกร่ง!” เลเวล F ก้าวออกมาข้างหน้า มองไปยังฉินเฟิงด้วยความสุขยิ่ง เพียงแต่ความสุขที่ว่า เป็นความสุขที่แฝงจุดประสงค์บางอย่าง

ฉินเฟิงไม่ให้ความสนใจกับคนเหล่านั้น เขาหันมามองหลิวซู

“ทำไมคนพวกนี้ถึงได้รู้ชื่อของฉัน?”

สีหน้าของหลิวซูกลายเป็นซีดขาว

ที่พวกเขารู้ ก็เพราะเธอเป็นคนบอกออกไปนั่นเอง

ก่อนหน้านี้ ช่วงที่ฉินเฟิงหลับไปแล้ว ในฐานะหัวหน้าสาขาหน่วยลาดตระเวน แม้ว่าเมืองหานจะล่มสลายลง แต่เธอก็ยังยึดติดกับมัน จึงติดต่อกับผู้คนในเมืองและกองกำลังหลิงหาน ว่าเธอกำลังจะทะลวงฝ่าอุปสรรคออกไปในเวลาอันสั้นนี้

เมื่อคิดตามตรรกะข้างบน เธอจึงเรียกคนพวกนี้มาเป็นธรรมดา

ไม่อย่างนั้น คนพวกนี้จะทราบชื่อของฉินเฟิงได้อย่างไร

เมื่อครู่นี้ เธอก็เพิ่งถูกฉินเฟิงดุไป ดังนั้นหลิวซูเลยรู้สึกผิดอีกครั้ง

เพราะฉินเฟิงจะจากไปโดยลำพังก็ได้ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังเลือกพาครอบครัวของเธอไปด้วย และนั่นไม่ใช่ปัญหา

แต่หากมีคนติดตามไปเป็นจำนวนมาก … เขาจะปกป้องได้ไหวหรือ?

ฉินเฟิงพอเห็นสีหน้าของหลิวซู เขาก็ตระหนักได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ปากแสยะยิ้มเย็น “ฉันแข็งแกร่ง แต่นั่นมันก็เรื่องของฉัน มันไม่ใช่หมากที่เธอจะนำไปใช้กับความยุติธรรม หวังว่าเธอจะจำเอาไว้ให้ดี ว่าการฝ่าวงล้อมในครั้งนี้ ฉันจะสู้เพื่อเปิดทางเท่านั้น และที่ฉันทำ ก็เพื่อตัวฉันเอง ไม่มีใครสามารถร้องขอให้ฉันทำอะไรได้ ฉันไม่ใช่พระผู้ช่วย หรือฮีโร่ของใครทั้งนั้น เข้าใจไหม?”

แม้นี่จะฟังดูเป็นคำเตือนจากฉินเฟิง แต่อันที่จริงแล้วมันคือการแสดงอำนาจข่มหลิวซูต่างหาก

เพราะท้ายที่สุดแล้ว คนเหล่านี้รู้จักหลิวซู และเห็นได้ชัดว่าพวกเขาเคารพหลิวซูมากกว่าฉินเฟิง

ฉินเฟิงไม่อยากให้พวกเขาคิดไปว่า ตนคือปราการยักษ์ ที่สามารถช่วยต่อสู้หรือฆ่าสังหารได้ตามคำสั่งใคร

หลิวซุก้มหน้างุดและกล่าว “ฉันเข้าใจแล้ว”

ประเด็นแรกจบไป ฉินเฟิงกวาดตามองหน้าใหม่ที่ต้องการรับความช่วยเหลือ

เดิมทีสีหน้าของคนเหล่านั้นเปี่ยมไปด้วยความสุข แต่พอได้ยินถึงบทสนทนาดังกล่าว ทั้งหมดก็กลายเป็นเงียบงัน พวกเขาเข้าใจได้ในทันที ว่าอันที่จริง ฉินเฟิงไม่ได้มีความคิดใดๆที่จะช่วยเหลือพวกเขาเลย!

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Status: Ongoing
ยุคมืดได้มาเยือน รอยแยกมิติปรากฏขึ้นบนผืนโลก เหล่าสัตว์ร้ายเข้ามารุกราน สัตว์ป่าเองก็เริ่มกลายพันธุ์ ส่งผลให้ทุกสิ่งพลิกตลบ มนุษย์ที่เคยยืนอยู่บนจุดสูงสุดตลอดมา กลับกลายเป็นสิ่งมีชีวิตต่ำสุดในห่วงโซ่อาหาร …ร้อยปีต่อจากนั้น จึงได้ถือกำเนิดสามอาชีพหลักที่ใช้ต่อกรกับพวกที่กล่าวมาข้างต้นขึ้น อันได้แก่ ผู้ใช้อบิลิตี้ , ผู้ใช้วรยุทธ และมือปืนขึ้น‘ฉินเฟิง’ เด็กกำพร้าที่เกิดในช่วงยุคมืด ได้ถูกลักพาตัวไปในวันที่เขาสามารถปลุกอบิลิตี้ของตนเองให้ตื่นขึ้น ถูกจับไปทรมานทดลอง แต่สุดท้ายก็รอดหนีรอดมาได้ และใช้ชีวิตยาวนานกว่า 10 ปี และหลังจากนั้นเอง ในช่วงโลกาวินาศของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เขาก็ได้กลับไปเกิดใหม่อีกครั้ง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท