โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ – ตอนที่ 134

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Ch.134 – ห้าสถาบันรวมตัว

Translator : Muntra / Author

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.134 – ห้าสถาบันรวมตัว

ก่อนกลับมาเกิดใหม่ เมืองใหญ่กว่านี้เขาก็เคยเห็นมาแล้ว นับประสาอะไรกับเมืองเฉิงหยาง

ในเวลานั้นเอง บนไหล่ของฉินเฟิงถูกข่วนเบาๆสองสามครั้ง เขาก้มหน้าลงและพบว่าไป๋หลีได้ตื่นขึ้นแล้ว

จิ้งจอกน้อยกวาดมองไปทั่วริมถนนด้วยแววตาลุกวาว … เสื้อผ้าที่สวมใส่ของทุกคนในที่นี้ช่างงดงามเสียจริงๆ!

แน่นอน ว่าหากเทียบกับสถานชุมชนเฉิงเป่ย เมืองเฉิงหยางนับว่าดีกว่ามาก

“เอาล่ะๆ ไว้งานสวนล่าจบลงเมื่อไหร่ ฉันจะพาแกไปซื้อเอง!”

ฉินเฟิงตระหนักได้ถึงสีหน้าของไป๋หลี เขาใช้พลังสมาธิส่งผ่านคำพูดไปให้เธอสบายใจ

ไป๋หลีพยักหน้าด้วยความพอใจ

เมื่อเข้าสู่เมืองเฉิงหยาง ยานพาหนะเริ่มเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว ไม่ช้าก็มาถึงฐานทัพทหาร ที่นี่เต็มไปด้วยกำแพงเหล็กกล้า ราวกับป้อมปราการก็มิปาน และบนจตุรัสขนาดใหญ่ ในเวลานี้มีผู้คนมายืนออกันอยู่เต็มไปหมด

ดูเหมือนว่าคนจากสถานชุมชนอื่นจะมารออยู่ก่อนแล้ว

นักเรียนในเครื่องแบบสีเขียวเข้ม เป็นคนจากสถานชุมชนซิต๋า(ตะวันตก)

นักเรียนในเครื่องแบบสีฟ้า เป็นคนจากสถานชุมชนตงหลิง(ตะวันออก)

นักเรียนในเครื่องแบบสีส้ม เป็นคนจากสถานชุมชนฮุนหนาน(ทิศใต้)

และสถานชุมชนเฉิงเป่ยในชุดสีแดงบานเย็น* …

*(ขอแก้ไขเป็นทุกชั้นปีของโรงเรียนเฉิงเป่ยสวมใส่ชุดสีแดงครับ ผมตีความ 紫色 ผิดไปเล็กน้อย ถ้าตรงๆคือม่วง แต่ถ้ามีแดงด้วยจะเป็น แดงบานเย็นครับ)

ปัจจุบัน สถาบันเดียวที่ยังมาไม่ถึง คือสถาบันจากเมืองที่อยู่ใกล้ที่สุด เป็นอื่นใดไปไม่ได้นอกจากนักเรียนของเมืองเฉิงหยาง!

แต่ไม่นานนัก ทุกสายตาก็พบว่ามียานพาหนะสุดหรูกำลังขับเข้ามาในฐานทัพทหาร

ยานพาหนะนี้มีรูปลักษณ์ที่ราบเรียบ ดูเหมือนจะใช้โลหะบริสุทธิ์ในการผลิต ตรงส่วนหน้ารถโน้มเอียงลง กระจกเรียบลื่น เห็นได้ชัดว่าเป็นเอกลักษณ์พิเศษ เพราะในยามที่รถขับด้วยความเร็วสูง ทัศนียภาพโดยรอบบนกระจกคล้ายกับเชื่องช้าลง ช่วยป้องกันอาการวิงเวียนศีรษะ

ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งหมดยังรู้สึกได้อย่างชัดเจน ว่าในบรรดาพาหนะหลายคันที่เพิ่งเข้ามามา ทั้งหมดล้วนเปิดใช้งานโหมดล่องเวหา นี่บ่งบอกได้ถึงความ–

–มั่งคั่งและทรงอำนาจ!

เพียงมาถึง สถาบันระดับสูงแห่งเมืองเฉิงหยางก็สามารถข่มคนจากสถาบันอื่นๆด้วยเงินทองและอำนาจของพวกเขา

และดูเหมือนว่ามันจะได้ผลซะด้วย เพราะอีกสี่เขตที่เหลือเริ่มรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย

ไม่นานนัก นักเรียนจากเฉิงหยางก็ทยอยกันออกมา ทั้งหมดสวมเครื่องแบบสีขาวราวหิมะ ขอบตรงปกคอเสื้อ และแขนเสื้อบริเวณข้อมือถักด้วยด้ายสีทอง ช่วยขับดันชุดที่ใส่ สะท้อนรัศมีแสงสีขาวจางๆภายใต้แสงอาทิตย์

“นั่นเป็นเครื่องแบบนักเรียนที่ทำมาจากวัตถุดิบชุดต่อสู้ชั้นยอดใช่ไหม!”

“สมกับเป็นคนจากสถาบันระดับสูงของเฉิงหยาง พวกเขาจะร่ำรวยเกินไปแล้ว!”

“มิน่าเล่าถึงกล้าใช้สีขาว!”

ชุดเครื่องแบบน่ะจะถูกแจกจ่ายให้ฟรีๆโดยทางสถาบัน อย่างของทางเฉิงหยางจะมีคุณสมบัติกันน้ำ , กันเหงื่อ , กันหนาว และกันร้อน แม้จะดูเป็นชุดต่อสู้ที่เรียบง่ายธรรมดา แต่เป็นวัสดุที่มีราคาแพงมาก

ชุดนี้สามารถป้องกันได้กระทั่งไรฝุ่น ด้วยเหตุนี้เองพวกเขาเลยกล้าที่จะเลือกใช้สีขาวกับเครื่องแบบ

เมื่อเปรียบเทียบกับทางสถาบันเฉิงหยาง นักเรียนจากสถาบันอื่นๆในชุดหลากสี พลันให้ความรู้สึกเหมือนเป็นกองทัพลูกเสือไปเลย

ทุกคนจากสถาบันระดับสูงของเฉิงหยางที่ลงมา ใบหน้าของทั้งหมดเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ มีกระทั่งบางคนมองเหยียดนักเรียนจากสถาบันอื่น

“เครื่องแบบของเฉิงเป่ยมีสีแดงเหมือนเลือดน่าขยะแขยงจริงๆ”

“เครื่องแบบสีฟ้าของทางตงหลินก็ให้ความรู้สึกเหมือนพวกพนักงานเสิร์ฟอาหาร”

“ซิต๋ายิ่งแล้วใหญ่ ไปขโมยชุดจากพวกทหารมารึไง?”

“แล้วไอ้สีส้มอมเหลืองนั่นมันอะไร?? ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังมองดินแห้งๆอยู่เลย”

ในพริบตา ทั้งสี่เขตก็โดนดูถูกเหยียดหยามเข้าให้แล้ว

ผู้คนจากสถาบันอื่นๆพากันขบฟันแน่น ทั้งหมดต่างนึกคิดในจิตใจ ว่าหากบังเอิญเจอใครบางคนจากสถาบันเฉิงหยางในสวนล่า คงต้องมอบบทเรียนเล็กๆน้อยๆให้กับพวกมัน!

ทว่านักเรียนจากเฉิงหยางที่เพิ่งมาถึง กลับไม่ใส่ใจถึงความเป็นปรปักษ์ของนักเรียนจากเขตอื่นๆเลย

เพราะท้ายที่สุดแล้ว คนจากทางสถาบันของพวกเขามีมากกว่า คิดว่าต่อให้รุมแบบ 4 ต่อ 1 แล้วจะชนะรึไง?

บอกได้เลยว่านั่นคือความคิดที่ผิดอย่างใหญ่หลวง

“ทั้งหมด … จัดระเบียบแถว!”

พวกอาจารย์เริ่มสั่งการให้นักเรียนจัดแถว หลังจากที่จัดเรียงตามลำดับจนเสร็จสิ้น และนับยอด ทั้งหมดกลับพบว่า แม้จะรวมจำนวนนักเรียนของทั้ง 4 สถาบัน เหนือ , ใต้ , ออก , ตกเข้าด้วยกัน แต่จำนวนนักเรียนของทางเฉิงหยางก็ยังมีมากกว่าพวกเขาถึง 600 คน!

“ต่อไป ฉันจะประกาศกฏ!”

ชายชราคนหนึ่งก้าวออกมา กล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ

ฉินเฟิงสามารถรู้สึกได้ ว่าชายชราคนนี้คือผู้ใช้วรยุทธโบราณในเลเวล E9 และอีกเพียงก้าวเดียวก็จะสามารถทะยานขึ้นสู่ระดับ D ได้แล้ว

“รอยแยกในสวนล่าใบไม้ผลิน่ะมีเสถียรภาพ มันมั่นคงและปลอดภัย และข้างในยังประกอบไปด้วยสมบัติทางธรรมชาติที่เปี่ยมไปด้วยพลังงานวิญญาณมากมาย ไม่ว่าใครก็ตาม ตราบใดที่สามารถเก็บมันมาได้ มันก็จะตกเป็นของคนๆนั้น!”

ทุกต่างต่างเบิกตาโตด้วยความยินดี

“แต่แน่นอน ว่าข้างในย่อมมีสัตว์ร้ายอยู่เช่นกัน และพวกมันไม่ได้อ่อนแอไปซะทั้งหมด ฉันไม่ถึงขั้นต้องการให้พวกเธอโค่นมัน ตราบใดที่สามารถหลีกเลี่ยงได้ก็ควรหลีกเลี่ยง สรุปง่ายๆว่าจงรอดชีวิตกลับมาให้ได้!”

รอยยิ้มยินดีของนักเรียนหดวูบลงทันที โดยเฉพาะนักเรียนจากสถาบันเฉิงเป่ย เมื่อพาลย้อนนึกไปถึงหมูป่ากลายพันธ์ สีหน้าของเกือบทั้งหมดก็เริ่มซีดเผือดลง

ตราบใดที่ถูกเรียกว่าสัตว์ร้าย พวกมันย่อมดุร้ายสมชื่อ สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้รับการรองรับเป็นผู้ใช้พลังเลเวล G สิ่งที่กล่าวมาคือตัวตนที่สามารถสังหารพวกเขาได้

“แต่หลังจากที่พวกเธอได้รับการฝึกฝนแล้ว ฉันเชื่อมั่นว่าทุกคนน่าจะมีความแข็งแกร่งพอสมควร ในกรณีเดียวกัน เลยเป็นธรรมดาที่จะเกิดการทดสอบแข่งขันขึ้น และการแข่งขันนี้ คือสิ่งที่ถูกเรียกโดยพวกเรา —สงครามเอาชีวิตรอดในสวนล่าใบไม้ผลิ!”

“นักเรียนทุกคน จะต้องอยู่ในสวนล่าใบไม้ผลิเป็นเวลาสามวัน หากชิง ‘ป้ายชื่อ’ ของคนอื่นๆมาได้ ก็จะได้รับแต้มคะแนน ยิ่งสะสมได้มาก แต้มคะแนนก็จะยิ่งมากขึ้น และหากบุคคลใดที่ถูกชิงป้ายชื่อ คนๆนั้นจะถูกขับไล่ออกจากพื้นที่สวนล่าใบไม้ผลิโดยอัตโนมัติ!”

“เอาล่ะ ตอนนี้ก็ได้เวลาแจกป้ายชื่อ , ถอดอุปกรณ์สื่อสาร และปิดอุปกรณ์รูนมิติแล้ว!”

ทันทีที่ประโยคนี้จบลง เหล่าอาจารย์ก็เริ่มปฏิบัติตามทันที

“ฉินเฟิง นี่คือป้ายชื่อของเธอ และขอให้ระวังพวกคนจากสถาบันเฉิงหยางเอาไว้ให้ดี” เฉิงเฉาเตือน

“ครับอาจารย์ ไว้ใจผมได้เลย” ฉินเฟิงพยักหน้า และกุมป้ายชื่อไว้ในมือของเขา

ป้ายนี้มีขนาดเท่าฝ่ามือ และมีสีม่วงเป็นฐาน กรอบรอบนอกเป็นสีทองอร่าม และมีเลขเขียนเอาไว้ว่า 21

จ้าวหยูก็มีเช่นกัน มันเขียนเอาไว้ว่า 1

ในขณะที่โจวฮ่าวกับจางเทียนได้ป้ายชื่อที่มีฐานเป็นสีม่วง และกรอบรอบนอกเป็นสีเงิน

หากสังเกตอย่างรอบคอบ จะพบว่าบางคนจะเป็นกรอบสีดำ ซึ่งนั่นบ่งบอกว่าเป็นมือปืน

แต่ละสถาบันจะใช้ฐานสีที่แตกต่างกันออกไป ส่วนกรอบนอกจะใช้แยกแยะว่าเป็นผู้ใช้พลังประเภทไหน ในทางกลับกันตัวเลขจะแสดงถึงการจัดอันดับในการทดสอบประเมินฝีมือจากทางโรงเรียนเมื่อวาน

นอกจากนี้ ป้ายชื่อดังกล่าวยังเป็นตัวเชื่อมต่อกับอุปกรณ์มิติ

มันคือสิ่งที่ยากนักจะพบเจอ กล่าวได้ว่ามันเป็นอุปกรณ์สำคัญสำหรับงานสวนล่าใบไม้ผลิ

“ถ้ากระทั่งอุปกรณ์สื่อสารก็ยังถูกยึดไปด้วย งั้นก็ไม่มีทางติดต่อกันได้เลยน่ะสิ แบบนี้ก็หมายความว่า … พวกเราจะไม่มีทางรู้ได้เลยถ้ามีคนโกง!” จ้าวหยูเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด

โจวฮ่าวเองก็สับสนเล็กน้อย

“ถ้าไม่มีอุปกรณืสื่อสาร แล้วจะนับคะแนนกันได้ยังไง? แค่ชิงป้ายชื่องั้นหรอ แบบนี้ก็หมายความว่า … กระทั่งทีมเดียวกันก็สามารถปล้นได้?”

“ในทุ่งล่ามันมีความยุติธรรมซะที่ไหนกัน?” ฉินเฟิงมองไปยังทั้งสองและเอ่ยปาก “แต่การที่พวกอาจารย์ปิดกั้นอุปกรณ์มิติก็เป็นเรื่องที่ดีแล้ว เพราะนั่นหมายความว่าพวกมือปืนจะไม่สามารถพกปืนที่มีขนาดใหญ่มากๆบางประเภทได้ เพราะถ้าพวกเขาสามารถใช้มัน แล้วบังเอิญยิงมาโดนนาย น่ากลัวว่ากระทั่งฟันไว้ใช้กินอาหารก็คงระเบิดหายไปไม่มีเหลือ!”

โจวฮ่าวย้อนนึกไปถึงการต่อสู้ครั้งก่อนระหว่างฉินเฟิงกับมือปืน ในเวลานั้นฉินเฟิงยิงกระสุนไปถึงสามนัด แรงระเบิดปกคลุมตลอดทั้งเนินเขา หากเป็นนักเรียนที่โดน … น่ากลัวว่าคงจะตายไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว

“เอาล่ะเด็กๆทั้งหลาย เราอย่ามัวเถียงกันเรื่องกฏอะไรพวกนั้นเลย พวกเธอแค่รู้ว่า ต้องปรับตัวให้เข้ากับกฏก็พอ” เฉิงเฉากล่าว ในแววตาบังเกิดระลอกคลื่นของความว้าวุ่น

แม้งานนี้จะมีแค่ปีละครั้ง แต่ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าในครั้งนี้ ในบรรดาทั้งเรียนชั้นปีที่ 1 จะมีใครบ้างที่ไม่ได้กลับมา

เพราะท้ายที่สุดแล้ว นี่คือช่วงโลกาวินาศ มิใช่ช่วงเวลาอันสงบสุข เหล่าเด็กๆจะต้องเร่งเติบโตให้เร็วที่สุด

มิฉะนั้น พวกเขาจะแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างไร? งั้นใครกันเล่าจะกลับมาปกป้องสถานที่ชุมชน?

“ในกระเป๋าที่พวกเธอทุกคนได้รับ จะมีน้ำดื่มบรรจุขวด , อาหารแท่ง , หมวกนิรภัยกับเสื้อป้องกัน , วิทยุสื่อสารขนาดเล็ก ถ้าเผชิญกับอันตรายเกินกว่าจะรับมือ ขอให้ถอดป้ายชื่อออก แล้วพวกเธอจะถูกดึงตัวกลับมาจากพื้นที่สวนล่าโดยอัตโนมัติ”

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Status: Ongoing
ยุคมืดได้มาเยือน รอยแยกมิติปรากฏขึ้นบนผืนโลก เหล่าสัตว์ร้ายเข้ามารุกราน สัตว์ป่าเองก็เริ่มกลายพันธุ์ ส่งผลให้ทุกสิ่งพลิกตลบ มนุษย์ที่เคยยืนอยู่บนจุดสูงสุดตลอดมา กลับกลายเป็นสิ่งมีชีวิตต่ำสุดในห่วงโซ่อาหาร …ร้อยปีต่อจากนั้น จึงได้ถือกำเนิดสามอาชีพหลักที่ใช้ต่อกรกับพวกที่กล่าวมาข้างต้นขึ้น อันได้แก่ ผู้ใช้อบิลิตี้ , ผู้ใช้วรยุทธ และมือปืนขึ้น‘ฉินเฟิง’ เด็กกำพร้าที่เกิดในช่วงยุคมืด ได้ถูกลักพาตัวไปในวันที่เขาสามารถปลุกอบิลิตี้ของตนเองให้ตื่นขึ้น ถูกจับไปทรมานทดลอง แต่สุดท้ายก็รอดหนีรอดมาได้ และใช้ชีวิตยาวนานกว่า 10 ปี และหลังจากนั้นเอง ในช่วงโลกาวินาศของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เขาก็ได้กลับไปเกิดใหม่อีกครั้ง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท