โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ – ตอนที่ 150

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Ch.150 – สังเวียนเมืองเฉิงหยาง

Translator : Muntra / Author

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.150 – สังเวียนเมืองเฉิงหยาง

“สังเวียนต่อสู้งั้นหรอ? งั้นผลจะเป็นหรือตายก็ไม่มีความผิดใช่ไหม?” ฉินเฟิงแสยะยิ้ม

ซินเจี่ยเซิงรู้สึกหงุดหงิดใจกับคำตอบที่คล้ายบ่งบอกถึงความไม่หวั่นเกรงของอีกฝ่าย

“ใช่ ผลจะเป็นหรือตายก็ไม่มีความผิด!”

“ยอดเยี่ยม งั้นนำทางฉันไปได้เลย!”

ฉินเฟิงตอบตกลงทันที ตรงกันข้าม กลับมีท่าทีแสดงออกถึงความสุขด้วยซ้ำ

“คุณผู้จัดการ ช่วยคิดเงินค่าเสื้อแฟนของผมด้วย”

“มิสเตอร์โปรดรอสักครู่”

เป็นธรรมดาที่ผู้จัดการจะหวังให้ทั้งสองคนนี้จากไปโดยเร็ว เขาวิ่งไปสรุปค่าใช้จ่ายอย่างรวดเร็ว

เห็นฉากตรงหน้า ซินเจี่ยเซิงยิ้มหยันและกล่าว “จ่ายไปก็เท่านั้น เพราะหลังจากนี้ไป น้องสาวคนสวยจะเป็นของฉัน และฉันจะซื้อทุกอย่างให้กับเธอเอง! ส่วนไอ้พวกขยะที่แกซื้อให้ ฉันจะไม่ยอมให้เธอสวมใส่มันเด็ดขาด!”

ฉินเฟิงหัวเราะคำหนึ่ง

“คิดล่วงหน้ามากไป ระวังจะไม่เป็นเหมือนที่หวังล่ะ”

ว่าจบ ฉินเฟิงก็โบกมือ เก็บเสื้อผ้าทุกชิ้นใส่ลงในอุปกรณ์รูนของตนเอง แล้วเดินออกสู่ภายนอก

ซินเจี่ยเซิงก็เดินตามออกไปเช่นกัน ก่อนจะกระโดดข้ามประตูไปนั่งลงบนรถสปอร์ตเปิดประทุนที่ดูหรูหรา

แน่นอนว่ามันคือรถศึกล่องเวหา

ตรงกันข้าม แม้ออกสู่ภายนอกแล้ว แต่ฉินเฟิงก็ยังยืนนิ่งอยู่ข้างถนน ฉากนี้ไม่ว่าใครเห็น ก็พอจะนึกออกว่าเขาคงไม่มีรถศึกเป็นของตัวเอง

ซินเจี่ยเซิงอดไม่ได้ที่จะพูดแขวะ “เป็นอะไรไป? กระทั่งรถศึกก็ยั–”

ทว่าผ่านไปเพียงครึ่งประโยค –โครม!

ในสายตาของเขา เห็นแค่เพียงฉินเฟิงยกมือและกวาดออกไป รถล่องเวหาคันหนึ่งปรากฏขึ้นในทันที

ภาพตรงหน้าทำให้ซินเจี่ยเซิงต้องกลืนประโยคครึ่งหลังลง เรียกได้ว่าหุบปากลงกระทันหันจนเกือบสำลักน้ำลายตัวเอง

แน่นอน ประเด็นสำคัญที่ทำให้เขาตกใจ มิใช่รถล่องเวหาที่ดูหรูหราของฉินเฟิง หากแต่เป็นอุปกรณ์มิติที่ใช้เก็บมันต่างหาก!

รถศึกคันนี้ หากจะเก็บมัน อย่างน้อยก็ต้องใช้อุปกรณ์รูนที่มีพื้นที่มิติขนาด 8 ลูกบาศก์เมตร … นี่นับเป็นเงินมากมายแค่ไหนกัน?

นั่นมันมากยิ่งกว่าราคาของรถศึกล่องเวหาตั้งหลายเท่า! และยังเป็นสิ่งที่กระทั่งซินเจี่ยเซิงก็ยังไม่มีไว้ในครอบครอง!

“อึ้งอะไรอยู่? นำทางไปซักที!” ฉินเฟิงกล่าวพลางยื่นมือออกไปดีดนิ้วเรียกสติดังเป๊าะ

เมื่อถูกกระทำราวกับเป็นคนใช้ ความโกรธของซินเจี่ยเซิงยิ่งเดือดพล่านเป็นเท่าทวี

“ไอ้เด็กเปรต ทำเป็นหยิ่งทะนงไปก่อนเถอะ เอาไว้พอถึงสังเวียนต่อสู้เมื่อไหร่ ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงของแก หรืออุปกรณ์มิติ ทุกสิ่งจะตกเป็นของบิดา!” ดวงตาของซินเจี่ยเซิงสาดประกายกร้าวด้วยความโลภ

รถศึกลอยขึ้นไปในอากาศ ขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

อีกด้านหนึ่ง ฉินเฟิงที่กำลังขับตามหลังอีกฝ่าย ในหัวใจขบคิดว่าจะทำอย่างไรถึงสามารถได้รับผลประโยชน์จากการต่อสู้ที่กำลังจะเกิดขึ้นมากที่สุด

เพราะสถานที่ที่กำลังไปจะคือสังเวียนของเมืองเฉิงหยาง!

เพียงได้ยินชื่อ ก็อยากจะเห็นมันด้วยตาตัวเองแล้ว!

สถานที่ดังกล่าว ก็เหมือนกันกับเวทีประลองใต้ดินของเมืองเฉิงเป่ย เป็นสังเวียนสำหรับต่อสู้ของผู้ใช้พลัง ทว่ามันมิได้ตกอยู่ภายใต้อำนาจมืด ที่แห่งนี้คือสถานที่บันเทิงสำหรับคนรวยอย่างแท้จริง กล่าวได้ว่าเป็นทางการยิ่งกว่า

เป็นสังเวียนต่อสู้สำหรับผู้ใช้พลังโดยเฉพาะ! และมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า ศูนย์ประลองผู้ใช้พลังประจำเมืองเฉิงหยาง

ทีนี่แม้ไม่ใช่สถานที่สำหรับนองเลือด แต่กระนั้นอัตราการเสียชีวิตก็ยังเป็นไปได้สูง

ทั้งหมดก็เพราะสังเวียนต่อสู้ แท้จริงแล้วมักจะถูกใช้ไปกับการแก้ปัญหาความขัดแย้งภายใน กระทั่งสี่ตระกูลใหญ่ก็ยังปล่อยให้พวกรุ่นลูกรุ่นหลานต่อสู้กันเองในสังเวียนแห่งนี้ทุกปี และเบื้องบนจะไม่สอดมือเข้ามาก้าวก่าย นอกจากนี้มันยังช่วยให้พวกรุ่นลูกหลานได้รับประสบการณ์เพิ่มขึ้นอีกด้วย

แต่ในบางครั้ง ความขัดแย้งบางอย่าง ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะแก้ไข ดังนั้นการลงนามเป็นตายไม่เกี่ยงในสังเวียน จึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยๆ จนเป็นเรื่องปกติ

บนรถ ฉินเฟิงกำลังคิดถึงเรื่องกำลังภายในที่ไม่ก้าวหน้ามาสักพักแล้วในช่วงนี้ แต่น่ากลัวว่าวันนี้คงถึงเวลาที่ตนจะได้ยกระดับมันเสียที!

ขณะเดียวกัน ไป๋หลีที่นั่งอยู่ข้างๆกำลังทำหน้ามุ่ย “ทำไมถึงต้องสู้อีกแล้ว ยังเลือกชุดไม่เต็มอิ่มเลย!”

ฉินเฟิงหันไปแล้วทำหน้ายิ้มๆ “ก็ไม่ใช่เพราะเพื่อเธอรึไง?”

ไป๋หลีงงงันไปในตอนแรก แต่สักพักก็เริ่มเข้าใจ

“อ๋อ ทั้งสองคนคิดจะต่อสู้กันเพื่อสิทธิ์ในการมีลูกกับฉันใช่ไหม? แต่ฉันยังเด็กอยู่เลยนะ!”

มือของฉินเฟิงกระตุกวูบ เผลอปัดพวงมาลัยจนรถเกือบไหลพุ่งชนตึกข้างทาง แต่เขาก็หักกลับมาอย่างรวดเร็ว และเปิดโหมดขับขี่อัตโนมัติ ก่อนจะยื่นมือออกไป วางลงบนผมสีขาวเงินของไป๋หลีแล้วขยี้เบาๆ

“เธอยังเด็กจริงๆนั่นแหละ ฉะนั้นเด็กๆคงไม่รู้เรื่องรู้ราวมากนักหรอกใช่ไหม?”

ไป๋หลีถลึงตามองฉินเฟิง เปิดปากอย่างไม่พอใจ “รู้สิ! ว่าสังเวียนที่กำลังจะไป มันคือสถานที่สำหรับต่อสู้ และตัวเราเผ่าจิ้งจอกเงินน่ะ ตลอดชีวิตจะสามารถมีคู่ชีวิตได้คนเดียว ผู้คนเลยหมายจะยื้อแย่งเป็นธรรมดา แต่นั่นหมายความว่าผู้แพ้จะต้องถูกทุบตีจนตายไม่ใช่หรือ คิดว่าเรื่องนี้ฉันไม่รู้รึไง!?”

‘อ่า … ไป๋หลีมีความรู้พอสมควรจริงๆ แต่เหมือนว่าเธอจะประเมินตัวฉันต่ำไป’

ฉินเฟิงเมื่อคิดแบบนี้ ก็อดรู้สึกหมดหนทางไม่ได้

ไป๋หลียังเด็กแล้วยังไง? เธอทั้งฉลากและแข็งแกร่ง ดังนั้นเธอย่อมมีสิทธิ์จะเลือกคู่ครอง และเขาจะไม่ยินยอมปล่อยเธอไป!

“เอ้าก็ได้ๆ! ถือว่าเธอเข้าใจมันก็แล้วกัน” ฉินเฟิงทำอะไรไม่ถูก ไป๋หลีน่ะฉลาดหลักแหลมในทุกๆเรื่อง แต่เสียที่มันยังไร้เดียงสา และคำพูดก็ทื่อตรงมากเกินไป

ตัวแค่นี้มาพูดเรื่องมีล่งมีลูกอะไรกัน อย่าแม้แต่จะคิดเชียว!

กลับมาฝั่งเบื้องหน้า ซินเจี่ยเซิงบนรถเปิดประทุนมองกระจกหลังอยู่แทบตลอดเวลา เลยเป็นธรรมดาที่จะเห็นท่าทีสนิทสนมระหว่างฉินเฟิงกับไป๋หลี แม้มือและเท้าจะยังคงควบคุมรถ แต่ในหัวใจกลับอดรู้สึกอิจฉาไม่ได้ไปวูบหนึ่ง เจ้าตัวย่ำกระแทกคันเร่งอย่างรุนแรง

ภายใต้ความเร็วที่พุ่งสูงขึ้น ไม่นานทั้งสองก็เดินทางมาถึงศูนย์ประลองผู้ใช้พลัง

“ฉันละอยากจะเห็นจริงๆ ว่าแกจะแน่ซักแค่ไหน ตอนนี้ยังทันนะ ถ้าช้ากว่านี้ต่อให้แกคุกเข่า อ้อนวอนขอความเมตตาฉันก็ไม่ปราณี!”

ฉินเฟิงคร้านจะโต้เถียง เขาหันไปมองสำรวจสังเวียนต่อสู้

เขาพบว่าสถานที่แห่งนี้กว้างมาก ภายในถูกออกแบบมาแบบเปิดโล่ง

เข้าไปในศูนย์ประลอง จะเป็นจตุรัสที่กว้างกว่า 200 เมตร และบนจตุรัสมีสังเวียนต่อสู้ตั้งอยู่มากมาย บ้างมีขนาด 10 เมตร บ้าง 20 เมตร และมีอย่างน้อยๆ 40 กว่าคนที่กำลังต่อสู้อยู่บนสังเวียนต่างๆ นี่เองคือเหตุผลว่าทำไมบนจตุรัสถึงมีทั้งสังเวียนเล็กและใหญ่ และแน่นอน ว่ารอบนอกของจตุรัสมีหน้าต่างสูงขึ้นจากพื้นจนจรดเพดาน เพื่อให้ผู้คนสามารถรับชมการประลองในห้องส่วนตัวได้

ฉินเฟิงเดินตามซินเจี่ยเซิงไปยังโถงลงทะเบียน

เขาพบว่าโครงสร้างตรงส่วนนี้ของศูนย์ประลอง ไม่ด้อยไปกว่าโถงทดสอบอบิลิตี้ในเมืองเฉิงเป่ยเลย และเกรงว่ามันยังมีอุปกรณ์ครอบคลุมยิ่งกว่าซะอีก

ส่วนกฏของศูนย์ประลอง ชนะแต่ละครั้งจะได้รับรางวัลตอบแทน ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้มีใครเล่นตุกติกดั่งสำนวนแสร้งเป็นหมูกินเสือ อย่างเช่นการจับคู่ประลองกับคนที่อ่อนแอ โถงลงทะเบียนจึงมีเครื่องมือทดสอบพลังที่สามารถวัดผลได้อย่างแม่นยำ ไม่ว่าจะเป็นพลังสมาธิ , ความแข็งแกร่งทางกายภาพ , กำลังภายใน ทั้งหมดล้วนสามารถทดสอบได้

แต่โชคยังดีที่มันไม่มีเครื่องมือทดสอบรูนอบิลิตี้ มิฉะนั้นฉินเฟิงคงอดเข้าร่วมการต่อสู้นี้ซะแล้ว

และเพื่อป้องกันการโกงการประลอง ไม่เพียงแต่จะไม่มีรางวัลในส่วนของคนที่ทำข้อตกลงว่าจะจับคู่ประลองกัน แต่คนที่ขึ้นไปบนสังเวียนยังต้องจ่ายเงินอีกเป็นจำนวนกกว่า 10,000 เหรียญ และผลแพ้ชนะจะต้องถูกตัดสินในเวลาครึ่งชั่วโมง

ซึ่ง 10,000 สำหรับผู้ใช้พลัง มันก็แค่เศษเงิน

ทางฝั่งซินเจี่ยเซิง เขาเป็นคนของเมืองเฉิงหยาง และเห็นได้ชัดว่ามิใช่มีสถานะเล็กจ้อย เพราะทันทีที่เขาก้าวเข้ามา ผู้จัดการศูนย์ประลองก็ออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง

“วันนี้ทำไมนายน้อยซินถึงมีเวลาว่างมาแวะมาเยี่ยมเยือนขอรับ ใช่ต้องการหาคู่มือสักคนสองคนรึเปล่า?”

แต่ซินเจี่ยเซิงตอนนี้อารมณ์ไม่ดีอย่างเห็นได้ชัด เขายกอุปกรณ์สื่อสารของตนเอง และส่งหมายเลขนักสู้ของตนออกไปทันที ปากเอ่ยเสียงเย็น “พอดีว่ามีไอ้เด็กตาบอดแส่หาที่ตาย ดังนั้นก็เลยว่าจะมอบบทเรียนให้กับมันซักหน่อย!”

“ฮ่าฮ่า!” ผู้จัดการรีบประจบประแจง “ใครกันที่ตามืดบอด นี่มันไม่รู้รึไง ว่าความแข็งแกร่งของนายน้อยซิน ไม่ใช่สิ่งที่ใครๆจะสามารถต่อกรได้ โปรดรอสักครู่นะขอรับ เดี๋ยวกระผมจะจัดเตรียมสังเวียนให้ในทันที!”

ผู้จัดการแยกไปเตรียมการ ขณะเดียวกันในเวลานี้ ก็ยังมีคนอื่นๆเริ่มมารุมล้อม ทุกคนต่างก็รู้จักซินเจี่ยเซิง หรือบางทีอาจจะเป็นพวกเขาที่รู้จักซินเจี่ยเซิงฝ่ายเดียว แต่แค่อยากประจบประแจง เลยเสนอหน้าเข้ามา

ซินเจี่ยเซิงเรียกได้ว่ากลายเป็นดาราดังในพริบตา

ตรงกันข้ามกับฉินเฟิง ที่กำลังเดินนำไป๋หลีเข้ามา เขาเพียงถูกกวาดมองขึ้นๆลงๆ และในแววตาของผู้คนฉายชัดถึงความสงสาร แต่ก็มีบ้างที่ยินดีต่อความโชคร้ายของผู้อื่น

“นายน้อยซิน คุณต้องการสั่งสอนเจ้าเด็กนี่ใช่ไหม? มันบ้าไปแล้ว ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันจะกล้าท้าทายคุณ!”

“เลเวลG งั้นหรอ? ขยะแบบนี้มันไม่คุ้มค่าให้นายน้อยซินต้องลงมือหรอก ขอให้ผมได้จัดการมันแทนดีกว่า ใช้แค่มือเดียวก็พอแล้ว!”

“ส่วนกระผมขอแค่สองเท้า จะเตะมันให้ปลิวไปเลย!”

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”

ซินเจี่ยเซิงที่เฝ้ามองผู้คนประจบประแจง ตวาดด้วยความรังเกียจ

“เขาไม่ใช่เลเวล G ! แต่แข็งแกร่งยิ่งกว่านั้นมาก!!” ซินเจี่ยเซิงเอ่ยปาก “แต่แข็งแกร่งแล้วมันยังไง? เพราะสุดท้ายบนสังเวียน ยังไงก็ถูกฉันอัดคว่ำอยู่ดี!”

ประโยคนี้ บ่งบอกชัดว่าไม่เห็นฉินเฟิงอยู่ในสายตา

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Status: Ongoing
ยุคมืดได้มาเยือน รอยแยกมิติปรากฏขึ้นบนผืนโลก เหล่าสัตว์ร้ายเข้ามารุกราน สัตว์ป่าเองก็เริ่มกลายพันธุ์ ส่งผลให้ทุกสิ่งพลิกตลบ มนุษย์ที่เคยยืนอยู่บนจุดสูงสุดตลอดมา กลับกลายเป็นสิ่งมีชีวิตต่ำสุดในห่วงโซ่อาหาร …ร้อยปีต่อจากนั้น จึงได้ถือกำเนิดสามอาชีพหลักที่ใช้ต่อกรกับพวกที่กล่าวมาข้างต้นขึ้น อันได้แก่ ผู้ใช้อบิลิตี้ , ผู้ใช้วรยุทธ และมือปืนขึ้น‘ฉินเฟิง’ เด็กกำพร้าที่เกิดในช่วงยุคมืด ได้ถูกลักพาตัวไปในวันที่เขาสามารถปลุกอบิลิตี้ของตนเองให้ตื่นขึ้น ถูกจับไปทรมานทดลอง แต่สุดท้ายก็รอดหนีรอดมาได้ และใช้ชีวิตยาวนานกว่า 10 ปี และหลังจากนั้นเอง ในช่วงโลกาวินาศของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เขาก็ได้กลับไปเกิดใหม่อีกครั้ง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท