Ch.163 – กลับสู่เมืองหานอีกครั้ง
Provider : Muntra
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.163 – กลับสู่เมืองหานอีกครั้ง
ในชีวิตก่อน เป็นหลุยเหมิงที่ได้ทักษะลับกลืนดาราไปครอบครอง หลงระเริงไปกับมัน นำมาซึ่งเหตุการณ์นองเลือดมากมาย
นั่นเองคือสิ่งที่ทำให้เขามีชื่อเสียงชั่วร้ายดังกระฉ่อน
แต่ฉินเฟิงจะไม่ทำเช่นนั้น
ตราบใดที่เขาไม่สังหารผู้บริสุทธิ์ตามอำเภอใจ ทักษะลับกลืนดาราก็จะเป็นเทคนิคเฉพาะตัว และไม่ถูกใช้งานในทางไม่ดี
แน่นอน ว่าทักษะลับดังกล่าวยังทำให้กำลังภายในปั่นป่วนเช่นกัน กล่าวได้ว่านอกจากฉินเฟิงแล้ว ไม่มีใครที่เหมาะสมที่จะใช้งานมัน
และมั่นใจได้เลย ว่าเขาจะไม่เผยแพร่ทักษะฝึกฝนนี้ออกไปอย่างแน่นอน
ตันหยูเป็นเพียงคนแรกที่เข้ามาสอบถามเขา จากนี้ไป เกรงว่าคงจะมีเพิ่มขึ้นไม่จบสิ้น
ดังนั้นเพื่อรับมือกับมัน ที่ฉินเฟิงต้องทำ คือเติบโตขึ้น พัฒนาขึ้น แข็งแกร่งขึ้นจนไม่มีผู้ใดกล้ามาสอดรู้สอดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้!
ต้องฝึกฝนจนแข็งแกร่งให้มากพอจนผู้คนไม่อาจไล่ตามเขาได้ทัน มากพอที่จะไม่ให้ใครมาคุกคามตนเอง
เสียงรถไฟคำรามข้ามผ่านทุ่งล่า ในที่สุดก็มาถึงเขตชานเมืองหาน
ปัจจุบันกลุ่มคนของทางเฉิงเป่ยอยู่ห่างจากเมืองหานราวๆ 10 ไมล์ ที่นี่มีสถานชุมชนขนาดเล็กถูกจัดตั้งขึ้น แต่ไม่มีอุปกรณ์รักษาเสถียรภาพมิติ คาดว่าน่าจะเป็นเหมือนกับค่ายชั่วคราว
ในพื้นที่ ห้องพักทุกหลังถูกสร้างขึ้นด้วยเหล็กแบบดาดๆ ไม่ว่าจะเป็น ผู้ลี้ภัย , พ่อค้า หรือผู้ใช้พลัง ทั้งหมดล้วนมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ สภาพแวดล้อมเลยค่อนข้างแย่
แต่อย่างน้อยก็ยังมีที่ให้ซุกหัวนอน ทุกคนถูกจัดให้อยู่ในบ้านหลังเล็กๆ พักผ่อนในห้องที่ดูเรียบง่าย ส่วนอุปกรณ์สื่อสารได้ถูกเชื่อมต่อกับกองบัญชาการของเครือข่ายท้องถิ่น เพื่อให้สะดวกต่อการตัดสินใจและวางแผน
ในช่วงเวลานี้ เหนือเมืองหานปรากฏโดรนลอยลำอยู่เป็นจำนวนมาก มันคอยสำรวจและส่งรายงานสถานการณ์ในพื้นที่รับผิดชอบของตน อย่างเช่นตรงตำแหน่งนี้ พลเมืองได้รับการช่วยเหลือแล้ว ตรงนี้ยังหลงเหลือแมลงสัตว์ร้ายอยู่ หรือตำแหน่งไหนได้รับผลกระทับหนักสุด ทุกสิ่งล้วนปรากฏขึ้นบนแผนที่จากเครือข่าย
“ลูกพี่ ถ้าเทียบกับตอนพวกเรา ปัจจุบันรอยแยกมิติเล็กกว่าเดิมมาก เรื่องนี้เหมือนว่าคนของทางฟูเฉิงเองก็กำลังพูดถึงมันอยู่เหมือนกัน ว่าต้องการเก็บกวาดพื้นที่รอบๆให้มั่นคงก่อน หรือว่าบังคับปิดมันลงเลยในทันทีดี แต่ไม่ว่าจะข้อไหน มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะกู้คืนเมืองหานในตอนนี้”
ฉินเฟิงพยักหน้าสายตายังคงจดจ้องอยู่บนแผนที่เมืองหาน
“พื้นที่ตรงส่วนนี้ .. ” พอกวาดมองจนถึงตำแหน่งหนึ่ง คิ้วของฉินเฟิงก็ขมวดเล็กน้อย อันที่จริงก่อนออกเดินทาง เขาก็คิดเอาไว้อยู่แล้ว แต่พอเห็นด้วยตาตัวเองมันก็–
วังเฉินที่กำลังสนทนา แจ้งข้อมูลแก่เขาทันที
“ตำแหน่งนั้นคือรังมด จากการสอดแนมอยู่หลายวันด้วยโดรนบิน เลยพอคำนวณปริมาณคร่าวๆของมดเหล็กดำได้ ที่สำคัญนางพญาของพวกมันยังเลื่อนขั้นขึ้นเป็นราชันย์สัตว์ร้ายเรียบร้อยแล้ว!”
ดวงตาของฉินเฟิงเริ่มอึมครึม
ในชีวิตก่อนหน้า เหตุการณ์นี้ไม่เคยเกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม เรื่องราวดังกล่าวถือว่าสมเหตุสมผล
เพราะเสือสองตัวมิอาจอยู่ร่วมถ้ำเดียวกันได้
สัตว์ร้ายประเภทแมลงในเมืองหานแตกต่างจากชุดคลุมดำกระหายเลือดและราชันย์อัศวิน ที่เป็นเผ่าพันธุ์มากสติปัญญา ไหนจะเรื่องที่พวกมันเป็นซากศพเหมือนกันทั้งหมดอีก แต่ส่วนหนึ่งคาดว่าคงเป็นเพราะมันตกอยู่ภายใต้คำสั่งของเจ้านายมือขาดเช่นกัน ทั้งหมดที่กล่าวมาจึงเป็นเหตุผลให้ระดับราชันย์ทั้งสองร่วมมือกันได้
แต่ในเมืองหาน ราชันย์ตัวแรกที่ปรากฏขึ้นคือแม่พันธุ์แมงมุมเลือดขาเหล็ก และไม่มีแมลงสายพันธ์ใดต่อกรกับมันได้ ดังนั้นมันจึงเริ่มสร้างอาณานิคมของตน ขณะเดียวกันก็เป็นเสือที่คอยเฝ้าจับตามองสายพันธ์อื่นที่อาจขึ้นมาเป็นศัตรู
เดิมทีแม่พันธุ์แมงมุมตัดสินใจไว้ก่อนแล้ว ว่าทันทีที่ลูกแมงมุมขาเหล็กฟักตัว มันก็จะเริ่มออกล่าแมลงสายพันธ์อื่นๆที่อาจก่อภัยคุกคาม อย่างไรก็ตาม มันกลับถูกสังหารลงโดยฉินเฟิงซะก่อน
ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อศัตรูโดยธรรมชาติตกตายลง ฝูงมดเหล็กเลยเริ่มออกล่าหากินไม่เลือก พวกมันค่อยๆเติบโตขึ้น แข็งแกร่งขึ้น มีการแจกจ่ายอาหารและแหล่งพลังงานมากขึ้น จนสุดท้ายภายในรังก็ให้กำเนิดตัวตนระดับราชันย์สัตว์ร้าย
และเช่นเดียวกันกับแม่พันธุ์แมงมุม นางพญามดครอบครองอัตราการสืบพันธุ์ที่สูงมาก ต่างตรงที่ไม่ใครหยุดมัน อาณาจักรมดขนาดใหญ่จึงถือกำเนิดขึ้น
“หากใช้มันเป็นจุดศูนย์กลาง การแพร่กระจายของแมลงสัตว์ร้ายในเมืองหานจะดูเป็นรูปเป็นร่างค่อนข้างชัดเจน ลูกพี่ตั้งใจจะไปลุยตรงจุดไหนก่อนดี?” วังเฉินถามด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย
เป็นประกายที่เผยถึงความเคารพขณะเดียวกันก็ตื่นเต้น
วังเฉินย้อนนึกไปถึงในตอนแรก ในฉากที่ฉินเฟิงเผชิญหน้ากับแม่พันธุ์แมงมุมเลือดขาเหล็กเพียงลำพัง
การต่อสู้ในครั้งนั้น หากใครไม่ได้ดูมัน ขอบอกเลยว่าอดเสียดายแทนไม่ได้จริงๆ!
“นางพญามดเหล็กไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะต่อกร” ฉินเฟิงกล่าวเสียงจม “เพราะฝูงมดมีปริมาณมากเกินไป”
ในครั้งแรกที่ฉินเฟิงจากมา ฝูงมดน่าจะมีสักราวๆ 10,000 ตัวเท่านั้น
แต่ปัจจุบันเวลามันก็ผ่านไปนานมากแล้ว ยิ่งไม่มีศัตรูตามธรรมชาติ ปริมาณของฝูงมดจึงเติบโตขึ้นกว่าเดิมถึง 5 เท่า
ยังไม่พอ พวกมันยังคงแพร่พันธุ์ วางไข่นับพันในทุกๆวัน ดังนั้นมันจึงมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น และมากขึ้น ในขณะที่มดแรกเกิดจำเป็นต้องกัดแทะเหล็กหรือคอนกรีดบางส่วนเป็นอาหาร ซึ่งในที่นี้มีปริมาณอาหารที่ว่าอยู่มากพอชนิดล้นเหลือ พวกมันจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว
ปัจจุบันตลาดอาหารที่พวกมันทำรังอยู่ อาคารทั้งหมดได้กลายเป็นก้อนกลมๆจนสิ้น และก้อนกลมๆที่ว่า คืออุจจาระที่มดเหล็กขับออกมา
กลายเป็นกองอุจจาระมดขนาดมหึมา
วังเฉินพอได้ยินคำของฉินเฟิง สีหน้าตื่นเต้นของเขาก่อนหน้านี้ก็เริ่มมลายหายไป
“นอกจากนี้ เรื่องการปิดล้อมรังนางพญามด เอาไว้ค่อยพูดกันในภายหลัง เพราะยังไงซะนางพญามดก็คงไม่โผล่มาง่ายๆอยู่ดี”
“อ้อ แล้วก็นะ ในศึกช่วงแรกฉันจะไม่ร่วมทีมกับนาย แต่จะขอแยกไปคนเดียว ส่วนนายฉันฝากรับหน้าที่ปกป้องโจวฮ่าวและทีมของเขาอยู่ห่างๆ ให้คนที่จะกลายมาเป็นสมาชิกใหม่ของสถานชุมชนเฟิงหลีได้มีประสบการณ์ต่อสู้ และแข็งแกร่งขึ้น”
“รับทราบ ไว้ใจได้เลยลูกพี่”
ว่าจบ ฉินเฟิงก็ศึกษาตำแหน่งต่างๆบนแผนที่จนเข้าใจอีกครั้ง และตัดสินใจไปดูด้วยตาตนเอง ยิ่งไปกว่านั้นเขายังต้องพาไป๋หลีไปทำภารกิจรับตราโลโก้ผู้ใช้พลังเลเวล G ด้วย
ฉินเฟิงเรียกม้าศึกออกมา เอื้อมมือไปโอบเอวไป๋หลี อุ้มขึ้นขี่มัน พลังสมาธิของฉินเฟิงถูกกระตุ้น ม้าศึกเริ่มขยับฝีเท้า ควบวิ่งขึ้นสู่ฟากฟ้า ทิ้งไว้เพียงภาพติดตาเป็นเงา โผบินสู่เมืองหาน
หลายคนเงยหน้าขึ้นมอง โดยเฉพาะผู้ที่ใช้รถไฟฟรีที่เมืองหานจัดเตรียมเอาไว้ให้
หลังจากเกิดโลกาวินาศ การรุกรานของรอยแยกมิติยังนำไปสู่การเกิดสิ่งแปลกใหม่และมหัศจรรย์ขึ้นมากมาย แม้ม้าศึกทมิฬจะน่าทึ่งมาก แต่ในยุคสมัยนี้ มีกระทั่งบางคนที่ขี่มังกร เพียงแต่ผู้ใช้พลังระดับต่ำเกินไปไม่มีทางจะได้พบเห็นมันก็เท่านั้นเอง
ไม่นาน เมืองหานก็ปรากฏสู่สายตาของฉินเฟิง เนื่องจากไม่มีทหารรักษาการณ์ เลยมีแมลงสัตว์ร้ายเกาะอยู่บนกำแพงเมืองประปราย
และภายนอกเมือง ยังสังเกตเห็นได้ถึงมังกรดิน และแมลงสัตว์ร้ายระดับต่ำ ชัดเจนว่าพวกมันเริ่มขยายอาณาเขตออกมาสู่ภายนอกแล้ว
เนื่องจากสายพันธ์ของพวกมันไม่ได้มีกลุ่มใหญ่โต จึงถูกขับไล่ออกจากเมืองหาน ที่ซึ่งเป็นดินแดนอุดมสมบูรณ์ในสายตาของพวกแมลง
แม้จะเป็นแค่มังกรดิน แต่ก็ใช่ว่าจะง่ายที่จะจัดการ
เบื้องล่างของฉินเฟิง ผู้ใช้พลังเลเวล G หลายคนกำลังรวมกลุ่มกันปิดล้อมมังกรดิน ร่วมกันสู้อย่างครึกครื้น
กองทัพจากหลายแห่งก็กำลังทำการกวาดล้างมันอยู่เช่นกัน
“อ๊า!”
แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆหนึ่งในนั้นก็กรีดร้องโหยหวน เขาดันประมาท เผลอถูกมังกรดินกัดเอา ลำตัวของมังกรดินเริ่มดิ้นพล่าน คิดหมายจะดิ่งลงสู่พื้นดินเบื้องล่าง และหากมันทำสำเร็จ นั่นหมายความว่าชายคนนั้นจะจมลงสู่ความตาย!
“ไม่!”
“อดทนไว้ ฉันกำลังจะไปช่วยเดี๋ยวนี้แหละ!”
เพื่อนร่วมทีมของเลเวล G ร้องตะโกน เขาพยายามอย่างเต็มที่ไม่ให้สหายตนถูกกลืนหายลงไป
ม้าศึกของฉินเฟิงควบผ่านมาพอดี
“ลำแสงเปลวเพลิง!”
หนึ่งมือสะบัดออกไปอย่างเรียบง่าย รูนไฟสีแดงเข้มตกลงบนลำตัวขนาดใหญ่ของมังกรดิน บังเกิดเสียงระเบิดตูม! ดังกึกก้อง ลำตัวยาวน่าเกลียดถูกเป่าหายจนขาดครึ่งทันที
เมื่อมังกรดินระเบิดขาดครึ่ง ผู้ใช้พลังเลเวล G ก็กระเด็นหลุดไปพร้อมกับส่วนหน้าของลำตัวที่ใช้งับ และร่วงกระแทกลงกับพื้น แม้จะเปล่งเสียงร้องน่าสงสารออกมา แต่ชีวิตของเขาไม่ตกอยู่ในอันตรายอีกต่อไป
รอดชีวิตมาได้อย่างหวุดหวิด!
อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงทำทีราวกับเขามิได้เพิ่งช่วยชีวิตใคร ตนเพียงควบม้าศึกผ่านไป เข้าสู่ประตูหน้าเมืองหาน
ทั้งทีมตกอยู่ในอาการช็อก มองตามแผ่นหลังของฉินเฟิง บังเกิดความสำนึกคุณ ในแววตาฉายถึงร่องรอยเคารพเทิดทูน
“รอดไปที นายไม่เป็นไรนะ”
“เมื่อกี้มีผู้ใช้อบิลิตี้เลเวล F ช่วยนายไว้”
“เป็นผู้ใช้อบิลิตี้ราวกับสวรรค์โปรด!”
“เอาไว้หลังจากนี้ ก็อย่าลืมไปขอบคุณเขาด้วยล่ะ”
ฉินเฟิงไม่สนในว่าอีกฝ่ายคิดขอบคุณหรืออย่างใด เขาทำแค่เพียงควบเร่งเข้าสู่ใจกลางเมืองหาน และหยุดอย่างรวดเร็ว
“เธอยังจำสิ่งที่ฉันสอนได้หรือเปล่า? อย่าทำอะไรที่มันประเจิดประเจ้อ เป็นการเผยตัวตนที่แท้จริงมากเกินไป”
“รับทราบ!”
ไป๋หลีพยักหน้า ในมือปรากฏอาวุธขาวราวหิมะ
–มันคือมีดเซรามิก
แน่นอน ว่าภายในมันบรรจุวัตถุดิบสัตว์ร้ายเอาไว้มากมาย จึงมีความทนทานเป็นอย่างมาก มีรูปทรงที่เรียวบางคล้ายมีดกษัตริย์ครามรุ่นเก่าของฉินเฟิง
และเหตุผลที่ไป๋หลีเลือกอาวุธนี้ ก็เพราะว่ามันดูสวยดี!