โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ – ตอนที่ 270

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.270 – กลับบ้านพร้อมทรัพยากรเต็มพิกัด

เป้าหมายของฉินเฟิงนั้นชัดเจน

ไม่นาน เขาก็มาถึงเบื้องหน้าของหวังจื่อเฉา

“ราชันย์สัตว์ร้ายตัวนี้คุณไม่ต้องจ่ายเงินให้ก็ได้ แต่สินสงครามรอบนี้ทั้งหมดจะต้องเป็นของผม อ้อ อย่าลืมช่วยเก็บกวาดให้ด้วยล่ะ แค่นี้ไม่มากเกินไปใช่ไหม?”

เทียบกับการช่วยให้เมืองไห่รอดพ้นจากกระแสกองทัพสัตว์ทะเล แค่นี้ไม่นับว่ามากเกินไปแน่นอน!

ถึงจะเป็นแบบนั้น แต่ในฐานะผู้ดำรงตำแหน่งบังคับบัญชา หวังจื่อเฉาไม่อยากจะเอ่ยออกไปจริงๆ ทว่าเมื่อลองสังเกตดูรอบๆ และพบว่าทุกสายตากำลังจับจ้องมองมา เขาก็ต้องกล้ำกลืนฝืนทนตอบกลับไป

แน่นอนทุกสายตาไม่ได้มองมาที่เขา แต่ตรงดิ่งไปยังฉินเฟิง มันคือสายตาที่ใช้มองวีรบุรุษ!

“ได้เลย ไม่มีปัญหา นี่คือสิ่งที่ทางเราสมควรจะทำอยู่แล้ว สินสงครามของผู้ว่าการฉินจะไม่มีขาด หรือตกหล่นอย่างแน่นอน!” หวังจื่อเฉาแทบจะกัดฟันกล่าว พูดจบก็เบือนหน้าหนีไปอีกทาง

“วางใจได้เลยผู้ว่าการฉิน สินสงครามทั้งหมดในครั้งนี้จะเป็นของคุณ พวกเราจะช่วยจับตาดูให้เอง!”

“ใช่แล้วผู้ว่าการฉิน ถ้าใครหน้าไหนมันกล้าแตะต้องของอะไรที่นี่ พวกเราจะทำให้มันรู้สำนึกเอง!”

“คุณไปพักผ่อนเถอะผู้ว่าการฉิน”

กลุ่มคนทั้งหมดต่างยืนอยู่ข้างฉินเฟิง ใบหน้าของหวังจื่อเฉาดำคล้ำยิ่งกว่าเดิม

เขาไม่ได้คิดจะยักยอกสินสงครามของฉินเฟิงซะหน่อย แต่คำที่ทุกคนพูดออกมา มันเหมือนกับว่าเขาคิดจะมุบมิบสินสงครามเลยไม่ใช่รึไง?

ฉินเฟิงพยักหน้าให้ฝูงชนโดยรอบ แล้วเดินจากไป

แสงอาทิตย์บนขอบฟ้าได้จางหาย กว่าจะเก็บรวบรวมสินสงครามเสร็จ เวลาก็ผ่านไปนานมากแล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่เหมือนคราวก่อนๆ ที่ฉินเฟิงมักจะขายมันไปเลยโดยตรง แต่เลือกที่จะติดต่อตันหยู ให้ช่วยเตรียมรถบรรทุกมัน และพาฉินเฟิงไปส่งกลับเมืองพร้อมๆกัน

ตกดึก ฝูงชนก็ยังคงไม่คลายความหวาดระแวง เฝ้ารอจนกระทั่งถึงรุ่งเช้า แต่เวลาล่วงเลยเกินกว่า 10 ชม. แล้ว กระแสทัพสัตว์ทะเลก็ยังไม่มา มีแค่พวกสัตว์ทะเลเล็กๆน้อยๆคลานขึ้นมาบนฝั่ง แต่ก็ถูกป้อมปราการเก็บเรียบ

จนถึงเวลานี้ ทุกคนจึงค่อยทราบกันในที่สุด ว่าการรุกรานจากท้องทะเลประจำปีได้สิ้นสุดลงแล้ว!

ฉินเฟิงนำรถบรรทุกกว่า 20 คัน บรรจุเต็มไปด้วยวัตถุดิบสัตว์ร้ายเตรียมกลับบ้าน

และในฐานะที่เขาเป็นวีรบุรุษอันดับต้นๆของภารกิจปราบปรามสัตว์ทะเล เพื่อไว้หน้าเขา หวังจื่อเฉาและคนอื่นๆในคณะ ทั้งหมดเลยต้องออกมาส่งฉินเฟิง แต่เพียงแค่เห็นใบหน้าของฉินเฟิง ทั้งหมดก็กลายเป็นน่าเกลียด

เพราะแม้การรุกรานจะสิ้นสุดลงแล้ว แต่พวกเขาได้ส่งโดรนกลับไปสำรวจดูปราการศิลาดำ และพบว่าปราการถูกทำลายย่อยยับ เกรงว่าจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมากในการซ่อมแซม

และทั้งหมดนี้ล้วนเป็นฝีมือของฉินเฟิง

ฉินเฟิงยิ้มมุมปาก มีหรือที่คนอย่างเขาจะไม่เข้าใจความคิดของคนพวกนี้

ก็แล้ว .. ถ้าอีกฝ่ายไม่คิดกำจัดฉินเฟิง ทุกอย่างมันจะมาจบลงในรูปแบบนี้ได้อย่างไรกัน?

–ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว!

“เอาล่ะท่านรองเทศมนตรี ขอบคุณสำหรับน้ำใจของคุณ แต่ไม่ต้องไปส่งก็ได้” ฉินเฟิงปฏิเสธฝูงชน

หวังจื่อเฉากล่าวด้วยท่าทีแปลกๆ “หวังว่าผู้ว่าการฉินจะตอบรับคำเชิญจากเมืองไห่ของเราในปีหน้า หากมีผู้ว่าการฉิน เมืองไห่คงปลอดภัยไร้กังวล!”

“ฮ่าฮ่า” ฉินเฟิงหัวเราะคำหนึ่ง “เรื่องนั้นไม่จำเป็นหรอก เพราะปีหน้า คิดว่าเทศมนตรีเล่ยคงจะกลับมาแล้ว และอีกอย่าง เกรงว่าพอถึงเวลานั้น ผมคงต้องเข้าร่วมภารกิจในแนวหน้า ไม่มีเวลามาร่วมปราบปรามทัพสัตว์ทะเลหรอก”

รูม่านตาของหวังจื่อเฉาหดวูบลง ในหัวใจเต้นครึกโครม —ฉินเฟิงทราบได้อย่างไรว่าเล่ยเฉินไม่ได้อยู่ในเมืองไห่!?

แต่ไม่นาน เขาก็จับใจความสำคัญจากประโยคของฉินเฟิงได้อีกหนึ่ง ในแววตาแสดงชัดถึงทั้งความริษยาและเย้ยหยัน

“ผู้ว่าการฉินน่าทึ่งมากก็จริง แต่ในสามเฉิงของเรา ยังไม่เคยมีใครก้าวขึ้นสู่เลเวล D ได้ทั้งที่ยังเด็ก!”

แนวหน้า … ที่หมายถึงแนวหน้าจริงๆ มันคืออาณาเขตหน้าสุดของฐานมนุษย์ สามเฉิงถือว่าเป็นสถานที่ปลอดภัยที่อยู่แนวหลัง แต่ก็ยังมีสัตว์ร้ายมากมายถึงเพียงนี้

ฉะนั้นคงไม่ต้องกล่าวอธิบาย ว่าแนวหน้าของจริงนั้นอันตรายเพียงใด?

และในแนวหน้า คือสถานที่ซึ่งผู้ใช้พลังเลเวล D แต่ละคนต้องไปประจำการ หลังจากต่อสู้เป็นเวลา 3 เดือน จึงจะสามารถกลับมายังแนวหลังได้

หวังจื่อเฉาไม่คาดคิดเลยว่าฉินเฟิงจะมั่นใจถึงขนาดนี้ ปากเอ่ยว่าจะไปแนวหน้าในปีถัดไป นั่นไม่ได้จะสื่อว่าตนสามารถก้าวขึ้นสู่ระดับ D ได้ในปีเดียวหรอกหรือ?

“ผมจะถือว่านั่นเป็นคำอวยพรก็แล้วกัน” ฉินเฟิงเผยยิ้มจางๆ

หวังจื่อเฉาไม่คิดเอ่ยคำใดอีก เฝ้ามองฉินเฟิงเดินขึ้นรถล่องเวหาไป

อีกทั้งยังมีรถบรรทุกสินค้าติดตามไปเบื้องหลังมากกว่า 20 คัน

ทั้งหมดล้วนเป็นวัตถุดิบจากกองทัพสัตว์ทะเล

ซึ่งปริมาณของมัน เทียบเท่าได้เลยกับหุ้น 1 / 10 ส่วนของเมืองไห่!

แต่ทั้งหมดถูกพรากจากไปโดยฉินเฟิง

ทุกคนไม่ว่าใครต่างก็รู้สึกอิจฉา

“ท่านรองเทศมนตรี เวลานี้พวกเราควร …. ” ผู้บัญชาการกองทัพ เมื่อเห็นฉินเฟิงจากไป ก็อดไม่ได้ที่จะเร่งถาม

หวังจื่อเฉาสาดสายตาดุร้ายมองเขา ปากอ้าสบถ

“ควรจะอะไร? จะให้ตามหาคนอื่นไปกำจัดเขาอีกรึไง? ไม่ได้เห็นความแข็งแกร่งของเขาหรือ เวลานี้ นอกเหนือไปจากเลเวล D คงไม่มีใครสามารถเอาชนะเขาได้อีกแล้ว”

ผู้บัญชาการกองทัพกลายเป็นบื้อใบ้

หยางปิงแทรกเข้ามาปรามอย่างรวดเร็ว “ท่านรองเทศมนตรี โปรดสงบใจลงก่อน เวลานี้ฉินเฟิงเป็นเลเวล E ที่ทรงพลังที่สุดในสามเฉิงไปแล้ว เกรงว่าหากทำอะไรหุนหันพลันแล่น อาจจะเป็นการดึงดูดความสนใจของทุกคนได้ เอาไว้รอให้บอสกลับมาก่อน แล้วค่อยตัดสินใจกันอีกครั้งดีกว่า ”

“เอาตามนั้นแหละ! ตอนนี้ก็อย่าเพิ่งมารบกวนฉันหรือเขา เรื่องต่อจากนี้เอาไว้ค่อยพิจารณากันอีกครั้งในอนาคต!” หวังจื่อเฉาหงุดหงิด หันหลังและจากไป

ฉินเฟิงในปัจจุบันมิใช่อะไรที่หวังจื่อเฉาจะสามารถรับมือได้

ฉินเฟิงออกไปพร้อมกับพาหนะขนส่งสินค้าทั้ง 20 คัน มีคนจากองค์กรมืดมากมายสังเกตเห็นคาราวานกองนี้ แต่กลับไม่มีใครกล้าที่จะฉกชิง ยังไม่พอ ทุกคนยังกลัวว่าฉินเฟิงจะเข้าใจผิด ดังนั้นพากันถอยออกไปให้ห่างไกล

ตลอดทั้งเส้นทาง จึงเป็นไปอย่างราบรื่น

สินค้าถูกขนส่งกลับมายังเฟิงหลี

ซูซิงฝูที่เห็นมันฉีกยิ้มจนมุมปากลากยาวไปจรดใบหู แม้ว่าทั้งหมดนี้จะเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของฉินเฟิง แต่คาราวานที่ขับมาส่งของระหว่างทาง ย่อมเป็นการโฆษณา ช่วยเพิ่มชื่อเสียงให้แก่สถานชุมชนเฟิงหลีเป็นอย่างดี

ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ว่าฉินเฟิงสามารถท้าทายราชันย์สัตว์ร้ายเลเวล E ได้เพียงลำพัง เรื่องนี้แพร่กระจายออกไปทั้งสามเฉิง

ปัจจุบัน ทำให้ฉินเฟิงกลายเป็นบุคคลอันดับหนึ่งที่ถูกกล่าวถึงในสามเฉิงไปโดยปริยาย

“ทำไมทำหน้าแบบนั้น? หรือว่ามีความสุขมากในระหว่างที่ผมจากไป” ฉินเฟิงมองใบหน้าอวบอ้วนของซูซิงฝูที่กำลังยิ้มแป้นและเอ่ยถาม

“ฮ่าฮ่าฮ่า ผู้ว่าการ คุณเห็นว่าฉันเป็นคนวิสัยทัศน์คับแคบขนาดนั้นเชียวหรือ?”

ฉินเฟิงส่ายหัวอย่างไร้หนทาง “ก็ได้ๆ คุณมีวิสัยทัศน์กว้างไกล ตอนนี้ก็ช่วยมองย้อนกลับมา แล้วสรุปให้ผมฟังสักที”

ซูซิงฝูไม่รู้สึกหงุดหงิดใดๆที่ถูกเหน็บแนม ยังคงหัวเราะร่า เอ่ยปากรายงานทางสถิติแก่ฉินเฟิง

“ท่านผู้ว่าการ คราวนี้นอกเหนือไปจากสินค้าจากกองทัพสัตว์ทะเลที่คุณนำกลับมาแล้ว เมื่อรวมกับวัตถุดิบที่คุณล่ามาได้อีกตลอดกว่า 10วัน มูลค่าโดยรวมของมันทั้งสิ้น จะอยู่ที่ราวๆ 30,000 ล้าน!”

เป็นมูลค่าที่ไม่ว่าใครได้ฟังก็ต่างขนลุก

ซูซิงฝูไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าฉินเฟิงสามารถทำได้อย่างไร

วัตถุดิบกองพะเนินเทินทึกเหมือนภูเขา ฉินเฟิงอาศัยไป๋หลีนำมันกลับมากองไว้ในคลังคฤหาสน์ แล้วให้ซูซิงฝูช่วยคำนวณ

ซูซิงฝูคิดว่าฉินเฟิงจะต้องครอบครองอุปกรณ์รูนมิติขนาดใหญ่ไว้กับตัวแน่ๆ

เขาตกใจกับทั้งปริมาณและคุณภาพ แต่ถึงจะเกิดข้อสงสัยว่าวัตถุดิบระดับราชันย์ทั้งสิบจะไม่มีแก่นพลังงานหรือแก่นอบิลิตี้รวมอยู่ด้วยก็ตาม แต่เท่าที่มีก็เป็นมูลค่ามหาศาล!

แน่นอน แม้ครั้งนี้จะไม่ดีเท่ากับในตอนเกาะต่างมิติ แต่เวลานั้นเขาฆ่าคนไปมาก ทั้งยังพบเจอสมบัติลับ เลยเป็นธรรมดาที่จะสามารถทำเงินได้เยอะกว่า

“อา ฝากคุณจัดการพวกมันด้วยก็แล้วกัน”

ซูซิงฝูพยักหน้า จากนั้นก็เริ่มเอ่ยถึงหัวข้อถัดไป “ท่านผู้ว่าการ ขอสารภาพว่าระหว่างคุณออกจากเมือง ฉันได้กระทำบางสิ่งบางอย่างโดยพลการ แต่รู้สึกว่าคุณอาจจำเป็นต้องใช้มัน … ”

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Status: Ongoing
ยุคมืดได้มาเยือน รอยแยกมิติปรากฏขึ้นบนผืนโลก เหล่าสัตว์ร้ายเข้ามารุกราน สัตว์ป่าเองก็เริ่มกลายพันธุ์ ส่งผลให้ทุกสิ่งพลิกตลบ มนุษย์ที่เคยยืนอยู่บนจุดสูงสุดตลอดมา กลับกลายเป็นสิ่งมีชีวิตต่ำสุดในห่วงโซ่อาหาร …ร้อยปีต่อจากนั้น จึงได้ถือกำเนิดสามอาชีพหลักที่ใช้ต่อกรกับพวกที่กล่าวมาข้างต้นขึ้น อันได้แก่ ผู้ใช้อบิลิตี้ , ผู้ใช้วรยุทธ และมือปืนขึ้น‘ฉินเฟิง’ เด็กกำพร้าที่เกิดในช่วงยุคมืด ได้ถูกลักพาตัวไปในวันที่เขาสามารถปลุกอบิลิตี้ของตนเองให้ตื่นขึ้น ถูกจับไปทรมานทดลอง แต่สุดท้ายก็รอดหนีรอดมาได้ และใช้ชีวิตยาวนานกว่า 10 ปี และหลังจากนั้นเอง ในช่วงโลกาวินาศของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เขาก็ได้กลับไปเกิดใหม่อีกครั้ง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท