โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ – ตอนที่ 372

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.372 – กลับสู่นุ่ยเหมิง

ระเบิดทำลายตัวเองของหยานชูว รุนแรงเป็นอย่างมาก

ทั้งสี่เมืองทะเลเหนือ ต่างคิดว่าเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ เริ่มส่งข้อความหากัน

จากนั้นทั้งสี่เมืองก็เปิดใช้งานดาวเทียมสแกน ตั้งพิกัด หันกล้องลงมายังปราการชาตง และพบว่าตัวเมืองล่มสลายลงไปเสียแล้ว

ยังไม่พอ ก่อนหน้านี้ยังมีสัญญาณขอความช่วยเหลือจากเลเวล D ติดต่อเข้ามายังพันธมิตรมนุษย์ชาติ และรายงานข้อมูลบางอย่างที่เกิดขึ้น

เหตุการณ์ดังกล่าว มันร้ายแรงเกินไป

อาจเรียกได้ว่า เป็นการโจมตีที่ร้ายแรงที่สุดขององค์กรมืดเลยก็ว่าได้

ประชากรทั้งหมดในชาตงตกตายลง อีกทั้งยังสูญเสียเลเวล D ที่ประจำการไปกว่าครึ่ง รวมไปถึงหูเหลียง บุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งจากพันธมิตรมนุษยชาติ ก็ยังตาย!

“ฉินเฟิง นายไม่เป็นไรใช่ไหม? โล่งอกไปที!”

ปลายสาย เฉินเซี่ยงเห็นใบหน้าของฉินเฟิง บวกกับสภาพแวดล้อมอีกอีกฝ่าย ก็รู้ได้ทันที ว่าฉินเฟิงอยู่บนฮอลศึกแล้ว

“อ่าฮะ แล้วตอนนี้พวกคุณอยู่ที่ไหน?” ฉินเฟิงเอ่ยถาม

“พวกเรากลับมาที่เมืองนุ่ยเหมิง ฉันไม่รู้หรอกนะว่าที่นี่มันปลอดภัยรึเปล่า แต่ฉินเฟิง เมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้นกัน? อำนาจอันน่าสะพรึงขนาดนั้นปรากฏขึ้นได้ยังไง? อาฟเตอร์ช็อกของมันกระเทือนมาถึงที่นี่เลย! ”

“ไม่มีอะไรมากหรอก ก็แค่เลเวล C ระเบิดตัวเอง” ฉินเฟิงตอบ

เฉินเซี่ยงอ้าปากค้าง

“น้องฉิน ไม่เป็นไรแน่นะ?”

ฉินเฟิงยิ้ม “หรือว่าพี่เฉินต้องการให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับผม?”

“ฉินเฟิง นายก็รู้ว่าฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น ฉันแค่ตกใจมากไปหน่อยเท่านั้นเอง!”

แรงระเบิดตัวเองของเลเวล C กระทั่งเมืองนุ่ยเหมิงก็ยังรู้สึกได้ ฉะนั้นเพียงลองจินตนาการก็น่าจะทราบว่ามันรุนแรงขนาดไหน แต่ในเมื่อฉินเฟิงไม่เป็นไร เฉินเซี่ยงก็วางใจ

ฉินเฟิงไม่คิดสนทนาไร้สาระกับเฉินเซี่ยงอีกต่อไป สีหน้าของเขากลายเป็นเคร่งขรึมจริงจัง

“ทางด้านเมืองนุ่ยเหมิง ตอนนี้สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง? แล้วพวกคนที่ได้รับการช่วยเหลือล่ะ? ปฏิกิริยาตอนนี้เป็นอย่างไร”

“ปฏิกิริยางั้นหรอ? นายกำลังหมายถึง .. ”

“คนเหล่านี้ได้รับยีนกลายพันธุ์แล้ว พวกเขาอาจไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป ทั้งยีนมนุษย์ยังถูกทำลาย ผมไม่รู้ว่าพวกเขาจะยังสามารถฝึกฝนวรยุทธโบราณได้อีกหรือไม่ในอนาคต , ความแข็งแกร่งจะลดทอนลงไหม และที่สำคัญที่สุดก็คือ พันธมิตรมนุษยชาติจะทำอะไรกับพวกเขา”

ช่วงเวลานี้ อะไรก็อาจเกิดขึ้นได้

เห็นได้ชัดว่าเฉินเซี่ยงไม่ได้คิดลึกซึ้งถึงขนาดนั้น พอถูกฉินเฟิงถาม เขาก็เริ่มเปลี่ยนเป็นจริงจัง

“ฉันได้ยินมาเหมือนกัน ว่าเลเวล D หลายคนคิดว่าที่นี่ไม่ปลอดภัย และต้องการจากไป” เฉินเซี่ยงกล่าว “พวกเราควรหยุดเอาไว้ไหม?”

“ทำไมต้องหยุดด้วย?”

“ก็ก่อนหน้านี้นายบอกเองนี่ ว่าคนพวกนี้ โอกาสรอดชีวิตเดียวคืออยู่ในองค์กรมืด เกรงว่าคงต้องไปเข้าร่วมกับองค์กรมืดเท่านั้นไม่ใช่หรอ ”

ฉินเฟิง “ถ้าพวกเขาต้องการ ก็ปล่อยไป เรื่องพวกนี้สมควรเป็นพันธมตริมนุษยชาติที่ต้องกังวล ไม่ใช่เรื่องที่ผมต้องคอยจัดการ แต่ช่วยดูหยานฟางเอาไว้ให้ดีแล้วกัน เขาคือกุญแจสำคัญของเรื่องนี้!”

เนื่องจากการต่อสู้ในครั้งนี้รุนแรงเกินไป มันได้เปิดเผยความแข็งแกร่งที่สมควรต้องเก็บงำไว้ออกมา อย่างไป๋หลีเองยังต้องปรากฏกายในรูปแบบจักรพรรดิสัตว์ร้าย ดังนั้นหยานฟางและมนุษย์กลายพันธุ์ทั้งเก้าคน ทุกคนเลยถูกฉินเฟิงสังหาร เพื่อกลบร่องรอยทั้งหมด

และตอนนี้ คนเดียวที่ยังสามารถรีดเร้นเบาะแสได้ ก็คือหยานฟาง!

“ฉันเข้าใจ คนของทางพันธมิตรมนุษย์ก็ให้ความสำคัญกับเขามากเหมือนกัน ผู้การรัฐกำลังมาจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง”

สี่เมืองทะเลเหนือมิใช่อาณาเขตระดับสูงสุด ดังนั้นย่อมมีเขตที่เหนือกว่า เลยจำเป็นตังมีหัวหน้าคอยดูแลเป็นธรรมดา และคนดูแลที่ว่าก็คือผู้การรัฐ

แต่ภายในสี่เมืองทะเลเหนือ ผู้การรัฐคนนี้ เป็นแค่เลเวล C เท่านั้น

ผู้การรัฐคนนี้รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เพราะภายในสี่เมืองทะเลเหนือ แท้จริงแล้วยังมีอีกสี่ตระกูลผู้ใช้วรยุทธโบราณ และทุกตระกูลล้วนมีเลเวล C คอยปกครอง ดังนั้น ผู้การรัฐเขตสี่เมืองทะเลเหนือ เลยไม่ค่อยมีปากเสียงมากนัก

“เข้าใจแล้ว เดี๋ยวพวกเราค่อยเจอกันอีกที พี่เฉินไปพักผ่อนก่อนเถอะ ผมว่าจะไปเมืองนุ่ยเหมิงเหมือนกัน”

“ตกลง ถ้านายมา ฉันก็โล่งใจ”

ทั้งสองวางสายสนทนา แต่แทบจะในทันที อุปกรณ์สื่อสารของฉินเฟิงก็ดังขึ้นอีกครั้ง

คราวนี้เป็นหานน่วน!

ฉินเฟิงรับสายโทรเข้า ภาพของหานน่วนปรากฏขึ้นมา ฉากเบื้องหลังบ่งบอกว่าเธออยู่ในโรงแรม และไม่มีใครอยู่รอบข้างเธอ แต่เสียงของเธอ มันเบาจนเกือบเป็นเสียงกระซิบ

“เจ้านาย พวกเขาจะถูกนำตัวไปทดลองรึเปล่า?”

สำหรับเรื่องนี้ หานน่วนรู้สึกเป็นกังวลจริงๆ

คนอื่นๆล้วนมีความแข็งแกร่งอยู่ในเลเวล D พวกเขาแข็งแกร่ง และยากจะต่อกร แต่หานน่วนเป็นแค่เลเวล E ทั้งยังเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ที่สภาพไม่เปลี่ยนแปลง ง่ายต่อการจับกุมและมีค่าต่อการวิจัยเป็นอย่างมาก

หานน่วนเลยรู้สึกกลัวเล็กน้อย

“คุณไม่ต้องกังวลหรอก” ฉินเฟิงกล่าวเสียงจม หานน่วนเป็นลูกน้องของเขา เป็นธรรมดาที่เขาจะปกป้อง “พวกนั้นไม่ได้มีร่างกายกลายพันธุ์โตเต็มวัย อาจจะน่าห่วงมากกว่าซะอีก ถ้าเทียบกับคุณ”

เพราะท้ายที่สุดแล้ว พวกที่เคยกลายพันธุ์ ย่อมมีโอกาสสูญเสียจิตสำนึก และฝั่งพันธมิตรมนุษยชาติ ย่อมหวั่นเกรงว่าพวกเขาอาจก่ออันตรายขึ้นอีก

“แต่ถ้าคุณกลัวจริงๆ ก็ให้ออกจากเมืองนุ่ยเหมิง แล้วไปยังสถานชุมชนของผม” ฉินเฟิงกล่าว “มันเรียกว่าสถานชุมชนเฟิงหลี ส่วนเรื่องทรัพยากรฝึกฝนของคุณ ผมจะเป็นคนมอบให้เอง”

หัวใจหานน่วนกระตุกไหว เกิดความคล้อยตามทันที

แม้ว่าสถานชุมชนเฟิงหลีจะอยู่ในสามเฉิง และมีทรัพยากรเทียบไม่ได้กับสี่เมืองทะเลเหนือ แต่ฉินเฟิงมีตลาดมืดอยู่ในครอบครอง ดังนั้นเรื่องทรัพยากรไม่ใช่ปัญหา

ยิ่งไปกว่านั้น หากไปยังเฟิงหลี ความสัมพันธ์ระหว่างหานน่วนกับฉินเฟิง จะไม่ใช่แค่นายจ้างกับลูกจ้างอีกต่อไป แต่เธอจะกลายเป็นลูกน้องของเขาอย่างแท้จริง!

การเอ่ยปากชักชวนนี้ เป็นการสื่อกลายๆว่าฉินเฟิงยอมรับหานน่วนแล้ว

“รับทรายเจ้านาย ฉันจะเร่งเดินทางทันที”

“อืม จำหมายเลขสื่อสารนี้เอาไว้ด้วย เวลาถึงคุณจะได้ติดต่อหาเขา”

หมายเลขสื่อสารที่ฉินเฟิงมอบให้หานน่วน แน่นอนว่าเป็นเลขของซูซิงฝู

หานน่วนจากไป ฉินเฟิงก็มาถึงเมืองนุ่ยเหมิง

เมืองนุ่ยเหมิง มีสถานที่จัดเตรียมสำหรับลงจอดฮอลศึกไว้ก็จริง แต่ขณะนี้ บนลานจอด มันกระจัดกระจายไปด้วยฮอลศึกชำรุดเสียหายกว่า 8 ลำ เห็นได้ชัดว่านี่คือฮอลของพวกเฉินเซี่ยงที่ใช้หลบหนีมา

และปัจจุบัน มีผู้ใช้พลังเลเวล D มารออยู่ที่นี่ก่อนแล้ว

ฉินเฟิงกับไป๋หลีก้าวลง คนที่รอก็ก้าวมาต้อนรับพวกเขาทันที

–เป็นเหมิงหลิน ผู้นำเมืองนุ่ยเหมิง!

“ฉินเฟิง ในที่สุดคุณก็มา”

“ผู้นำเหมิงคงว่างเกินไป ถึงได้มารับผมด้วยตัวเองแบบนี้” ฉินเฟิงเมื่อเห็นเหมิงหลิน ก็แปลกใจเล็กน้อย

แต่พอลองคิดกลับกัน หากอีกฝ่ายคิดว่ากลุ่มเลเวล D กว่า 100 คนที่หลบหนีมาได้ ตัดสินใจไปยังสถานชุมชนเฟิงหลี ฉินเฟิงคงกลายเป็นตัวตนที่ไม่อาจล่วงเกินได้

“ฉินเฟิง คุณล้อฉันเล่นแล้ว” เหมิงหลินกล่าว ส่ายมือไปมา “ฉันมาเพราะฉันรู้ว่าคุณทุ่มเทต่อสู้ยาวนานกว่า 2 วัน 2 คืน และคงเหนื่อยมาก มิสไป๋คงไม่ต่างกัน ขึ้นไปที่รถเถอะ ฉันจะพาพวกคุณไปพักผ่อนที่โรงแรมเอง แน่นอน ว่ายังมีบางเรื่องที่พวกเราต้องคุยกันในรถด้วย!”

“เข้าใจแล้ว”

ฉินเฟิงพยุงไป๋หลีเข้าไปในรถ ภายในตัวรถ เป็นลิมูซีนคันยาวที่มีที่นั่งกว้างขวาง แทบจะเรียกว่าเป็นห้องนั่งเล่นขนาดเล็กเลยก็ได้

เมื่อประตูปิดลง สีหน้าของเหมิงหลินหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด

“ฉินเฟิง คุณสร้างปัญหาให้กับฉันซะแล้วในครั้งนี้”

ฉินเฟิงเลิกคิ้ว “ผมไปสร้างปัญหาอะไรให้กับคุณ ปัญหานี้เป็นคนขององค์กรมืดต่างหากที่สร้าง ผมสิคือคนแก้ปัญหา ไม่อย่างนั้น คุณคงไม่ได้เห็นกระทั่งวิญญาณของเลเวล D ที่หลบหนีมาในวันนี้”

ประโยคดังกล่าว เล่นเอาเหมิงหลินสะอึกไป เขารู้สึกเสียใจ หรืออาจจะเรียกว่าหวาดกลัวเล็กน้อยที่จะยอมรับความจริงก็ได้

“รู้ไหมว่าถ้าปราการชาตงถูกทำลาย หลังจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้น?”

ปราการชาตงคือแนวหน้าทะเลทราย ขวางกั้นมิให้สัตว์ร้ายรุกล้ำเข้ามา ช่วยให้สี่เมืองทะเลเหนือที่อยู่เบื้องหลังปลอดภัย

แต่ตอนนี้ ทั้งหมดกลับราบเป็นหน้ากลอง

“คุณเป็นถึงผู้นำเมือง อย่าพูดอะไรที่ฟังดูเป็นลางร้ายแบบนั้นสิ” ฉินเฟิงเอ่ยขึ้น

เหมิงหลินส่ายหัว “ถ้าฉันมีความแข็งแกร่งแบบคุณ ฉันคงไม่พูดอะไรแบบนี้ออกมาหรอก … ไม่ว่าจะเป็นซงจินควง หรือเลเวล C จากองค์กรมืด คุณล้วนกำจัดพวกเขาได้ทั้งหมด ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของคุณ มันแทบจะเป็นสัตว์ประหลาดอยู่แล้ว ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมคุณถึงชิงจักรพรรดินกยูงเพลิงฟ้ามาในครอบครองได้”

แม้ตอนแรกจะรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย แต่ตอนนี้เหมิงหลินทำได้แค่ชื่นชมเขาอย่างแท้จริง

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Status: Ongoing
ยุคมืดได้มาเยือน รอยแยกมิติปรากฏขึ้นบนผืนโลก เหล่าสัตว์ร้ายเข้ามารุกราน สัตว์ป่าเองก็เริ่มกลายพันธุ์ ส่งผลให้ทุกสิ่งพลิกตลบ มนุษย์ที่เคยยืนอยู่บนจุดสูงสุดตลอดมา กลับกลายเป็นสิ่งมีชีวิตต่ำสุดในห่วงโซ่อาหาร …ร้อยปีต่อจากนั้น จึงได้ถือกำเนิดสามอาชีพหลักที่ใช้ต่อกรกับพวกที่กล่าวมาข้างต้นขึ้น อันได้แก่ ผู้ใช้อบิลิตี้ , ผู้ใช้วรยุทธ และมือปืนขึ้น‘ฉินเฟิง’ เด็กกำพร้าที่เกิดในช่วงยุคมืด ได้ถูกลักพาตัวไปในวันที่เขาสามารถปลุกอบิลิตี้ของตนเองให้ตื่นขึ้น ถูกจับไปทรมานทดลอง แต่สุดท้ายก็รอดหนีรอดมาได้ และใช้ชีวิตยาวนานกว่า 10 ปี และหลังจากนั้นเอง ในช่วงโลกาวินาศของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เขาก็ได้กลับไปเกิดใหม่อีกครั้ง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท