โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ – ตอนที่ 387

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

1/4

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.387 – สภาพที่เปลี่ยนไปของทะเลทรายทะเลเหนือ

หากมีผู้นำที่แข็งแกร่งแล้ว จะมีข้อดีอะไรบ้างน่ะหรือ?

เมื่อผู้นำแข็งแกร่งมาก การสังหารสัตว์ร้ายก็จะง่ายดายราวหั่นผักปลา อย่างน้อยผู้ใช้พลังใต้บังคับบัญชาก็ไม่ต้องสู้จนตัวตาย

จริงอยู่ที่หูเหลียงเองก็แข็งแกร่ง ทว่าเขาแกร่งไม่มากพอ ยิ่งไปกว่านั้นยังเอาแต่เอ่ยปากสั่ง ไม่ค่อยลงมือทำอะไรด้วยตัวเอง

แต่ในช่วงสามวันที่ผ่านมา ผู้ใช้พลังในปราการชาตง นอกจากฉินเฟิงแล้ว ยังมีตัวตนที่แข็งแกร่งอีกคนหนึ่งคอยรักษาการ … และคนๆนั้นก็มีนิสัยออกหน้าลงมือเช่นกัน

ในเวลานั้นเอง ฮอลศึกลำหนึ่งที่ยังไม่ลดระดับลง ตรงบานประตูของมัน พลันปรากฏหญิงสาวหน้าตางดงาม เธอไม่รอช้า กระโดดทิ้งตัวลงมา แส้สีเงินในมือกระพือไปตามสายลมในอากาศ พริบตาเดียวลงมาถึงแนวหน้าของสนามรบ

จากนั้น แส้ยาวเริ่มโบกสะบัด แสงสีเงินสว่างวาบขึ้นเบื้องหน้า อากาศที่ว่างเปล่าปริร้าวเป็นเสี่ยงๆ

แส้ฟาดลงไปเพียงไม่กี่ครั้ง นายพลหมาป่าทะเลทรายเลเวล D ผู้ทรนง ก็ถูกอบิลิตี้รูนมิติของไป๋หลีหั่นเป็นชิ้นๆ

ทว่าไป๋หลียังไม่หยุด เธอกระโจนไล่สังหารตัวต่อไปในทันที หมาป่าทะเลทรายฝูงนี้เป็นแค่มดปลวกสำหรับเธอ ทั้งหมดจบชีวิตลงภายใต้น้ำมือเธออย่างรวดเร็ว

ไป๋หลีเมื่อได้รับหน้าที่รักษาการชาตง เลยเป็นธรรมดาที่เธอจะยึดถือว่าสถานที่แห่งนี้เป็นอาณาเขตของตน

แม้เธอจะไม่ปลดปล่อยแรงกดดันระดับจักรพรรดิออกมา แต่ก็โปรยเส้นผมสองสามเส้นไว้ด้านนอก ทำสัญลักษณ์เอาไว้แล้ว

แต่ไม่คาดคิดเลยว่าจะยังมีสัตว์ร้ายดวงตามืดบอดบุกเข้ามา

และอีกอย่าง ตลอดมาเธอใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ร่วมกับฉินเฟิง ดังนั้นเลยติดนิสัยบางอย่างจากเขามา

ตัวอย่างเช่นการสังหารสัตว์ร้าย หากฆ่าไปหนึ่ง ก็ต้องฆ่ามันทั้งหมด!

ด้วยเหตุนี้ ไป๋หลีจึงไม่คิดอยู่เฉย สำแดงประสิทธิภาพการต่อสู้อันน่าทึ่งออกมา ส่วนคนอื่นๆ หากต้องการได้รับแต้มสงคราม พวกเขาต้องไม่อยู่เฉยเช่นกัน ทำได้เพียงกระโจนเข้าร่วมล่ากับไป๋หลี มิฉะนั้นจะกระทั่งสิทธิ์ในการแบ่งผลประโยชน์ก็ไม่มีทางได้รับ

ส่งผลให้ทุกคนขยัน และกระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่ง บรรยากาศในปราการชาตงตอนนี้ เป็นไปในทิศทางที่ดี กระทั่งฉินเฟิงยังต้องประหลาดใจ

การต่อสู้ดำเนินไปไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก็สิ้นสุด ฉินเฟิงลดระดับเมฆครามลงจอด

“ยินดีต้อนรับนายพลฉิน!”

“นายพลฉิน คุณกลับมาแล้ว”

“นายพลฉินเป็นอย่างไรบ้าง?”

แต่ละคนเริ่มก้าวเข้ามาทักทาย

“ทุกคนทำได้ดีมาก กลับไปพักผ่อนกันเถอะ ส่วนทางนี้ เดี๋ยวผมเรียกคนมาเก็บกวาดให้เอง”

“รับทราบ”

“นายพลฉินดูแลตัวเองด้วย”

เมื่อทุกคนเริ่มแยกย้าย ไป๋หลีถึงค่อยเดินเข้ามา เมื่อวานเขาและเธอเจอกันแล้ว ดังนั้นไป๋หลีเลยไม่มองฉินเฟิงด้วยความอยากรู้อยากเห็น หรือเอ่ยปากถามสารทุกข์สุขดิบเหมือนคนอื่นๆ

ทั้งสองกลับเมืองโดยเมฆคราม ฉินเฟิงเรียกซูซิงฝูให้มาพบ

ช่วงนี้ซูซิงฝูยุ่งจนเท้าแทบไม่แตะพื้น แต่เมื่อถูกเรียกเขาก็เข้ามายังสุสานเทพสงคราม และเมื่อเจอกับดอกไม้หยาดน้ำตานับไม่ถ้วน เจ้าตัวก็ตระหนักได้ทันที ว่าที่ฉินเฟิงจากไปเพราะสิ่งนี้

“ผู้ว่าการ คุณน่าจะอธิบายให้ฉันฟังได้แล้วนะ” ซูซิงฝูกล่าว

“ดอกไม้พวกนี้ เรียกว่าดอกไม้หยาดน้ำตา” แล้วฉินเฟิงก็อธิบายสั้นๆเกี่ยวกับคุณสมบัติของมัน แน่นอน รวมไปถึงราคาด้วย

“ต้นละครึ่งล้าน?” ดวงตาของซูซิงฝูเบิกกว้าง เขาไม่คิดว่ามันแพงถึงขนาดนี้ หากไม่กี่ต้นมันไม่มีปัญหาหรอก แต่ดูรอบตัวในตอนนี้สิ

“ใช่ และคุณไม่ต้องไปบอกเรื่องนี้กับใคร แค่อธิบายว่ามันจะส่งผลต่อการพัฒนาปราการชาตงในอนาคต และให้คนคอยดูแลมันไว้ก็พอ เพราะหากรู้ราคา อาจมีคนคิดขโมยมันไป”

“แล้วถ้าในกรณีที่มันถูกทำลายล่ะ นั่นไม่ทำกับสูญเงินครึ่งล้านไปหรือ ผู้ว่าการ จริงอยู่ที่คุณมั่งคั่ง แต่คุณต้องคิดอย่างรอบคอบด้วยนะ ว่าการโยนเงิน 50,000 ล้านมาถลุงให้ปราการชาตง คุณจะได้กำไรกลับคืนมาไหม”

ซูซิงฝูรู้ว่าตอนนี้ฉินเฟิงร่ำรวยมาก ด้วยความแข็งแกร่งของเขา ย่อมมิใช่คนขาดเงิน แต่ซูซิงฝูคือนักธุรกิจ เขาคิดถึงเรื่องกำไรขาดทุนเป็นหลัก

เมื่อตระหนักได้ว่าตนกำลังพบเจอกับเรื่องขาดทุนตรงหน้า มันชวนให้เจ็บปวดใจจริงๆ

“วางใจเถอะ ตราบใดที่ดอกไม้หยาดน้ำตาถูกปลูก สภาพของปราการชาตง จะเปลี่ยนไปจนคุณต้องตะลึง”

ซูซิงฝูจ้องมองฉินเฟิงที่กล่าวด้วยความจริงจัง ทำได้เพียงกัดฟันพยักหน้ารับ

“ก็ได้! ฉันจะลองเชื่อคุณดู”

ดอกไม้หยาดน้ำตากว่า 100,000 กระถางถูกวางไว้รอบๆปราการชาตง

เนื่องจากปราการชาตงไม่มีพื้นที่เพาะปลูก ดังนั้นการจัดวาง เลยอยู่ในรูปแบบกระจายๆออกไปในจุดที่มีดิน

สภาพแวดล้อมของปราการชาตง มันร้อนแรง เปี่ยมไปด้วยแสงแดด ช่วงเวลาที่พระอาทิตย์สาดแสงกินเวลายาวนานหลายชั่วโมง ดอกไม้หยาดน้ำตาเริ่มทำตามหน้าที่ของมัน หลั่งหยดน้ำตาออกมาอย่างต่อเนื่อง ในช่วงแรกๆมันก็ไม่ถึงกับมีการเปลี่ยนแปลงอะไรหรอก แต่ต่อมา ทีละน้อย ทีละน้อย ดินที่แห้งแล้งโดยรอบก็เริ่มเกิดเปียกปอน นำมาซึ่งความชุ่มชื้น

สภาพแวดล้อมรอบๆปราการชาตงแห่งใหม่ ถึงจะไม่ใช่ตำแหน่งที่มีแต่ทะเลทรายทั้งหมด แต่กระนั้นมันก็ไม่สมบูรณ์พอที่จะให้พืชพรรณงอกเงย กระทั่งต้นหญ้ายังไม่กล้าเติบโต ทุกวันฟุ้งไปด้วยลมและฝุ่นจากทราย ทว่าด้วยดอกไม้หยาดน้ำตา หลังจากปลูกมันเพียงสองสามวัน พื้นที่โดยรอบก็กลับมาเขียวขจีอีกครั้ง

เรียกได้ว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่!

หยดน้ำตาของดอกไม้ ไม่เพียงสามารถช่วยขับไล่สัตว์ร้ายได้ แต่ยังช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืชพรรณ เวลานี้กระทั่งพืชกลายพันธุ์ก็สามารถงอกเงย

ซูซิงฝูรู้สึกนับถือฉินเฟิงจริงๆ เขาไม่รู้ว่าฉินเฟิงไปหาเจ้าสิ่งนี้มาจากที่ไหน

แต่ตามคำแนะนำของฉินเฟิง พืชทั้งหมดที่เพิ่งงอกเงยขึ้นใหม่ล้วนถูกถอนออก ดินที่ว่างเปล่าถูกปลูกข้าวลงไปแทน นี่เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่ขยายของพืชกลายพันธุ์

นอกจากนี้ ฉินเฟิงยังเรียกแพทย์ผู้ใช้อบิลิตี้น้ำและแสงที่เกาหยูคังส่งมา สั่งให้ไปดูแลดอกไม้

คนเหล่านี้ไม่รู้ถึงคุณค่าของมันหรอก หรือต่อให้รู้ว่าดอกไม้พวกนี้ต้นละครึ่งล้าน พวกเขาก็คงไม่เห็นมันอยู่ในสายตาอยู่ดี

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นคำสั่งของฉินเฟิง ทั้งหมดไม่กล้าฝ่าฝืน

วันเวลาผ่านพ้นไป ดอกไม้หยาดน้ำตายิ่งมายิ่งเติบใหญ่งดงาม

ขณะเดียวกัน ฉินเฟิงได้ออกไปยังทะเลทราย ณ ตำแหน่งที่ค่อนข้างห่างไกลจากปราการชาตง เขาเรียกพืชกลายพันธุ์ ดอกไม้หยาดน้ำตาระดับราชันย์ออกมา

ตำแหน่งนี้เป็นสถานที่ๆพบว่ามีสัตว์ร้ายจากทะเลทรายโจมตีปราการชาตงบ่อยที่สุด

ทันทีที่ดอกไม้ระดับราชันย์ปรากฏกาย และต้องแสงอาทิตย์ ดวงตาบนดอกทานตะวันยักษ์ก็เริ่มกระพริบ หยดน้ำใสๆไหลลงมาเป็นสาย

อย่างไรก็ตาม หยดน้ำนี้มีกลิ่นเหม็นมาก

มันเป็นกลิ่นที่ไม่ดีสำหรับมนุษย์ ทว่าสามารถดึงดูดสัตว์ร้ายได้

ฉินเฟิงชักมีดกษัตริย์ครามออกมา เฉือนลงบนกลีบดอกไม้หยาดน้ำตาโดยตรง

ดอกไม้หยาดน้ำตาสั่นสะท้านไปทั้งตัว สายน้ำที่หลั่งออกมาลดน้อยลง

ฉินเฟิงตัดมันอีกครั้ง

ทำเช่นนี้กว่า 4 – 5 ทีติดต่อกัน กลิ่นของสายน้ำที่ไหลออกมาจากดวงตาของดอกไม้ราชันย์ก็เริ่มเปลี่ยนไป คราวนี้มันส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ

บรรดาสัตว์ร้ายที่เดิมถูกดึงดูดโดยกลิ่นก่อนหน้า และห้อตะบึงมาแต่ไกล เมื่อเผชิญกับกลิ่นหอมอ่อนๆของดอกไม้ราชันย์ พวกมันพลันราวกับถูกกระชากสติ วิ่งเตลิดหายไปอีกทาง

ฉินเฟิงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ มีดกษัตริย์ครามในมือถูกเก็บลง เวลานี้ ราชันย์ดอกไม้ตระหนักดีว่าตนได้สูญสิ้นที่พักพิงอย่างต้นไม้กอร์กอนไปแล้ว ดังนั้นมันจึงได้แต่ส่งกลิ่นหอม บังคับให้สัตว์ร้ายเหล่านั้นจากไป

โดยไม่ทันตั้งตัว ปราการชาตงเหมือนจะค่อยๆสงบลง การคุกคามจากการโจมตีขนาดเล็กหดหาย จนถึงขั้นไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป ส่วนการคุกคามขนาดใหญ่ ก็ถูกฉินเฟิงขับไล่ออกไป

สิ่งที่ฉินเฟิงต้องการทำ มิใช่แค่การปกป้องปราการชาตงเท่านั้น

แต่เขาวางแผนเอาไว้ ว่าจะใช้ปราการชาตงเป็นจุดเริ่มต้น ในการขยายอาณาเขตไปทั้งทะเลทรายทะเลเหนือ

ที่นี่ต่อไปในอนาคต จะกลายเป็นอาณาเขตใหญ่อีกเขตหนึ่งของฉินเฟิง!

ยังไม่พอ หลังจากนี้ไปการเริ่มต้นธุรกิจก็จะเป็นเรื่องง่าย แต่การรักษาไว้จะเป็นเรื่องยาก ปราการชาตงจะกลายเป็นยุ้งฉางในอนาคต ขณะเดียวกัน มันจะดึงดูดสายตาของผู้คนนับไม่ถ้วน

ดังนั้น ความแข็งแกร่งของฉินเฟิงจึงเป็นสิ่งจำเป็น เขาต้องข่มผู้คนจากทุกสารทิศ ขู่ขวัญให้พวกเขาที่เข้าสอดแนม ไม่กล้าเสนอหน้าเข้ามารุกรานอาณาเขตของตน

ภายในสุสานเทพสงคราม ฉินเฟิงนั่งขวาทับซ้าย ดูดซับหัวใจของต้นไม้กอร์กอน

หากจะให้กล่าวตามตรง หัวใจต้นไม้ นอกจากเป็นพืชวิญญาณชนิดหนึ่งแล้ว มันยังสามารถใช้ดูดซับได้โดยตรง และยังดีกว่าแก่นพลังงานด้วยซ้ำ

หัวใจต้นไม้ระดับจักรพรรดิ ให้คุณค่ามหาศาลจริงๆ!

ฉินเฟิงรู้สึกได้ว่า กายเนื้อและพลังสมาธิของเขา ทั้งสองกำลังยกระดับไปอีกขั้น!

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Status: Ongoing
ยุคมืดได้มาเยือน รอยแยกมิติปรากฏขึ้นบนผืนโลก เหล่าสัตว์ร้ายเข้ามารุกราน สัตว์ป่าเองก็เริ่มกลายพันธุ์ ส่งผลให้ทุกสิ่งพลิกตลบ มนุษย์ที่เคยยืนอยู่บนจุดสูงสุดตลอดมา กลับกลายเป็นสิ่งมีชีวิตต่ำสุดในห่วงโซ่อาหาร …ร้อยปีต่อจากนั้น จึงได้ถือกำเนิดสามอาชีพหลักที่ใช้ต่อกรกับพวกที่กล่าวมาข้างต้นขึ้น อันได้แก่ ผู้ใช้อบิลิตี้ , ผู้ใช้วรยุทธ และมือปืนขึ้น‘ฉินเฟิง’ เด็กกำพร้าที่เกิดในช่วงยุคมืด ได้ถูกลักพาตัวไปในวันที่เขาสามารถปลุกอบิลิตี้ของตนเองให้ตื่นขึ้น ถูกจับไปทรมานทดลอง แต่สุดท้ายก็รอดหนีรอดมาได้ และใช้ชีวิตยาวนานกว่า 10 ปี และหลังจากนั้นเอง ในช่วงโลกาวินาศของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เขาก็ได้กลับไปเกิดใหม่อีกครั้ง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท