โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ – ตอนที่ 392

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

2/5

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.392 – ออกเดินทาง

“ฮ่าฮ่าฮ่า ยอดเยี่ยม กล่าวกันว่าวีรบุรุษมักถือกำเนิดจากรุ่นเยาว์ ต้องขอโทษจริงๆที่ก่อนหน้านี้ฉันประเมินคุณต่ำไป”

หรือถ้าจะให้พูดชัดๆคือเขาประเมินไป๋หลีต่ำไป

“มิสไป๋ แก้วนี้แด่คุณ” เกาหยูคังยกแก้วไวนต์ของตนขึ้น

แต่ไป๋หลีส่ายหัวและกล่าว “ตามสบายเถอะ ฉันไม่ชอบดื่ม”

ฉินเฟิงยกแก้วตนชนแทน “ถึงไป๋หลีไม่ชอบ แต่ผมชอบ แก้วนี้ผมขอเอง”

“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้ … ”

เกาหยูคังไม่ได้คิดว่าไป๋หลีกำลังดูหมิ่นเขาแต่อย่างใด ตรงกันข้าม ท่าทีที่ของเธอเฉยเมย มันให้ความรู้สึกถึงบุคลิกที่พิเศษออกไป

–บุคลิกของผู้แข็งแกร่ง!

เกาหยูคังเป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณ แต่เล่ยหยิงเป็นผู้ใช้อบิลิตี้ คนที่สามารถต่อกรกับพลังสมาธิของเล่ยหยิงได้ เขาแทบไม่เคยเห็นมาก่อนเลย

การนัดเจอกันในวันนี้ ถือว่าคุ้มค่าจริงๆ!

และแล้ว ตลอดทั้งมื้ออาหารเลิศรส ก็ไม่มีใครมากวนใจทั้งแขกและเจ้าภาพอีก

วันถัดมา กองกำลังทหารรับจ้างเฟิงหลี และกองกำลังทหารรับจ้างเหิงหยูของเกาหยูคังก็มารวมตัวกัน ทั้งหมดเดินทางออกจากเมืองหลงฉวน ตรงไปยังป้อมแนวหน้า

เล่ยหยิงได้รับข่าว สีหน้ากลายเป็นโกรธเกรี้ยวทันใด

ในมือของเล่ยหยิง บัดนี้ไม่มีบาดแผลอีกแล้ว!

สำหรับผู้ใช้พลังระดับสูง บาดแผลเพียงเล็กน้อย ร่างกายมนุษย์สามารถรักษาด้วยตัวเองได้อย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม เล่ยหยิงยังคงรู้สึกอัปยศอับอาย

เขาได้รับบาดเจ็บจากนังตุ๊กตาผู้หญิงที่ไม่ทราบที่มา

เล่ยหยิงเป็นคนรักศักดิ์ศรีมาก เรื่องเมื่อวานเล่นเอาเขารู้สึกขุ่นเคืองตลอดทั้งคืน

“ผลการตรวจสอบเล่า? พวกเขาเป็นใครกันแน่” เล่ยหยิงถามเสียงจม

เบื้องหลังเขา ลูกน้องเลเวล D รายงานอย่างระมัดระวัง “ได้ทำการตรวจสอบแล้ว ผู้ชายชื่อว่าฉินเฟิง , ผู้หญิงชื่อว่าไป๋หลี ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นนายพลและรองนายพลปราการชาตง”

หน้าผากของเล่ยหยิงปรากฏรอยยับย่น

“ปราการชาตง?”

“ขอรับ ยิ่งไปกว่านั้น ยังได้รับข้อมูลมาว่า แก่นอบิลิตี้จักรพรรดิสัตว์ร้ายของเฉิงต้าเฉิง ก็เป็นเขาที่ซื้อไป”

บรรยากาศรอบกายเล่ยหยิง เห็นได้ชัดว่าสยองขวัญขึ้น

ผู้ใช้พลังเลเวล D ชักฝีเท้าถอย มองเล่ยหยิงอย่างระแวดระวัง สูดหายใจเฮือกหนึ่ง เอ่ยอีกหลายคำ

“และยังได้ข่าวมาว่า เล่ยชางเสียชีวิตด้วยน้ำมือของเขา”

เพล้ง!

แก้วไวน์ในมือเล่ยหยิงแตกละเอียดทันที

“ไอ้สวะ!”

ผู้ใช้พลังเลเวล D ไม่กล้าเอ่ยต่อ

กลุ่มเล่ยถังจู่ๆก็เริ่มประสบปัญหาเมื่อไม่นานมานี้ เลเวล D คนสำคัญของกลุ่มเสียชีวิตติดต่อกัน นอกจากเล่ยชางแล้ว เล่ยเฉินเองก็เพิ่งตายไปในปราการชาตง แม้จะไม่มีใครรู้ความจริง แต่เล่ยเฉินก็เสียชีวิตโดยฝีมือฉินเฟิงเช่นกัน

แม้เรื่องของคนหลังทางกลุ่มเล่ยถังจะไม่รู้ แต่เล่ยหยิงในเวลานี้ เห็นได้ชัดว่าต้องการโยนความโกรธเกรี้ยวทั้งหมดไประบายกับฉินเฟิง

“พวกเราจะตามไปด้วย!”

เล่ยหยิงสั่งการชัดถ้อยชัดคำ เขาจะใช้โอกาสนี้ชิงสินสงครามจากพวกมันซะเลย

การดวลพลังสมาธิก่อนหน้านี้มันไม่พอข่มให้เขาหวาดกลัว เล่ยหยิงคิดว่าฉินเฟิงและไป๋หลียังเด็กเกินไป อายุเท่านี้ จะสั่งสมรูนได้มากมายเท่ากับตนเองได้อย่างไร! พวกเขาคงไม่สามารถปลดปล่อยอบิลิตี้ออกมาเป็นจำนวนมากได้หรอกกระมัง

เมื่อเป็นเช่นนี้ หากเกิดการต่อสู้ขึ้นจริงๆ ก็ยังไม่แน่ว่าใครจะแพ้หรือชนะ!

เล่ยหยิงตัดสินใจที่จะกู้หน้าตนเอง

ตราบใดที่ไม่สามารถสังหารฉินเฟิงได้ เขาสาบานว่าจะไม่ยอมหยุดพัก!

กองกำลังของฉินเฟิงและเกาหยูคัง รวมกันทั้งสินมี 60 คน หลังจากมาถึงป้อม พวกเขาก็พักผ่อนกันอีกวันหนึ่ง เพื่อเตรียมพร้อมก่อนเดินทางเข้าสู่เทือกเขาหลงฉวน

ที่นี่ มนุษย์ถือเป็นเผ่าพันธุ์ที่เล็กจ้อยและอ่อนแอ ดูเหมือนว่ากลิ่นอายที่ออกมาจากร่างกายพวกเขา มักจะถูกมองว่าเป็นมื้ออาหาร เพราะแค่เข้ามาในในป่า สองกองกำลังก็ถูกฝูงหมาป่าสะกดรอยตามแล้ว

ยังไงก็ดี ฝูงหมาป่ากลุ่มนี้ทั้งหมดเป็นเลเวล E พวกมันไร้สติปัญญา มิอาจรู้วิธีดูตราสัญลักษณ์เลเวล D บนหน้าอกของฉินเฟิงและคนอื่นๆ ไม่อาจรู้ได้ว่า ตนกำลังย่างกรายเข้าสู่หายนะ!

“ฆ่ามัน!”

“รีบเก็บกวาดด้วย ไม่อย่างนั้นถ้ากลิ่นเลือดกระจายออกไปจะเป็นปัญหา!”

“หมาป่าพวกนี้เยอะชะมัด!”

ท่ามกลางผืนป่า หมาป่ายักษ์นับไม่ถ้วนกระโจนออกมา แต่ละตัวยาวกว่า 3 เมตร ขนาดความสูงพอๆกับผู้ใหญ่

กระทั่งผู้ใช้พลังเลเวล D เมื่อต้องเผชิญกับสัตว์ร้ายฝูงนี้ ยังต้องใช้เวลาและความพยายามพอสมควร

เพราะท้ายที่สุดแล้ว จำนวนของหมาป่าในฝูงมีมากถึง 300 ตัว

ฉินเฟิงพอเห็นฉากนี้ ก็ตระหนักได้ทันที ว่าหากกลิ่นเลือดฟุ้งกระจายออกไปท่ามกลางเทือกเขาหลงฉวน มันอาจเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นได้ทุกเมื่อ

“ให้ผมฉันการเอง”

ฉินเฟิงตะโกนเสียงเย็น เร่งเร้าพลังสมาธิปะทุขึ้นทันใด

“พรมโลกันต์!”

เพียงพริบตา ทั่วบริเวณลุกโชนไปด้วยทะเลเพลิง กวาดรัศมีเป็นระยะทางกว่า 100 เมตร

เปลวไฟห่อหุ้มฝูงหมาป่าเบื้องหน้า ส่วนหมาป่าที่ตามมาสมทบทีหลัง ต่างหยุดฝีเท้าไม่ทัน กระโจนเข้าสู่กองเพลิง

ขนพวกมันเริ่มไหม้ เนื้อถูกย่างส่งกลิ่นหอม สักพักไหม้จนส่งกลิ่นฉุน –หมาป่าเหล่านี้จะรอดพ้นจากการทำลายล้างของอบิลิตี้ของฉินเฟิงได้อย่างไร?

“เอ๋ง!” ฝูงหมาป่าคร่ำครวญน่าสงสาร พวกมันพยายามหลบหนี แต่ก็ถูกเปลวเพลิงกลืนกินในชั่วพริบตา

หมาป่านับร้อย ตกตายลงอย่างสิ้นเชิง

แน่นอน นี่เป็นเพราะฉินเฟิงไม่คิดแสดงความเมตตา ขนของหมาป่าที่ใช้เป็นวัตถุดิบได้ มอดไหม้กลายเป็นเถ้า เหลือทิ้งไว้เพียงฟันบางซี่ และกรงเล็บอันแหลมคม

คนของกองกำลังเกาหยูคัง เมื่อเห็นถึงฝีมือของฉินเฟิง ก็รู้สึกต่างไปจากเดิมทันที

ก่อนหน้านี้ที่เกาหยูคังบอกข้อตกลง ว่าจะแบ่งผลตอบแทนให้ฉินเฟิง ⅓ ซึ่งหากนับเป็นตัวเลขแล้ว คนจากทางฝั่งเกาหยูคังแท้ๆ ยังได้น้อยกว่าอีก

พวกเขาเลยรู้สึกไม่พอใจเป็นธรรมดา

เพราะต่อให้กองกำลังของฉินเฟิงมีคนมากกว่าก็จริง แต่ทั้งหมดก็แค่กองกำลังก่อตั้งใหม่ สมควรได้รับส่วนแบ่งแค่ 1/10 ถึงจะเหมาะสม

แต่ในตอนนี้ ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจ ว่าเงิน ⅓ นั่นมิใช่มอบให้ทั้งกองกำลัง แต่เป็นฉินเฟิงคนเดียว!

หากคิดชักชวนผู้ใช้อบิลิตี้ที่ทรงพลังเข้าร่วม คุณต้องให้เงินแก่พวกเขามากพอ อีกฝ่ายถึงจะยอมตกลง

“เอาล่ะ ฝากที่เหลือด้วย”

ฉินเฟิงกล่าว ย่ำเท้าดีดตัวถอยออกมา

เฉินเซี่ยง , เกาลี่ และคนอื่นๆในทีม เข้าใจถึงความหมายของฉินเฟิงในทันที

สองกองทหารรับจ้างร่วมมือกัน การกวาดล้างดำเนินไปอย่างรวดเร็ว

หากไม่ใช่เพราะฉินเฟิงไม่ต้องการเปิดเผยอบิลิตี้ของเขา บางทีอัตราเร็วคงเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว

แต่กระนั้น พวกเขายังต้องใช้เวลาเดินทางกว่า 3 วัน กระทั่งผู้ใช้พลังบางคนก็ได้รับบาดเจ็บ แต่โชคดีที่มีหน่วยแพทย์อยู่ในกองกำลังด้วย พวกเขาเลยสามารถรักษาตัวและสู้ต่อได้

จนในที่สุด ทั้งสองกองกำลังก็มาถึง ณ ยอดเขาสูงสุดแห่งหนึ่ง มองทอดยาวออกไปจะเห็นทะเลสาบ

เบื้องหน้า ราวกับเป็นสวรรค์บนดิน

“สวยจัง”

ไป๋หลีอุทาน แต่สักพักก็ต้องลอบถอนหายใจ เพราะคิดได้ว่าอีกเดี๋ยวคงมีสภาพไม่น่าดู

น้ำสีครามของทะเลสาบสะท้อนให้เห็นภาพกลับหัว ราวกับกระจกใส

สะท้อนท้องฟ้าเบื้องบน และป่าอันเขียวขจี

แต่ในตอนนั้นเอง บริเวณผิวทะเลสาบ กลับปรากฏคลื่นกระเพื่อมอย่างกะทันหัน วินาทีต่อมา ศีรษะยักษ์ก็ผุดขึ้นจากผิวน้ำ สาดสายตาราวกับไฟฉายมองมายังพวกเขา

เห็นได้ชัดว่าระยะห่างระหว่างที่นี่กับทะเลสาบ มันอยู่ไกลกันอย่างน้อยหนึ่งกิโลเมตร แต่เจ้าสิ่งมีชีวิตที่ยกหัวขึ้นมา กลับทำให้ทุกคนเกิดอาการหนาวสั่น

พวกตนเขาลังถูกล็อคเป้าหมาย!

นี่คือความรู้สึกที่เป็นอยู่

ฉินเฟิงตั้งใจเพ่งมอง สำรวจไปยังจักรพรรดิสัตว์ร้ายเลเวล D ตรงหน้า

ช่วงเวลานี้ ฉินเฟิงได้ค้นพบว่า จักรพรรดิสัตว์ร้ายตัวนี้ ความแข็งแกร่งมิอ่อนด้อยเลย —มันมีเลเวลมากถึง D9 !

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ อีกแค่ก้าวเดียว มันก็จะยกระดับขึ้นไปเลเวล C แล้ว

“มัน .. มันจะไม่บุกมาทันทีใช่ไหม” น้ำเสียงของเฉินเซี่ยงเริ่มไม่มั่นคงเล็กน้อย

สัตว์ร้ายระดับจักรพรรดิ ตั้งแต่เกิด เขาไม่เคยได้พบเจอกับมันด้วยตาตัวเองมาก่อนเลย

ในฐานะที่ตนไร้สังกัด เฉินเซี่ยงย่อมไม่เคยออกล่าสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดกลัวเช่นนี้ แต่หลังจากติดตามฉินเฟิง เขาได้พบเจอกับราชันย์สัตว์ร้ายอยู่บ่อยครั้ง

ยิ่งเป็นนายพลสัตว์ร้ายนี่แทบพูดได้เลยว่า หากเก็บเนื้อไว้ คงมีให้กินทุกๆวัน

“เร่งติดตั้งจักรกล!”

“เตรียมกระสุนให้พร้อม”

“เมื่อการต่อสู้เริ่มขึ้น ให้ทิ้งผู้ใช้วรยุทธโบราณเอาไว้ในรูปแบบหนึ่งคน คอยปกป้องมือปืนสามคน”

“เจิ้งเฉียน กับหยางซานมากับฉัน!”

เกาหยูคังสั่งการอย่างเป็นระบบ ฝูงชนเริ่มวิ่งกันวุ่น เข้าสู่สถานะเตรียมต่อสู้

ใจกลางทะเลสาบ ดวงตาของมังกรเจียวหลงกำลังจับจ้องพวกเขา ในปากส่งเสียงฟ่อ~ ฟ่อ~ ข่มขู่ผู้คน

ใจความว่า หวกพวกเขากล้าล่วงล้ำเข้ามาในอาณาเขตของมัน จักถูกสังหารอย่างไร้ปรานี!

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Status: Ongoing
ยุคมืดได้มาเยือน รอยแยกมิติปรากฏขึ้นบนผืนโลก เหล่าสัตว์ร้ายเข้ามารุกราน สัตว์ป่าเองก็เริ่มกลายพันธุ์ ส่งผลให้ทุกสิ่งพลิกตลบ มนุษย์ที่เคยยืนอยู่บนจุดสูงสุดตลอดมา กลับกลายเป็นสิ่งมีชีวิตต่ำสุดในห่วงโซ่อาหาร …ร้อยปีต่อจากนั้น จึงได้ถือกำเนิดสามอาชีพหลักที่ใช้ต่อกรกับพวกที่กล่าวมาข้างต้นขึ้น อันได้แก่ ผู้ใช้อบิลิตี้ , ผู้ใช้วรยุทธ และมือปืนขึ้น‘ฉินเฟิง’ เด็กกำพร้าที่เกิดในช่วงยุคมืด ได้ถูกลักพาตัวไปในวันที่เขาสามารถปลุกอบิลิตี้ของตนเองให้ตื่นขึ้น ถูกจับไปทรมานทดลอง แต่สุดท้ายก็รอดหนีรอดมาได้ และใช้ชีวิตยาวนานกว่า 10 ปี และหลังจากนั้นเอง ในช่วงโลกาวินาศของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เขาก็ได้กลับไปเกิดใหม่อีกครั้ง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท