โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ – ตอนที่ 423

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.423 – รายงานฉินเฟิง

แม้นี่จะเป็นแค่การคาดเดา แต่ฉินเฟิงรู้สึกว่า มีโอกาสเป็นไปได้มากถึง 80 %!

เหอเล่อหมิงที่กำลังอ่านประวัติสะดุ้ง เขาไม่คิดปกปิดมันอีกต่อไป

“ถูกต้อง ดูเหมือนว่านายจะคุ้นเคยกับคนๆนี้เป็นอย่างดี”

ฉินเฟิงไม่แปลกใจอะไร เอ่ยปากกล่าวเบาๆว่า “เรียกว่าคุ้นเคยยังน้อยไป เพราะระหว่างภารกิจปราบปรามเผ่าพันธุ์ทรงภูมิปัญญาในเทือกเขาหลงฉวน พรรคพวกของเขาจบชีวิตลงไปกว่าครึ่ง และหนึ่งในนั้นยังเป็นผู้ใช้พลังเลเวล C ทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะเล่ยหยิงตัดสินใจผิดพลาด นำไปสู่ความล้มเหลว!”

ฉินเฟิงเอ่ยอย่างมีชั้นเชิง ทั้งยังคายเรื่องที่เล่ยหยิงละทิ้งพันธมิตรของเขาออกมาดังๆอีกด้วย

ซึ่งชื่อเสียงตรงส่วนนี้ ไม่ใช่เรื่องดีเลย

เหอเล่อหมิงย่นคิ้วด้วยความไม่พอใจทันที “เป็นอย่างงั้นจริงๆหรือ?”

ฟูเหวินจูที่นั่งอยู่ด้านซ้ายกล่าวออกมา “นั่นเป็นแค่การคาดเดาของนายเพียงฝ่ายเดียว เรื่องอะไรพวกนี้ ทางเราจะตรวจสอบในภายหลังเอง”

เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เห็นด้วยกับการให้ฉินเฟิงขึ้นเป็นผู้การรัฐ

ตอนนี้ จากในบรรดาทั้งสามคน มีสองคนไม่เห็นด้วยกับฉินเฟิง สงสัยว่าตำแหน่งผู้การรัฐในครั้งนี้ จากในตอนแรกที่ไม่น่ามีปัญหาอะไร จะกลายเป็นมีปัญหาซะแล้ว!

ยังไม่พอ กวงเว่ยในเวลานี้ ได้หยิบเอาสำเนาแผ่นหนึ่งขึ้นมาในมือ และกล่าวต่อทันทีว่า “หลังจากจบภารกิจในหลงฉวน ทางฉันเองก็ได้รับข้อมูลมาเช่นกัน : เป็นรายงานเกี่ยวกับนาย ฉินเฟิง”

ฉินเฟิงผงะไปเล็กน้อย

กวงเว่ยกล่าวต่อทันที “รายงานแรก ผู้แจ้งเบาะแสคนนี้ ได้ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับการเกิดช่องว่างมิติขนาดใหญ่ ว่าอาจเกิดจากอาวุธในมือแฟนของนาย ที่สร้างความผันผวนของมิติและเวลา ก่อให้เกิดช่องว่างมิติ และกระจายพิกัดมิติของเราออกไป”

สีหน้าของฉินเฟิง หม่นลงทันใด

สำหรับเรื่องนี้ฉินเฟิงไม่ปฏิเสธ แต่เขาก็จะไม่ยอมรับมันเช่นกัน

เนื่องจากเขามีความทรงจำในชีวิตก่อน ความจริงเผ่ากริมได้ศึกษาพิกัดมิติของโลกใบนี้มาสักพักแล้ว ต่อให้ไม่มีไป๋หลี ในอีกสิบวันต่อมา สงครามก็จะอุบัติขึ้นอยู่ดี แค่ในชีวิตนี้มันเกิดขึ้นก่อนกำหนดเวลาก็เท่านั้นเอง

ดังนั้นรายงานที่ถูกแจ้งมา เห็นได้ชัดว่าไม่น่าเชื่อถือ

ฉินเฟิงกล่าวเสียงเย็น “เรื่องนี้เขาก็แค่คาดเดาไปเอง ไหนล่ะหลักฐาน?”

กวงเว่ย “ถึงรายงานนี้จะเป็นแค่การคาดเดา แต่ข้อมูลความสำเร็จที่นายส่งเป็นวิดีโอกระจายออกไป ก็นำมาสู่ความเสียหายอย่างชัดเจน เริ่มจากการลอบโจมตีเลียนแบบในครั้งแรก มีผู้ใช้พลังเลเวล C เสียชีวิต 1 คน และเลเวล D อีก 100 คน ”

“ครั้งที่สอง มันชักนำไปสู่การตายของเลเวล C ถึง 3 คน และเลเวล D อีกกว่า 500 คน”

“สุดท้าย นายเปิดฉากสงคราม โดยการโจมตีก่อนที่ทุกคนจะทันตั้งตัว ทำให้เกิดผู้เสียชีวิตจำนวนมาก เลเวล C ตายและได้รับบาดเจ็บสาหัสเกือบ 100 และเลเวล D กว่า 3,000 คนต้องจบชีวิตลง นี่ถือเป็นความเสียหายร้ายแรงของพันธมิตรมนุษยชาติ!”

ฉินเฟิงฉีกยิ้มบ้าคลั่ง

“นายพลกวง เกรงว่าผู้แจ้งเบาะแสของคุณ คงจะเป็นเล่ยหยิงอีกแล้วใช่ไหม!”

ความโกรธลุกโชนในแววตาของฉินเฟิง น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นประชดถากถาง

“ผมจะตอบให้ทีละข้อเลยแล้วกันนะ ข้อแรกเป็นเขาที่โง่เอง พอเห็นว่าผมสามารถทำได้ เขาก็คงจะทำได้เช่นกัน เลยออกเดินทางไปลอบโจมตีอย่างไม่ระมัดระวัง สุดท้ายถูกย้อนศร โดนเผ่าพันธุ์ทรงภูมิปัญญาจับได้และสังหารเอาเสียเอง ทั้งยังทิ้งพรรคพวกหลบหนีมา แต่ตอนนี้ ความผิดกลับมาตกอยู่ที่นผม?”

“ข้อสอง! คุณเองก็อยู่ในสถานชุมชนหลงฉวนที่ 3 คุณผ่านเหตุการณ์ในครั้งนั้นด้วยตัวเอง! เป็นผมที่ถล่มเผ่าพันธุ์ทรงภูมิปัญญากว่า 3,000 ตัวในคราวเดียว! หากไม่ใช่เพราะสามารถฉวยโอกาสทองในตอนนั้นได้ บางทีกองทัพศัตรูที่ปิดล้อมชุมชน มันอาจไม่เหลือแค่ 3,000 แต่เป็น 6,000 ตัว! ถึงเวลานั้นเป็นคุณ คุณจะยื้อไหวไหม?”

“คุณลองถอยออกมาสักหมื่นก้าว แล้ววิเคราะห์สถานการณ์จากระยะไกลดูดีๆ จะพบว่าถ้าตอนนั้นพวกเขาไม่ละโมบ แล้วออกเคลื่อนพลโดยพลการ บางทีเผ่าพันธุ์ทรงภูมิปัญญา อาจจะหวาดกลัวการถล่มยิงของผม และล่าถอยไปตั้งแต่แรกแล้ว!”

“แต่ผลสุดท้ายเป็นอย่างไร? ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะตัวโง่งมเพียงคนเดียว ทำให้ทุกคนต้องจบชีวิตลง คุณจะหลอกตัวเองไม่ได้หรอกนะ เพราะศัตรูคราวนี้คือเผ่าพันธุ์ทรงภูมิปัญญา ไม่ใช่สัตว์ร้ายไร้เหตุผล!”

เหอเล่อหมิงพอได้ยินคำฉินเฟิง ก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดทันที เมื่อย้อนนึกไปถึงรายงานของกวงเว่ย เขาก็อดรู้สึกอับอายแทนกวงเว่ยไม่ได้

อย่างไรก็ตาม กวงเว่ยมิได้รู้สึกอับอายขายหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ ใบหน้าของเขายังคงเย็นชา กล่าวอย่างไร้ปราณี “ไม่ว่าจะแก้ตัวยังไง แต่เรื่องนี้นายจะต้องรับผิดชอบ!”

ฉินเฟิงหัวเราะหยัน “อย่ามาปรักปรำกัน! ผมต้องรับผิดชอบอะไร? ทำไมผมต้องรับผิดชอบด้วย!”

“แน่นอนว่านายต้องรับผิดชอบ เพื่อความปลอดภัยของพันธมิตรมนุษยชาติ แส้มิติที่แฟนนายครอบครอง เธอจะต้องยกมันให้แก่ทางพันธิมตร ยังไม่พอ นายจะต้องจ่ายเงินชดเชยเป็นจำนวน 5 ล้านล้าน ที่เกิดจากความเสียหายของสงคราม เพราะมันนำไปสู่การสูญเสียครั้งใหญ่ของมนุษยชาติ!”

คราวนี้ฉินเฟิงรู้สึกเหลือเชื่อจริงๆ

“ขอโทษที สองข้อที่พูดมา ผมคงยอมไม่ได้”

ฉินเฟิงกล่าวเสียงเย็นชา เจตนาฆ่าพรั่งพราวในแววตา

เขารู้เสมอมา ว่าใครก็ตามที่เกิดมาพร้อมพรสวรรค์ มักจะกระตุ้นให้ผู้คนรู้สึกริษยา

ดังนั้นตลอดช่วงปีแรก ฉินเฟิงแทบไม่เคยสำแดงพลังที่แท้จริงของตัวเองสู่สาธารณชนเลย เขาค่อยๆลอบเพิ่มพูนความแข็งแกร่งของตัวเองขึ้นเรื่อยๆ แม้ที่กล่าวมาข้างต้นจะเป็นการเอ่ยเกินจริงไปบ้าง แต่เขาไม่ได้เข้าร่วมเหตุการณ์ใหญ่โตอะไรมากมายถึงขนาดนั้น

แต่ในตอนนี้ ความแข็งแกร่งของฉินเฟิง ได้เกือบไปเหยียบถึงเงื่อนไขขั้นต่ำสำหรับการเข้าร่วมพันธมิตรมนุษยชาติแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่าเขาถูกลอบสอดแนมโดยอีกฝ่ายอย่างกะทันหัน

แส้มิติของไป๋หลี แน่นอนไม่มีทางส่งมอบออกไปได้

เพราะแม้แส้มิติของไป๋หลีจะไม่ถึงขั้นเป็นสุดยอดสิ่งประดิษฐ์เลเวล S แต่มันสามารถช่วยปกปิดอบิลิตี้มิติของเธอได้ การครอบครองมัน คือวิธีเดียวที่ไป๋หลีจะสามารถสำแดงความแข็งแกร่งออกมาได้ถึงขีดสุด

หากสิ่งนี้ถูกช่วงชิงไป นั่นไม่เท่ากับเป็นการสวมกุญแจมือเธออีกครั้งหรอกหรือ?

ส่วนเรื่องเงิน 5 ล้านล้าน ฉินเฟิงไม่มีเงินมากถึงขนาดนั้นในบัญชีของเขา

นับประสาอะไรกับเรื่องที่ฉินเฟิงต้องจ่ายเงิน เพียงเพราะลมปากของกวงเว่ย

–ไม่มีใครสามารถกลั่นแกล้งเขา ยั่วโมโหเขาถึงขนาดนี้ได้!

ฉินเฟิงจะไม่ยอมจ่าย และจะไม่มีวันเบิกเงินออกมาสักแดงเดียว!

“ฉินเฟิง รู้ตัวรึเปล่าว่าพูดอะไรออกมา นายกำลังคิดจะทรยศต่อพันธมิตรมนุษยชาติอย่างงั้นหรือ?” กวงเว่ยตวาดเสียงเข้ม

ฉินเฟิงกล่าวเสียงเย็นชา “ทรยศต่อพันธมิตรมนุษย์ หรือกำลังถูกคุณข่มเหงกันแน่! กวงเว่ย อย่ารังแกผู้คนให้มากเกินไป!”

กวงเว่ยกล่าวเสียงจม “อย่ามาเล่นลิ้น! ฉินเฟิง จงยอมจำนนแต่โดยดี มอบแส้มิติและเงินชดเชยมาซะ ไม่อย่างนั้น แกจะกลายเป็นอาชญากรของพันธมิตรมนุษย์!”

“ถ้าคุณกล้าออกหมายจับผม ก็ลองดู!”

มุมปากของฉินเฟิงยิ้มยก ไม่แสดงออกถึงความหวั่นเกรง

เลเวล B แล้วมันยังไง ขอแค่เขามีเวลามากพอ และกลับไปยืนในจุดเดียวกับชีวิตเดิมอีกครั้ง ความเกลียดชังในวันนี้ จะต้องได้รับการแก้แค้นเป็นร้อยเป็นพันเท่า!

เวลานี้ กวงเว่ยพบว่าฉินเฟิงตัดสินใจเด็ดเดี่ยวแล้ว ดังนั้นไม่ลังเล เปิดฉากโจมตีทันที

พลังสมาธิปะทุโหมในพริบตา

ตัวเชื่อมจิตสำนึกถูกควบคุมโดยพลังสมาธิ ในส่วนนี้มันช่วยให้ผู้ใช้อบิลิตี้ได้เปรียบอย่างมหาศาล ในที่แห่งนี้ ต่อให้เป็นมือปืน ก็ยังแข็งแกร่งกว่าผู้ใช้วรยุทธโบราณ

พลังสมาธิของฉินเฟิงไม่แกร่งเท่ากับของกวงเว่ย แต่เขามิใช่คนที่เพิ่งเคยใช้ตัวเชื่อมจิตสำนึกมาแค่วันสองวัน

เพียงพริบตา ฉินเฟิงหายวับไปยังขอบห้องตรวจสอบทันที จากนั้น ก็เริ่มฝังตัวจมเข้าไปในกำแพง

“กวงเว่ย หวังว่าแกจะไม่เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้!” ฉินเฟิงกล่าวเสียงเย็นชา จากนั้น ก็เจาะทะลุกำแพง หายไปอย่างไร้ร่องรอย

สีหน้ากวงเว่ยมืดมนหนาวเหน็บ ไอ้คำที่ฉินเฟิงเอ่ย เป็นเขาต่างหากที่สมควรพูดมันออกไป!

“ฉันจะเสียใจได้ยังไง! กลับกัน เป็นแกนั่นแหละ เสียใจซะให้พอ เพราะนับจากวันนี้ไป จะไม่เหลือชีวิตไว้ให้เสียใจอีกแล้ว!”

ดวงตาของกวงเว่ย ฟุ้งไปด้วยเจตนาฆ่า จากนั้นเขาก็หายวับไปจากโลกแห่งจิตสำนึกของพันธมิตรมนุษย์ทันที

เหอเล่อหมิงที่ยังนั่งอยู่บนหน้าโต๊ะตัดสิน สีหน้าเขียวคล้ำไม่แพ้กัน

“เกิดบ้าอะไรขึ้นกันแน่? เรื่องอื้อฉาวแบบนี้ ถ้ากระจายออกไป คงถูกพวกพันธมิตรองค์กรมืดหัวเราะเยาะ!”

เปรี้ยง!!

เหอเล่อหมิงฟาดฝ่ามือ ตบโต๊ะแข็งแหลกเป็นผงทันที

แต่ไม่นาน โต๊ะก็เริ่มฟื้นตัวกลับมาอีกครั้ง …

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Status: Ongoing
ยุคมืดได้มาเยือน รอยแยกมิติปรากฏขึ้นบนผืนโลก เหล่าสัตว์ร้ายเข้ามารุกราน สัตว์ป่าเองก็เริ่มกลายพันธุ์ ส่งผลให้ทุกสิ่งพลิกตลบ มนุษย์ที่เคยยืนอยู่บนจุดสูงสุดตลอดมา กลับกลายเป็นสิ่งมีชีวิตต่ำสุดในห่วงโซ่อาหาร …ร้อยปีต่อจากนั้น จึงได้ถือกำเนิดสามอาชีพหลักที่ใช้ต่อกรกับพวกที่กล่าวมาข้างต้นขึ้น อันได้แก่ ผู้ใช้อบิลิตี้ , ผู้ใช้วรยุทธ และมือปืนขึ้น‘ฉินเฟิง’ เด็กกำพร้าที่เกิดในช่วงยุคมืด ได้ถูกลักพาตัวไปในวันที่เขาสามารถปลุกอบิลิตี้ของตนเองให้ตื่นขึ้น ถูกจับไปทรมานทดลอง แต่สุดท้ายก็รอดหนีรอดมาได้ และใช้ชีวิตยาวนานกว่า 10 ปี และหลังจากนั้นเอง ในช่วงโลกาวินาศของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เขาก็ได้กลับไปเกิดใหม่อีกครั้ง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท