โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ – ตอนที่ 428

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.427 – กวงเว่ยเอาชีวิตรอด

“ผายลมเถอะ ฉันจะไม่กลับไปเด็ดขาด ที่หลงฉวนก็เหมือนกัน โลกใบนี้กว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุดฉันไม่เชื่อหรอกว่าจะไม่มีที่ให้พวกเราอยู่”

“นั่นสิ ปล่อยให้กวงเว่ยมันตายไปเถอะ ถ้าไม่เพราะหัวหน้าช่วยลดทอนกองทัพกริมจนน้อยลงกว่าครึ่ง พวกเขาจะชนะสงครามหรือ?”

“ใช่ ปล่อยให้มันถูกฆ่าตายไปเลยดีกว่า!”

ภายในสถานชุมชนที่ 3 กวงเว่ยมิได้ตกตายลงภายใต้คําสาปแช่งของผู้คน

แต่กระนั้น ไม่ต้องสงสัยเลย ว่าผู้ใช้พลังเลเวล 8 ที่รั้งประจําการอยู่ จะกลายเป็นหนามยอกอกในสายตาของเผ่ากริ่ม!

ต้องไม่ลืมนะว่า ก่อนหน้านี้มีซากกองทัพกริม 200 – 300 ตัวหลบหนีไป และเมื่อพวกมันสามารถเรียกกองทัพใหญ่มาได้อีกครั้ง เป็นธรรมดาที่จะคิดแก้แค้น!

“ฆ่าเขา! เป็นเขาที่สังหารพี่น้องของพวกเราไปมากมาย!”

“ใช่ นั่นแหละเขา ฆ่า!”

“ทําลายหมู่บ้านนี้ให้ราบเป็นหน้ากลอง! พวกเราต้องการเพียงทรัพยากร ไม่จําเป็นต้องมีทาสไร้ประโยชน์เหล่านี้!”

เผ่ากริมมีนิสัยดุร้าย ดังนั้นเมื่อเริ่มสงคราม ฉากนองเลือดก็ปรากฏขึ้น

ผู้คนที่ยังรั้งอยู่เบื้องหลังไม่มีกําลังมากพอจะต่อต้าน ทั้งหมดเริ่มถูกสังหารหมู่

เหลือเพียงกวงเว่ยที่ยังพอมีฝีมือ แต่เวลานี้เขาอยู่ในสภาพกึ่งสู้กึ่งถอย

“รีบหนี! ถอนกําลัง ทุกคนถอย!”

กวงเว่ยร้องคําราม

“นายพลกวง โปรดพาฉันไปด้วย ขอร้องล่ะ พาฉันหนีออกไปจากที่นี่ที!” หลี่จื่อซานที่สูญเสียขาทั้งสองข้างกรีดร้องสยองขวัญ

เดิมกวงเว่ยคิดจะช่วยหลี่จื่อซาน แล้วอาศัยอบิลิตี้ลมของเธอ ช่วยพาหลบหนีไป

แต่ในจังหวะนั้นเอง แสงไสวพลันปะทุลงมาจากเมืองลอยฟ้า

และความไวของมัน รวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ

เร็วชนิดต่อให้หลี่จื่อซานครอบครองอบิลิตี้ลม ก็ยังไม่ทันเกิดปฏิกิริยาตอบสนอง

แสงไสวจางหายไป พร้อมกับใบหน้าอันงดงามของหลี่จื่อซาน ที่ไม่เหลือแม้แต่เศษเสี้ยวในอากาศ

หนึ่งในผู้มีอนาคตสดใส เลเวล A อันทรงพลังที่ฉินเฟิงรู้จัก สุดท้ายต้องจบชีวิตลงที่นี่อย่างไม่คาดฝัน!

กวงเว่ยตกใจจนเผลอปล่อยมือ ทั้งเนื้อทั้งตัวหลั่งไปด้วยเหงื่อเย็น

ขณะเดียวกัน เป็นเลยหยิงที่หลบหนีไปได้อย่างง่ายดาย

เพราะเขามีเขตแดนลับเป็นของตัวเอง จึงอาศัยตัวเชื่อมมิติ เชื่อมต่อกับพิกัดมิติแล้วห นีออกไปทันทีที่เห็นเมืองลอยฟ้า

อันที่จริง หลังจากที่ทุกคนเห็นเมืองลอยฟ้า ผู้มีตัวเชื่อมมิติในครอบครอง ต่างก็รีบเปิดใช้งานมันอย่างไม่เสียเวลาคิด ส่วนไอ้เรื่องการร้องขอกําลังสนับสนุนบนอุปกรณ์สื่อสาร พวกเขาไม่ สนใจ!

พวกเขาไม่มีวันยอมจ่ายด้วยชีวิต เพื่อทํางานให้แก่พันธมิตรมนุษยชาติ!

เพราะสิ่งสําคัญที่สุดก็คือ การมีชีวิตอยู่ต่อไป!

กวงเว่ยติดพันกับทหารกริมนับไม่ถ้วน ยุ่งจนไม่มีเวลามากพอเปิดใช้งานตัวเชื่อมมิติ ทําได้แค่วิ่งหนีสลับตอบโต้เผ่ากริม

อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าเผ่ากริมไม่คิดปล่อยกวงเว่ยไป!

พวกกริมต้องการหัวของกวงเว่ยไปแขวนประดับไว้บนเมืองลอยฟ้า เพื่อเซ่นสังเวยให้แก่สหายร่วมชาติ!

พลังของกวงเว่ยลําพังย่อมมีขีดจํากัด เมื่อต้องเผชิญหน้ากับทหารกริมนับพันที่กรูเข้ามา เจ้าตัวไม่มีทางเลือก ทําได้เพียงหลบหนีไปจากสถานชุมชนหลงฉวนที่ 3 เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม การกระทําดังกล่าว นั่นหมายถึงการละทิ้งสถานชุมชน

เรื่องนี้ ต่อให้กวงเว่ยไม่จําเป็นต้องได้รับบทลงโทษ แต่คงเสียหน้าไม่น้อย

ขณะเดียวกัน ฉันเพิ่งได้เดินทางออกจากอาณาเขตหลงฉวนแล้ว

ภายในปราการชาตง

บนวิลล่าหรูใจกลางเมือง สองร่างเงาพลันปรากฏขึ้น

-เป็นฉันเพิ่งและไปหลี

นับตั้งแต่ฉันเพิ่งจากมา ปราการชาตงแห่งใหม่ก็ไม่เป็นเหมือนเดิมอีกต่อไป แค่กวาดพลังสมาธิกระจายออกสํารวจแบบคร่าวๆ ก็พบได้ทันทีว่าพลเมืองโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ

พืชพรรณโดยรอบที่ถูกปลูก หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน ก็ใกล้ถึงช่วงเวลาเก็บเกี่ยว

ด้วยอัตราเร็วในระดับนี้ ถึงจะขายได้ไม่มากนัก แต่ก็เพียงพอสําหรับแจกจ่ายประชากรในปราการ

แม้สิ่งเหล่านี้ ไม่น่าถึงขั้นสามารถดึงดูดความสนใจจากกวงเว่ยได้ แต่หลังจากที่มีแนวโน้มพัฒนาไปในทางที่ดีอย่างต่อเนื่อง เกรงว่าอาจเป็นเล่ยหยิ่ง ที่กางกรงเล็บชั่วร้ายของตนมายังชาตงแทน

อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่ฉันเพิ่งยังมีชีวิตอยู่ น่ากลัวว่าเล่ยหยิงคงรู้สึกคันในหัวใจ จะทําอะไรสมควรยั้งคิด

ฉินเฟิงติดต่อซูชิง ซูซิงเร่งเดินทางมายังวิลล่าอย่างรวดเร็ว เพื่อเห็นทั้งสองกับตาตัวเอง

“ฟว… พวกคุณไม่ได้รับบาดเจ็บใช่ไหม? ยอด ยอดไปเลย!” ถูกไล่ล่าโดยเลเวล B สองระดับ เลเวลมันแตกต่างกันมากเกินไป ดังนั้นซูซิงฝอดรู้สึกกลัวไม่ได้

“วางใจเถอะ พวกผมไม่เป็นอะไรหรอก”

“จริงสิ นี่อุปกรณ์สื่อสารของไป๋หลี”

“ยี่สี่ ขอบคุณ ถ้าไม่มีอุปกรณ์สื่อสาร ยังไงฉันก็ทําใจให้ชินไม่ได้” ไป๋หลีกล่าว ช่วงเวลานี้ เมื่อไร้ภยันตราย ท่าทีของเธอจึงกลับมาเป็นสาวน้อยน่ารักไร้เดียงสาดังเดิม

ฉินเฟิงลูบหัวของเธอ และกล่าวต่อว่า “เอาล่ะ ตอนนี้ไปที่สุสานเทพสงครามก่อนเถอะ ทุกคนน่าจะมารวมตัวกันแล้ว ผมอยากจะเห็นเหมือนกัน ว่าพวกเขาพัฒนาไปถึงขั้นไหน”

“เข้าใจแล้ว”

ฉินเฟิงก้าวเข้าไปในวิหารเทพสงคราม คนอื่นๆได้รับแจ้งจากซูซิงสู่ก่อนแล้ว จึงมารอล่วงหน้า

โจวฮาว , หลิวซู , วังเฉิน รวมไปถึงหน้าใหม่อย่างหานน่าน …

สถานชุมชนเพิงหลีในวันนี้ มิใช่เล็กจ้อยอย่างวันแรกอีกต่อไป!

“ลูกพี่”

“ท่านผู้ว่าการ”

“หัวหน้า”

แม้จะเรียกขานแตกต่างกันออกไป แต่ทั้งหมดล้วนเป็นคําแสดงความเคารพต่อฉินเฟิง

ในบรรดาคนเหล่านั้น ส่วนใหญ่แล้วเพิ่งก้าวขึ้นสู่เลเวล E แต่ในแง่ของความแข็งแกร่ง ถือว่าเหมาะสมเพียงพอต่อการทําหน้าที่เป็นผู้บริหารสถานชุมชมเฟิงหลี

ยิ่งไปกว่านั้น ระหว่างที่ฉินเฟิงหายไป ไม่มีใครกล้าเข้ามาหาเรื่องพวกเขาเลย!

นั่นเพราะทุกคนต่างทราบดี ว่าแหล่งธุรกิจนี้เป็นของใคร

ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ว่าแม้ฉันเพิ่งจะหายไป แต่ก็ยังมีโจวฮ่าวคอยทําหน้าที่รักษาการ

ในช่วงหลายเดือนมานี้ แม้ฉันเพิ่งจะไม่ได้กลับไปยังเพิ่งหลี แต่ก็ไม่เคยขาดการติดต่อกับโจว ฮ่าว เมื่อรู้ว่าความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายก้าวกระโดด เขาก็ยินดีด้วย

“ไม่เลวนี้ นายยกระดับไปอีกขั้นแล้ว” ฉินเฟิงตบไหล่โจวอ่าว

“ฮ่าฮ่า ฉันโชคดีที่มีเสียวหวง วิธีฝึกกําลังภายในที่นายให้มาก็ช่วยฉันได้เยอะเลยเหมือนกัน” โจวฮาวกระพริบตาปริบๆ

แน่นอน ว่านอกจากนี้ยังมีเทคนิคลับเหิงหลงคอยสนับสนุนอีกด้วย

“โอ้ ได้ยินแบบนั้นฉันก็ดีใจ”

ฉินเฟิงหันไปมองคนที่เหลือ

หลิวซูกับวังเฉิน และคนอื่นๆ เวลานี้ส่วนใหญ่สามารถตัดผ่านเข้าสู่เลเวล E ได้แล้ว ที่ยังทําไม่ได้ ที่คาดว่าจะตัดผ่านในเร็ววัน

สําหรับปราการชาตง เลเวล E ถือเป็นความแข็งแกร่งต่ําสุด อย่างไรก็ตาม ในสถาน ชุมชนเพิ่งหลีหรือกระทั่งในสถานชุมชนเฉิงเป่ย มันคือการดํารงอยู่ระดับสูงสุด

ในยุคโลกาวินาศ ผู้คนจะสูงต่ํา ขึ้นอยู่กับสถานที่และความแข็งแกร่ง!

ส่วนนางพญามดทองของโจวฮ่าว ดูเหมือนว่าตอนนี้มันจะแข็งแกร่งกว่าเดิมถึงสองเท่า แต่ด้วยอัตราเร็วขนาดนี้ ถือว่ามันมีพรสวรรค์มากแล้ว!

ลูกพี่ ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของคุณ ฉันไม่สามารถตรวจสอบมันได้เลย” วังเฉินกล่าว เขาคือมือปืนดังนั้นสามารถใช้พลังสมาธิตรวจสอบความแข็งแกร่งได้ง่ายๆ แต่เขาไม่สา มารถตรวจสอบฉินเฟิงได้เลย

อันที่จริงวังเฉินรู้สึกใจเสียเล็กน้อย เพราะเขาเป็นคนช่างคิด ในความเป็นจริงตอนที่ฉันเพิ่งจะเดินทางไปยังปราการชาตง เขาก็อยากติดตามไปเช่นกัน เพราะวังเฉินรู้ดี หากอยู่ข้างกายฉินเฟิง ย่อมได้รับทรัพยากรมหาศาล

แต่สําหรับตอนนี้ ดูเหมือนว่ามันจะเป็นไปไม่ได้เสียแล้ว! เขากับฉินเฟิงห่างชั้นกันมากเกินไป!

“เอาล่ะ อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องอื่นกันเลย ที่ผมเรียกพวกคุณมาในคราวนี้ เพราะมีบางอย่า งจะสั่งการ

ฝูงชนเริ่มกลายเป็นจริงจัง จากนั้น ฉันเพิ่งก็บอกเล่าเกี่ยวกับแบบแผนที่เขาร่างไว้ และการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่กําลังมีปัญหากับกลุ่มเล่ยถัง

“ถ้ามีใครมาหาเรื่อง ขอให้ติดต่อผมทันที อย่าลังเล”

ฉินเฟิงไม่มีความตั้งใจคิดฝืนทน

บางที่เล่ยหยิงอาจลองทดสอบเขาด ไม่คิดลงมือด้วยตัวเอง แต่อาจส่งเลเวล D คนอื่นมา ถึงเวลานั้นฉันเพิ่งจะกลับมาเชือดพวกมันทั้งหมดให้ตาย!

จากนั้น ฉินเฟิงก็เรียกของสองสิ่งออกมา

ทั้งสองมีขนาดใหญ่โต ขาวตลอดทั้งใบ และเรืองแสงสีทอง ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นี้ ต่างเกิดความรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา

“นี่คือไข่สัตว์ร้ายใช่ไหม?”

“มันเป็นสัตว์ร้ายชนิดไหนกัน ทําไมถึงได้มีรูนว่ายวนอยู่รอบๆ!”

“เดี๋ยวนะ … นี่มันรูนแสงใช่รึเปล่า!”

งเดียวกันและ

-เปรี้ยง!

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Status: Ongoing
ยุคมืดได้มาเยือน รอยแยกมิติปรากฏขึ้นบนผืนโลก เหล่าสัตว์ร้ายเข้ามารุกราน สัตว์ป่าเองก็เริ่มกลายพันธุ์ ส่งผลให้ทุกสิ่งพลิกตลบ มนุษย์ที่เคยยืนอยู่บนจุดสูงสุดตลอดมา กลับกลายเป็นสิ่งมีชีวิตต่ำสุดในห่วงโซ่อาหาร …ร้อยปีต่อจากนั้น จึงได้ถือกำเนิดสามอาชีพหลักที่ใช้ต่อกรกับพวกที่กล่าวมาข้างต้นขึ้น อันได้แก่ ผู้ใช้อบิลิตี้ , ผู้ใช้วรยุทธ และมือปืนขึ้น‘ฉินเฟิง’ เด็กกำพร้าที่เกิดในช่วงยุคมืด ได้ถูกลักพาตัวไปในวันที่เขาสามารถปลุกอบิลิตี้ของตนเองให้ตื่นขึ้น ถูกจับไปทรมานทดลอง แต่สุดท้ายก็รอดหนีรอดมาได้ และใช้ชีวิตยาวนานกว่า 10 ปี และหลังจากนั้นเอง ในช่วงโลกาวินาศของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เขาก็ได้กลับไปเกิดใหม่อีกครั้ง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท