โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ – ตอนที่ 447

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Ep.447 – ตกใจและหวาดกลัว

ในมือของฉินเฟิง ปรากฏมีดยาวสีบานเย็นขึ้นทันใด

ใบมีดกระพริบไหว วินาทีต่อมา ลาวาสีแดงม่วงก็ปะทะเข้ากับปราณกําลังภายในของชางหมิง

ตูม!

ไม่ต่างจากการเอานิ้วจิ้มลงบนฟองสบู่ ปราณกําลังภายในแตกโผละ กระจายเป็นเสี่ยงๆ

ชางหมิงผวาตกใจ

เขาเอี้ยวกายหลบเลี่ยง ใบมีดจ้วงทะลุโดนเสื้อเขา และเริ่มกวาดตัดอากาศ ไล่ตามทิศทางที่ตนหลบหนี

ชางหมิงคว้าหอกยาวออกมาทันที

บนหอกยาวสาดไสวไปด้วยแสงสีทอง บ่งบอกสถานะว่ามันคืออุปกรณ์รูนมิติสีทอง

เป็นอาวุธระดับจักรพรรดิ

นอกจากนี้ อาวุธรูนที่ว่า ยังเป็นในส่วนของเลเวล C

กําลังภายในของชางหมิงถูกถ่ายเทลงไป แสงสีทองบนตัวหอกสว่างวาบอีกครั้ง ฟาดเข้าสกัดกั้น หลังจากผ่านความตกใจในช่วงแรก สติของชางหมิงก็เริ่มมั่นคง ตั้งท่าคล้ายต้องการวัดความสามารถในการต่อสู้กับฉินเฟิง

หรือหากเป็นไปได้ก็สังหารมันซะเลย

ทั้งคนทั้งร่างของฉินเฟิงวูบไหวเป็นเงา ทั้งสองกระโจนเข้าต่อสู้น้ำนั่น มองด้วยตาเปล่า เห็นได้เพียงกลุ่มก้อนความเร็วกําลังฟาดฟันใส่กันไปมา

เมื่อวานนี้ ฉินเฟิงลอบโจมตีโดยที่ศัตรูไม่ทันตั้งตัว ดังนั้นสามารถสังหารแต่ละคนได้ในลมหายใจเดียว ทว่าบัดนี้ ชางหมิงเตรียมตัวมาพร้อม ทําให้ไม่อาจจบการต่อสู้ได้ในทันที ยิ่งไปกว่านั้น ในหัวใจของชางหมิง บังเกิดความระมัดระวังตัวเป็นอย่างยิ่ง

ผลลัพธ์เลยกลายเป็นว่า อีกฝ่ายไร้ซึ่งความประมาทใดๆ ทุกกระบวนท่าปัดป้องอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ยินยอมเผยช่องว่างออกมา

กําลังภายในของทั้งสองกวาดกระจายไปโดยรอบ กดดันผู้คนจนยากจะหายใจ จําต้องขยับถอยให้ห่างออกไป

แม้จะเสียเวลากว่าเดิม แต่ฉินเฟิงกลับไม่แสดงออกถึงอาการร้อนใจ คมมีดและคมหอกเชือดเฉือนใส่กันไม่หยุด แต่ยิ่งนานกําลังภายในของแต่ละฝ่ายก็ยิ่งทยอยเดือดหาย

เคร้ง! เคร้ง! เครั้ง!

เสียงคมอาวุธปะทะใส่กันอย่างต่อเนื่อง

แต่ในตอนนั้นเอง วินาทีต่อมา มีดกษัตริย์ครามของฉินเฟิงพลันสาดไสวไปด้วยรังสีแสงอันน่าสะพรึง

กระบวนท่ามีดเปลวเพลิงถูกใช้ออก!

ก่อนหน้านี้ฉินเฟิงยั้งมือเอาไว้ แต่ในตอนนี้ความน่าตื่นเต้นที่แท้จริงกําลังเริ่มต้นขึ้น ลาวาหนืดสีแดงม่วงชวนสยองขวัญ หวดฟาดเข้าใส่อาวุธรูนของชางหมิง

ด้วยความเร็วที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า หอกของอีกฝ่ายเริ่มเกิดการหลอมละลายอย่างรวดเร็ว กลายเป็นอาวุธไร้ประโยชน์ไปในพริบตา

และอํานาจของลาวา มิได้จบลงเพียงแค่นั้น

“อ๊าาาาา” ชางหมิงกรีดร้องเสียงหลง ผละมือจากหอกทันที ทว่ามือของเขาดันสัมผัสกับหยดลาวาเข้าเสียก่อน พริบตาเดียวทั้งมือถูกย่อยสลายจนเห็นกระดูกขาว

ฝูงชนที่รับชมสูดหายใจลึก

นี่มันน่าสยดสยองนัก!

ฉินเฟิงย่อมไม่พลาดโอกาสเช่นนี้ เขาปลดปล่อยพลังงานออกมาอย่างไม่ลังเล

เปรี้ยง!

ลําแสงที่ลุกไหม้โถมฟาดเข้าใส่ชางหมิงอีกครั้ง

“อ๊ากกกก” ชางหมิงเร่งเร้ากําลังภายในอย่างบ้าคลั่ง พยายามต้านทานเปลวเพลิงนี้ แต่ตําแหน่งปลายแขนที่ของเขา กลับเริ่มแห้งเหี่ยว ผิวหนังหลุดลอก เผยให้เห็นถึงกระดูกขาว

ตึง!

ชางหมิงตัดสินใจทุ่มแรงทั้งหมดลงกับพื้น ตั้งหลักได้ก็เร่งวิ่งหลบหนีทันที

เลเวล C ผู้ทรงอํานาจ เวลานี้กลับวิ่งหางจุกตูดอย่างกับสุนัข

อย่างไรก็ตาม มันกลับได้ผล ชางหมิงสามารถรักษาชีวิตตัวเองเอาไว้ได้ ฉินเฟิงไม่มีความคิดจะไล่ตามอีกฝ่ายไป เก็บอาวุธกลับคืน

คนอื่นๆเงียบเป็นเป่าสาก

แนวสายตาของฉินเฟิง กวาดมาตกลงบนร่างของคนที่เหลืออยู่

บรรดาลูกน้องของชางหมิง ก้มหน้าลงทันที ค่อยๆขยับฝีเท้าถอยไปอย่างช้าๆ เมื่อเห็นว่าฉินเฟิงไม่มีปฏิกริยาใดๆ ก็หันหลังและวิ่งหนีไปทันที

หน้าโรงงาน ฝูงชนลดจํานวนลง หายไปอีกกว่า 30 คน

ปัจจุบันหลงเหลืออยู่เพียง 60 คนเท่านั้น

ไม่รอช้า ฉินเฟิงเบนสายตาไปยัง 60 คนที่ยังเสนอหน้าอยู่

“ฮ่าฮ่าฮ่า บอสหยวน เห็นแก่มิตรภาพอันดีของพวกเรา ฉันขอยอมแพ้เรื่องโรงงาน ยกให้คุณไปเลย!” เลเวล C หนึ่งในสองชิงพูดตัดหน้า โยนขี้ให้บอสหยวน ส่วนตนเร่งจากไปทันที

เลเวล C คนสุดท้าย กล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุกไม่หยุด คล้ายกับไม่สามารถคิดหาข้ออ้างในการจากไปได้

ฉินเฟิงมุ่งความสนใจไปยัง กลุ่ม 30 คนสุดท้าย

“ลูกพี่ คนๆนั้นเรียกว่าหยวนเทียน เขาแข็งแกร่งสุดๆ เป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล C5 …” จิ่นเฟยเดิมต้องการจะอธิบายซ้ำ แต่เจ้าตัวกลับตระหนักว่า ตนเองไม่ได้รู้ข้อมูลของหยวนเทียนอย่างลึกซึ้งถึงขนาดนั้น

เพราะท้ายที่สุดแล้ว บอสเลเวล C น้อยครั้งนักที่จะออกหน้าลงมือด้วยตัวเอง

อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงพยักหน้าและกล่าว “บอสหยวน ผมชอบโรงงานนี้ คุณช่วยยอมสละสมบัติสักชิ้นจะได้ไหม?”

ฉินเฟิงกล่าวด้วยท่าที่เรียบเฉย

หยวนเทียนยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ลูกน้องของเขาอดไม่ไหว ตะโกนด่าสวนกลับมา

“แกคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน อย่ามาเรียกบอสของพวกเราอย่างสนิทสนมนะ!”

แม้ฉินเฟิงจะสามารถโค่นชางหมิงได้ แต่หยวนเทียนแข็งแกร่งกว่าชางหมิงมาก ฉินเฟิงมันอาละวาดขนาดนี้ จําเป็นต้องมีใครสักคนให้บทเรียน

หรืออาจจะพูดได้ว่า ลึกๆพวกเขาอิจฉาฉินเฟิง เลยอยากเห็นอีกฝ่ายถูกสั่งสอนก็ได้

มุมปากของหยวนเทียนกระตุก ยกแขนขึ้นทันใด กําลังภายในปะทุโหม ฟาดฝ่ามือกลับหลังส่งผู้ใช้วรยุทธโบราณปากพล่อยคนเมื่อครู่ลอยคว้างไปในอากาศ ถูกเหวี่ยงปลิวไกลนับ 10 เมตร!

“ฮี่ฮี่ น้องฉัน ฉันสอนลูกน้องไม่ดี ทําเรื่องน่าขายหน้าลงไปซะแล้ว”

ทว่าแม้แต่พระเจ้าก็ยังรู้ ว่าคําพูดเหล่านี้ หยวนเทียนล้วนบีบเค้นมันเล็ดลอดออกมาจากไรฟันของเขา

อย่างไรก็ตาม ความสามารถของฉินเฟิงน่าหวาดกลัวเกินไป ยิ่งเมื่อย้อนนึกถึงวีรกรรมของฉินเฟิงเมื่อคืน ตอนนี้ไม่มีใครกล้าหาเรื่องเขา

ไม่ต้องกล่าวถึงการต่อสู้เมื่อครู่ มันยังไม่เพียงพอที่จะอธิบายทุกอย่างอีกหรือ?

หากฉินเฟิงต้องการไล่ตามไปจริงๆ ชางหมิงไม่มีทางอยู่รอดเกินวันนี้ไปได้แน่ๆ

“พวกเรากลับ!”

ไม่รอให้ฉินเฟิงเอ่ยคําใด หยวนเทียนนําคนจากไปทันที

เมื่อไม่กี่สิบนาทีก่อน หน้าโรงงานยังครึกครื้นและเต็มไปด้วยผู้คนอยู่เลย แต่ปัจจุบัน เหลือแค่ลูกน้องเดิมของหลงซานเท่านั้น

ขณะนี้คนของหลงซาน ทั้งหมดฉันมองนาย นายมองฉันด้วยความตกใจ ก่อนสลับไปดูฉินเฟิง ไม่รู้ว่าสมควรจะทําอะไรต่อไปดี

ฉินเฟิงเองก็ไม่คิดทําให้อีกฝ่ายเกิดความลําบากใจเช่นกัน

“ใครยังอยากจะอยู่ต่อ ผมจะทําเหมือนกับที่หลงซานเคยให้สัญญาไว้กับพวกคุณ มอบทรัพยากรให้พวกคุณ ส่วนใครไม่อยากอยู่ ก็จากไปได้เลยทันที เมื่อได้ยิน เลเวล D ทั้งหมดมองหน้ากันและกันด้วยความลังเล

“พวกเราสามารถไปได้จริงๆน่ะหรอ? คุณจะไม่มาคิดบัญชีกับพวกเราทีหลังใช่ไหม?” อันที่จริง แม้คนเหล่านี้จะติดตามหลงซานมาก่อน แต่ใช่ว่าทุกคนจะภักดีต่ออีกฝ่าย

เนื่องจากอีกฝ่ายทรงพลัง เลยเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะต้องยอมก้มหัว เพราะหากไม่ฟังและไร้ซึ่งผู้ใดสนับสนุน ผลลัพธ์ที่รอคอยเขาอยู่คือความตาย!

ก็เหมือนกับในตอนที่บอสเฉิงชักชวนฉินเฟิง เดิมการที่ฉินเฟิงปฏิเสธ สมควรถูกฆ่าตาย แต่ผลลัพธ์กลับพลิกผัน เป็นบอสเฉิงซะเองที่ตายลง

ปัญหาทั้งหมดมันอยู่ในเรื่องของความแข็งแกร่ง

ดังนั้น แม้คนเหล่านี้จะรู้ว่าหลงซานตายแล้ว แต่ก็ไม่มีใครคิดแก้แค้นแทน ในทางตรงกันข้ามกําลังคิดหาทางหลบหนีแก่ตนเอง แต่ไม่คาดหวังเลย ว่าฉินเฟิงจะใจดีถึงขนาดนี้

“ผมเป็นคนรักษาคําพูด และที่สําคัญ ผมไม่ต้องการชุบเลี้ยงคนเกียจคร้านเหมือนกัน!” ฉินเฟิงกล่าว

สีหน้าของเหล่าเลเวล D เริ่มเกิดความลังเลเล็กน้อย แต่ยังไม่มีใครเอ่ยคําใดออกมา

แม้ฉินเฟิงจะสามารถขับไล่ชางหมิงไป นอกจากนี้ยังมีความเป็นไปได้ที่ฉินเฟิงคือผู้สังหารเลเวล C ทั้ง 10 คนเมื่อวาน

แต่กระนั้น คนเหล่านี้ก็ยังไม่ถึงกับมองฉินเฟิงในแง่ดี

เพราะฉินเฟิงอย่างไรเป็นแค่เลเวล D ซึ่งมันไม่เพียงพอที่จะให้พวกเขารับใช้ด้วยใจจริง

ฉินเฟิงเองก็เข้าใจถึงความจริงในข้อนี้เช่นกัน กว่าเขาจะได้รับความไว้วางใจจากกลุ่มเลเวล D ในปราการชาตง เจ้าตัวต้องข้ามผ่านเหตุการณ์ใหญ่มากมาย สุดท้ายจึงเกิดความสามัคคี เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ในขณะที่การสังหารผู้คนเพียงไม่กี่คน มันไม่มากพอที่จะได้รับความภักดีจากลูกน้องของหลงซานได้

คนอื่นๆเมื่อได้ยินคําของฉินเฟิง สุดท้ายก็ทยอยกันจากไปอย่างเงียบๆ

คนที่ยังยินดีรั้งอยู่เบื้องหลัง ปรากฏว่ามีเพียง 2 คนเท่านั้น

หนึ่งคือมือปืนตาเดียว มีชื่อเล่นว่าไอ้บอดอินทรี ชื่อจริงคือโกวกวน อายุอย่างน้อยปาเข้าไป 55 ปีแล้ว แม้จะสามารถขึ้นมาถึงเลเวล D ได้ แต่ร่างกายค่อนข้างอ่อนแอ ดูคล้ายคนก้าวถึงช่วงปลายของชีวิต คาดว่าตอนวัยหนุ่มน่าจะเคยได้รับบาดเจ็บสาหัสมาก่อน

ส่วนอีกคนคือหลานชายของโกวคิ้วน มีชื่อว่าโกวซ่ง เป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล D และอายุเพียง 29 ปีเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม แค่ 2 คน ก็นับว่าเพียงพอแล้ว!

ฉินเฟิงไม่ต้องการคนจํานวนมาก

“ผมจะมอบทรัพยากรให้ โดยแลกกับการทํางานของพวกคุณ นั่นคือปกป้องที่นี่ ใครก็ตาม ไม่อนุญาตให้เข้ามา!” ฉินเฟิงกล่าวจริงจัง

โกวคิ้วนได้ฟังก็ขมวดคิ้ว ทว่าใบหน้าชรา โดยองค์รวมยังคงสงบมั่นคง

“เจ้านายฉันสังหารเลเวล C ไปถึง 10 คนเมื่อวานนี้ คงจะเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย แต่วันนี้เมื่อมาถึงโรงงานของพวกเราแล้ว จะให้กลับไปมือเปล่าคงไม่ดี คุณพอมีของดีมอบให้พวกเรานํามาศึกษาบ้างหรือไม่?”

ฉินเฟิงกล่าวเสียงหม่น “อะไรที่ไม่ควรถาม ก็อย่าถาม!”

โกวป่วนหัวเราะฮะฮ่า และกล่าว “ฉันก็แค่อยากรู้นะ เพราะสุดท้าย ฉันก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งของโรงงานแห่งนี้ เป็นอาวุโสที่รับหน้าที่ออกแบบปืน!”

สองคิ้วของฉินเฟิงเลิกสูงขึ้นทันใด เขาไม่ทันคิดเลยว่าจะเป็นแบบนี้

ยังไงก็ตาม ก็แคฝีปากของเลเวล D คนหนึ่ง จะไปคณามือฉินเฟิงได้ยังไง

เมื่อคิดถึงจุดนี้ ฉินเฟิงเลยเอ่ยปากว่า “นั่นสินะ ดูเหมือนว่าผมมีของบางอย่างที่ต้องการผลิตอยู่จริงๆ”

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Status: Ongoing
ยุคมืดได้มาเยือน รอยแยกมิติปรากฏขึ้นบนผืนโลก เหล่าสัตว์ร้ายเข้ามารุกราน สัตว์ป่าเองก็เริ่มกลายพันธุ์ ส่งผลให้ทุกสิ่งพลิกตลบ มนุษย์ที่เคยยืนอยู่บนจุดสูงสุดตลอดมา กลับกลายเป็นสิ่งมีชีวิตต่ำสุดในห่วงโซ่อาหาร …ร้อยปีต่อจากนั้น จึงได้ถือกำเนิดสามอาชีพหลักที่ใช้ต่อกรกับพวกที่กล่าวมาข้างต้นขึ้น อันได้แก่ ผู้ใช้อบิลิตี้ , ผู้ใช้วรยุทธ และมือปืนขึ้น‘ฉินเฟิง’ เด็กกำพร้าที่เกิดในช่วงยุคมืด ได้ถูกลักพาตัวไปในวันที่เขาสามารถปลุกอบิลิตี้ของตนเองให้ตื่นขึ้น ถูกจับไปทรมานทดลอง แต่สุดท้ายก็รอดหนีรอดมาได้ และใช้ชีวิตยาวนานกว่า 10 ปี และหลังจากนั้นเอง ในช่วงโลกาวินาศของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เขาก็ได้กลับไปเกิดใหม่อีกครั้ง!

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท