ยามคุกคามผู้อื่น กวงเว่ยไม่รู้สึกว่าเงิน 5ล้านล้านมันมากมายอะไร เพราะท้ายที่สุดแล้ว ฉินเฟิงสามารถหามันได้จากในสงครามเดียว
อย่างไรก็ตาม พอเป็นฝ่ายตนที่ต้องจ่ายเงิน 5 ล้านล้าน กวงเว่ยเริ่มรู้สึกราวกับกำลังขาดอากาศหายใจ
จำนวนโหวตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และผลสุดท้าย เป็นเห็นด้วยกว่า 80 %
ซางฮันพยักหน้า ต่อมาประกาศโทษ “กวงเว่ยต้องจ่ายค่าชดเชดทั้งสิ้น 4 ล้านล้าน , เล่ยหยิง 1 ล้านล้าน สามารถจำนองทรัพย์สินที่มีต่อพันธมิตรมนุษย์ได้ ส่วนกำหนดจ่ายเงิน ให้เวลาแค่ 1 วัน”
สีหน้าของกวงเว่ยดำคล้ำอย่างหาที่ใดเปรียบ อีกด้านหนึ่ง เป็นเล่ยหยิงที่กำลังสั่นสะท้าน ราวกับจะล้มลงให้ได้ ณ จุดนั้น
แม้เล่ยหยิงจะเอ่ยปากว่ากลุ่มเล่ยถังร่ำรวย แต่เงินหลักล้านล้าน มันมากพอที่จะทำให้คลังของกลุ่มว่างเปล่า
ซางฮันเป่ลงเสียงดังกึกก้องอีกครั้ง ดูเหมือนว่าแค่คำตัดสินนี้ จะยังไม่เพียงพอ
“เนื่องจากนายพลกวงเว่ยใช้อำนาจโดยมิชอบ ดังนั้นขอเสนอให้ปลดตำแหน่งนายพล เริ่มโหวตได้!”
“เห็นด้วย”
“ขอคัดค้าน”
“เห็นด้วย”
“ขอคัดค้าน”
สีหน้าของกวงเว่ยยังคงน่าเกลียด ทว่าในครั้งนี้ ผลโหวตทางฝั่งเห็นด้วยกลับไม่เวอร์วังดังครั้งที่แล้ว
เพราะอย่างไรเสีย กวงเว่ยยังคงเป็นตัวตนทรงพลังเลเวล B อาศัยอยู่ในเขตทางตอนเหนือมานานปี เครือข่ายและความสัมพันธ์ของเขามิอาจมองข้ามได้ คนส่วนใหญ่คิดว่าเขาสมควรมอบเงินชดเชย แต่การถูกลดตำแหน่งมันไม่เหมือนกัน
ไม่นาน ผลโหวตก็ออกมา คือกวงเว่ยไม่ต้องถูกปลดตำแหน่งนายพล
ซางฮันเหมือนว่าจะเห็นด้วยกับผลลัพธ์นี้ พยักหน้ากล่าว “ให้กวงเว่ยยังคงตำแหน่งนายพลไว้ก่อนชั่วคราว”
กวงเว่ยผ่อนลมหายใจยาว
“แต่ยังมีบทลงโทษในด้านความประพฤติอีก!”
เห็นได้ชัดว่าซางฮันไม่คิดจะปล่อยกวงเว่ยไปง่ายๆ
เพราะท้ายที่สุดแล้ว การที่สามีของเธอตาย กวงเว่ยมีส่วนต้องรับผิดชอบเช่นกัน ถ้าตอนนี้ไม่ลงโทษกวงเว่ยเสียบ้าง เธอคงรู้สึกไม่เป็นธรรม
บางครั้ง มีเพียงผู้แข็งแกร่งเท่านั้น ถึงจะมีสิทธิ์พูดได้ดั่งใจต้องการ
“บทลงโทษด้านความประพฤติ : เงินอุดหนุนของนายพลกวงจะถูกระงับ และภารกิจใดก็ตามที่บรรลุ จะถูกลดเงินรางวัลลง 50% เป็นระยะเวลาหนึ่งปี!”
คราวนี้ สีหน้าของกวงเว่ยกลายเป็นม่วงคล้ำ
ซางฮันจ้องเขาด้วยความเย็นชา เปล่งวาจาต่อไป “ลงโทษความประพฤติฟูเหวินจู : ลดเงินอุดหนุนลง 30% , ภารกิจใดก็ตามที่บรรลุ ลดรางวัลลงอีก 30% เป็นเวลาหนึ่งปี!”
ฟูเหวินจูอ้าปากค้าง สุดท้ายจำใจยอมรับ ยิ้มอย่างขมขื่น เขาไม่คิดว่าตนจะรอดอยู่แล้วตั้งแต่แรก แต่เมื่อต้องรู้ว่าสูญเสียทรัพยากรไปถึงหนึ่งปี มันก็ชวนให้เจ็บปวดจริงๆ
“ลงโทษความประพฤติเหอเล่อหมิง : แม้มีคุณธรรมแต่ก็ยังทำความผิด ดังนั้นลดเงินอุดหนุน10% , รวมไปถึงรางวัลภารกิจ10% เป็นเวลาหกเดือน”
เหอเล่อหมิงในฐานะผู้บริสุทธิ์รู้สึกว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาควรได้รับ แต่เขาก็รู้เช่นกัน ว่าทั้งหมดมันเกิดขึ้นเพราะกวงเว่ย ในเวลานี้เขาเกลียดกวงเว่ยสุดๆ
“ลงโทษความประพฤติเล่ยหยิง! ” ซางฮันมองไปทางเล่ยหยิง อีกฝ่ายไม่ใช่คนของทางพันธมิตรมนุษย์ ซ้ำร้ายมิได้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้การหรือนายพล ดังนั้นจึงไม่มีสิ่งที่เรียกว่าเงินอุดหนุน
เล่ยหยิงเป็นเพียงประธานกลุ่มเล่ยถัง ความสัมพันธ์ระหว่างพันธมิตรกับบุคคลคนนี้ถือว่าน้อยมาก!
แต่กระนั้น ซางฮันก็ยังมีวิธีจัดการกับอีกฝ่าย
“ในระยะเวลาหนึ่งปี เล่ยหยิงและกองกำลังของเขา ไม่ว่างานใดๆ จะได้รับรางวัลลดลง 50%! ”
นี่มันโทษหนัก!
เพราะมิใช่รายบุคคล แต่เป็นทั้งกลุ่ม กรณีนี้เกรงว่ากลุ่มของเล่ยหยิงคงถึงคราวหายนะ!
แบบนี้เกรงว่าคงไม่มีสมาชิกของกลุ่มคนไหน คิดรับภารกิจจากตึกผู้ใช้พลัง เพราะบรรลุยังไงก็ได้รับรางวัลตอนท้ายเพียงครึ่งเดียว
แม้ว่าคนของเล่ยถัง ส่วนใหญ่มีอุตสาหกรรมคุณภาพ และธุรกิจผิดกฏหมาย แต่ทรัพยากรของสถานที่เหล่านี้ จะสามารถจุนเจือได้สักกี่คนกัน?
คนที่สามารถได้รับเม็ดเงินจากที่เหล่านั้น มีถึงสิบรึเปล่าก็ยังไม่รู้เลย
เมื่อทรัพยากรถดถอยลง ความไม่พอใจก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น พอกลุ่มเล่ยถังไม่สามารถหาทรัพยากรฝึกฝนมาได้เพียงพอ ทั้งกลุ่มก็จะถึงคราวล่มสลาย!
การลงโทษนี้ ช่างโหดร้ายนัก!
“เอาล่ะ หมดเรื่องลงโทษแล้ว ตอนนี้ฉันอยากส่งตัวแทนไปเจรจากับฉินเฟิง มีใครสนใจไปไหม?” ซางฮันเอ่ยถาม
“ฉันไป”
“ฉันไป!”
มีสองคนเอ่ยปากพร้อมกัน
หนึ่งคือหวังโจวซึ่งติดหนี้ฉินเฟิง แน่นอน เพราะเรื่องการแนะนำผู้การรัฐ ถือว่าทั้งสองหายกันแล้วก็จริง แต่สุดท้าย ฉินเฟิงกลับตกหลุมพรางเล่ยหยิง เรื่องนี้ทำให้หวังโจวรู้สึกอับอายนัก
ส่วนอีกคนหนึ่ง คือเหอเล่อหมิง
เหอเล่อหมิงเป็นหนึ่งในคนที่ตรวจสอบฉินเฟิง แม้จะเอ่ยปากว่าฉินเฟิงเหมาะสมในเวลานั้น แต่น่าเสียดายที่มันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้ หรือกล่าวง่ายๆมิได้มีบุญคุณอะไรต่อกัน แต่เหอเล่อหมิงรู้สึกว่าจะต้องกอบกู้ศักดิ์ศรีของตัวเองกลับมา
อีกอย่างฉินเฟิงคือการถือกำเนิดอย่าง ‘ลูกรักของพระเจ้า’ ดังนั้นมิอาจเพิกเฉย บุคคลเช่นนี้ จะดีที่สุดหากเป็นมิตรกัน
“ตกลง เอาไว้พูดคุยกันในภายหลัง ส่วนตอนนี้ จบการประชุม แยกย้ายได้!” ซางฮันกล่าว
จากนั้น ซางฮันก็เรียกหวังโจวและเหอเล่อหมิงมาหารือกันอีกรอบ
“ช่วยไปบอกผลของการประชุมคราวนี้ , มอบเงินให้อีกฝ่าย และอย่างลืมมอบตำแหน่งผู้การรัฐสี่เมืองทะเลเหนือให้แก่เขาด้วย” ซางฮันเอ่ยปากกล่าวถึงเรื่องค่าชดเชยและรางวัลของฉินเฟิง
หวังโจวและเหอเล่อหมิงพยักหน้า
แต่ซางฮัน เห็นได้ชัดว่าไม่ได้มีแค่เรื่องนี้
“พวกคุณทั้งสอง คิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องเมืองลอยฟ้า?”
ทั้งสองผงะไปในเวลาเดียวกัน สักพักก็รู้สึกว่า นี่คือเรื่องที่สมควรให้ความสนใจจริงๆ
เพราะเมืองลอยฟ้าสามารถสังหารเลเวล A ได้ อาวุธทรงพลังของมัน ใครบ้างเล่าจะไม่ต้องการ?
ยิ่งไปกว่านั้น เทคโนโลยีของเผ่ากริม มันเหนือกว่าพวกเขาอย่างเห็นได้ชัด หากนำมาศึกษาสักนิด ย่อมสามารถสร้างอาวุธที่ทรงพลังได้มากขึ้น
ผู้ใช้อบิลิตี้แข็งแกร่งที่สุดก็จริง แต่จำเป็นต้องได้รับการปลุกพลัง , ผู้ใช้วรยุทธโบราณก็ใช่ว่าจะอ่อนแอ แต่ถูกจำกัดด้วยร่างกาย สามารถโจมตีได้เฉพาะในระยะประชิดเท่านั้น
มีเพียงมือปืน ที่แม้แต่เด็กก็สามารถเป็นได้ หากหยิบยื่นปืนให้เขา ต่อให้เป็นเด็กทารกก็สามารถฆ่าผู้ใหญ่ได้
และที่สำคัญที่สุดก็คือ มือปืนเป็นอาชีพเดียวที่สามารถผลิตได้เป็นจำนวนมาก มันสามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำเนินชีวิตของมนุษย์ในปัจจุบันได้!
“จ้าวพรมแดนต้องการยึดเมืองลอยฟ้าคืนจากฉินเฟิงใช่หรือไม่?” หวังโจวเอ่ยถาม
ซางฮันขบคิดและกล่าว “ฉินเฟิงคนนี้ ถึงยังเด็ก ทว่าความคิดอ่านลึกล้ำเป็นล้นพ้น แม้ตกหลุมพรางของเล่ยหยิง แต่ด้วยความแข็งแกร่งของเขา ย่อมสามารถลอบสังหารเล่ยหยิงได้ง่ายๆ แต่อีกฝ่ายกลับไม่ลงมือขั้นเด็ดขาด เห็นได้ชัดว่านั่นเป็นเพราะเขาคาดการณ์ไว้แล้วว่าจะมีวันนี้”
“ใช่ ถ้าเขาสังหารเล่ยหยิงก่อนจริงๆ เหตุการณ์ในวันนี้ คงไม่จบลงในรูปแบบนี้” หวังโจวเห็นด้วย
เหอเล่อหมิงขบคิดและกล่าว“แต่ฉันรู้สึกว่า เขาไม่ใช่คนที่จะสามารถประนีประนอม ยอมใครได้ง่ายๆ”
แม้พบเจอกับฉินเฟิงแค่ครั้งเดียวในโลกแห่งจิตสำนึก แต่มันก็มากพอที่จะให้เหอเล่อหมิงวิเคราะห์ความคิดของฉินเฟิงได้
ซางฮันพยักหน้าเห็นด้วย “แค่ดูวิดีโอของเขาก็รู้แล้ว ตอนนี้ฉินเฟิงมีความแข็งแกร่งอยู่ในเลเวล C แต่เขากลับสามารถโค่นกวงเว่ยลงได้ ย่อมมีความหยิ่งผยองในตัวเอง ฉันเกรงว่าเขาจะไม่ยอมละทิ้งเมืองลอยฟ้าไปโดยเปล่าประโยชน์ ดังนั้นฝากเอ่ยถามเขา ว่าพวกเราพอจะ ‘ร่วมมือ’ กันได้รึเปล่า แบ่งปันทรัพยากร , จัดหาเทคโนโลยีให้แก่ฝั่งเรา แล้วจะได้รับของตอบแทนที่เหมาะสม”
“รับทราบ”
“แบบนี้ยังพอฟังดูเป็นไปได้”
ทั้งสามหารือกัน และได้ข้อสรุปว่านี่เป็นความคิดที่ดี!
…
บนเมืองลอยฟ้า ฉินเฟิงเหม่อมองออกไปยังมวลเมฆภายนอก สีขาวจากแสงอาทิตย์ค่อยๆสาดส่อง ขณะเดียวกันในจิตใจของเขา บังเกิดความคิดวูบไหว
‘กวงเว่ยกับเล่ยหยิงน่าจะได้รับบทลงโทษทั้งคู่ แต่ทางพันธมิตรมนุษย์ไม่น่าจะทำร้ายตัวตนทรงพลังจนมากเกินไป อย่างมากสุดน่าจะให้ชดใช้ด้วยเงิน’
‘หลังจากนี้คงไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องของทั้งสองอีกต่อไปแล้ว แต่ประเด็นใหม่ก็คือ ทัศนคติของพันธมิตรมนุษย์ที่มีต่อเมืองลอยฟ้า’
‘ยังไงก็ตาม หากคิดจะชิงเมืองลอยฟ้าไปฟรีๆ ขอบอกเลยว่าฝันเถอะ!’
ดวงตาของฉินเฟิงเปล่งประกายคมกริบ
เพราะท้ายที่สุดแล้ว หากพันธมิตรมนุษย์ทำเช่นนั้น ฉินเฟิงจะจากไปพร้อมกับเมืองลอยฟ้า ละทิ้งไม่คิดเกี่ยวดองกับพวกเขาอีกเลย
ในตอนนั้นเอง อุปกรณ์สื่อสารของฉินเฟิงเริ่มสั่นไหว