โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.487 – มองภาพใหญ่
บังเกิดความโกลาหลขึ้นในบรรดาฝูงชนที่ไม่รู้เรื่องราว
“นี่ .. นี่มันเป็นไปได้ยังไง จะรวดเร็วเกินไปแล้ว!” พิธีกรเร่งกล่าวจนลิ้นแทบพัน แน่นอน อันที่จริงเขารู้ว่าทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นเพราะอะไร แต่ถัดจากเขา คือแขกรับเชิญเลเวล D สองคนที่ถูกเชิญมาเป็นกรรมการตัดสิน ดังนั้นเลยต้องให้อีกฝ่ายได้อธิบาย
“เป็นจุดบอด ฉินเฟิงสามารถค้นพบจุดบอดของฝ่ามือวายุเยือกแข็งได้ เลยสามารถใช้ออกเพียงกลยุทธ์เดียว สยบการเคลื่อนไหวของศัตรู” หยางเหมาอธิบายตามทันที “แน่นอน ว่าจุดบอดเช่นนี้ หากเป็นในการต่อสู้จริง อาจเกี่ยวพันถึงชีวิต ทว่าการค้นหามันก็เป็นเรื่องยากเย็นมากเช่นกัน แต่การที่ฉินเฟิงสามารถเจอมันได้ในระยะเวลาอันสั้น บ่งบอกว่าเขาคือคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งมาก”
ขณะกล่าว หยางเหมาก็รู้สึกกระดากปากตัวเอง จนนึกคำต่อไปไม่ออก
เป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งงั้นหรอ? ก็ใช่ไง แถมยังแกร่งเกินไปซะด้วย
คนอื่นๆที่รู้เรื่องราวก็เหมือนจะรู้สึกไม่ต่างกัน ผู้ใช้พลังเลเวล C ปัดป้องการโจมตีจากเลเวล E ความแข็งแกร่งมันแตกต่างกันเกินไป
ขณะนั้นเอง หลายคนบนอัฒจรรย์ ที่รู้ถึงสถานะของฉินเฟิง ก็เอ่ยออกมา “อันที่จริงแล้วการได้ต่อสู้กับท่านผู้การรัฐก็มีข้อดีเหมือนกัน อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ได้รับรู้ถึงจุดอ่อนของกระบวนท่าของตัวเอง ในอนาคตจะแก้ไขมันย่อมง่าย กล่าวได้ว่าท่านผู้การรัฐช่วยชี้ทางสว่างให้รอดตายแล้ว”
“ถูกต้อง นี่เป็นโอกาสที่ดีสำหรับผู้ใช้วรยุทธโบราณ เป็นโอกาสทองในชีวิตชัดๆ”
“เจ้าเด็กตี๋เฉินนั่นจะโชคดีเกินไปแล้ว เขาได้รับการชี้แนะจากท่านผู้การรัฐเป็นการส่วนตัว!”
“เห็นด้วยอย่างยิ่ง”
ฝูงชนไม่มีใครเห็นอกเห็นใจตี๋เฉินเลย ตรงกันข้าม ทุกคนต่างมองกันและกันด้วยความอิจฉา
มีเพียงตี๋เฉินบนสังเวียน ที่ในสมองอื้ออึง รู้สึกเหมือนกำลังจะอาเจียนเป็นเลือดออกมา
“บังเอิญ … เมื่อกี้บังเอิญแน่ๆ ฉันไม่เชื่อหรอก มาลองกันอีกซักตั้ง!”
ตี๋เฉินดีดตัวลุกขึ้น ควบรวมกำลังภายในอีกครั้ง ทะยานเข้าหาฉินเฟิง ใช้ออกด้วยกระบวนท่าอันทรงพลังโถมเข้าโจมตีอีกครั้ง
ทว่าฉินเฟิงยังคงยืนเฉย ไร้ซึ่งความลังเล ทุกกระบวนท่าของศัตรูถูกเขาทะลวงโดยนิ้วเดียว ไม่ต้องกล่าวถึงผู้ใช้พลังเลเวล E มิอาจใช้งานปราณกำลังภายในได้ ดังนั้นแทบไม่ต่างจากการถูกโจมตีฝ่ายเดียว ตี๋เฉินปลิวกระเด็น ล้มลงกับพื้น 4 – 5 ครั้ง เขาก็ไม่สามารถลุกขึ้นมาได้อีกเลย
สำหรับคนอื่นๆ บางทีนี่อาจเป็นเหมือนการให้คำชี้แนะ แต่สำหรับตี๋เฉิน มันเหมือนกับการยึดเอาชัยชนะตลอดช่วงอายุ 19 ปีของเขา ทำลายชื่อเสียงในฐานะอัจฉริยะ จนยากจะปีนป่ายกลับมายังจุดเดิมอีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม หากเขาคิดได้ และฉุดรั้งตนเองกลับมาลุกขึ้นใหม่ได้เมื่อไหร่ เมื่อนั้นเจ้าตัวย่อมโจนทะยานสู่ฟากฟ้า
แต่ช่างน่าเสียดาย ที่ในชีวิตก่อนของฉินเฟิง เขาไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับตัวตนทรงพลังที่มีชื่อเสียงของตระกูลตี๋เลย อาจเพราะบางที รุ่นเยาว์ที่เข้าร่วมงานประลองในปีนี้ สุดท้ายอาจตายกันหมดด้วยน้ำมือของซงหยวน
ด้วยเหตุนี้ สำหรับการต่อสู้กับตี๋เฉิน ฉินเฟิงจึงไม่รู้สึกถึงแรงกดดันเลย แน่นอน ว่าฉินเฟิงยั้งมือ ควบคุมพละกำลังยามใช้ออกอย่างเหมาะสม มิฉะนั้นต่อให้เขาโจมตีด้วยนิ้วเดียว ตี๋เฉินคงไม่มีทางรอดไปได้
การประลองจบลงอย่างรวดเร็ว หลังตี๋เฉินใช้ออกด้วยกำลังทั้งหมดที่มี เขาก็ลงไปนอนกอง เสียงอิเล็กทรอนิกส์นับถอยหลังจนครบ 10 วินาที และเกมรอบแรกก็จบลง
แม้ฉินเฟิงจะใช้ออกเพียงไม่กี่กระบวนท่า แต่กลับสามารถสยบกระบวนท่านับร้อยของตี๋เฉิน ทั้งยังทำให้ผู้ชมนับไม่ถ้วนรู้สึกมีอารมณ์ร่วม ต่างส่งเสียงโห่ร้อง แน่นอน ว่ามีบางคนที่ตะโกนโห่ไล่ตี๋เฉินว่าเป็นขยะเช่นกัน และคนเหล่านั้นทั้งหมดคือคนที่วางเงินเดิมพันฝั่งเขา!
ม่านพลังงานถูกกางออก ตี๋เล่ยเร่งรุดขึ้นไปบนสังเวียนทันที ตรวจสอบอาการเบื้องต้นของตี๋เฉิน
เขาพบว่าแม้ไม่ได้รับบาดเจ็บภายใน แต่ใบหน้าและตามตัวที่ถูกโจมตีของตี๋เฉิน ฟกช้ำและบวมคล้ำ รูปลักษณ์ราวกับถูกซ้อมนี้ นับเ็นความเสื่อมเสียแก่ตระกูลตี๋แล้ว
แม้ในหัวใจจะหวาดกลัวฉินเฟิง แต่ตี๋เล่ยก็ยังเอ่ยปาก “ผู้การรัฐ คุณทำแบบนี้มันมากเกินไป คุณเข้าร่วมงานประลองได้ยังไง มันไม่ยุติธรรมต่อคนอื่นๆเลย แบบนี้ถือว่าฟาวน์ ไม่นับคะแนน!”
“หืม?” ฉินเฟิงที่กำลังเดินจากไป หันไปมองหน้าตี๋เล่ย เอ่ยถามคำหนึ่ง “ผมอายุต่ำกว่า 20 ปีถูกไหม?”
“ … ก็ถูก”ตี๋เล่ยที่เพิ่งขึ้นมา ไม่ทันคาดคิดว่าฉินเฟิงจะสวนกลับมา
อายุยังไม่ถึง 20 ปี เพิ่ง 17 เท่านั้น แต่ในระยะเวลาเพียงหนึ่งปีหลังปลุกพลัง กลับสยายปีกทะยานสู่ฟากฟ้าได้สูงถึงเพียงนี้–
–ต้องเป็นสัตว์ประหลาดแบบไหนกัน!
“แล้วผมก็มีเลเวล E ขึ้นไป นี่ก็ตามกฏใช่ไหม?”
“เรื่องนั้น … ”
ตี๋เล่ยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมรับ
ฉินเฟิงกล่าว “ในเมื่อผมมีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขการประลองทุกอย่าง ฉะนั้นผมย่อมสามารถเข้าร่วมงานประลองได้ มีอะไรผิดหรือ?”
“เอ่อ .. ก็ใช่ คุณมีสิทธิ์ได้โควต้า แต่ไม่จำเป็นต้องประลองกับคนอื่นๆก็ได้” ตี๋เล่ยกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งดันมาเจอกับรุ่นเยาว์ของเขาในรอบแรก อันที่จริงแล้วตี๋เฉินยังพอมีหวังได้เดินทางไปยังเมืองหลวงมังกร เปิดวิสัยทัศน์ให้แก่ตนเอง แต่ดันถูกกำจัดตั้งแต่ในเกมแรกแบบนี้ มันเป็นการทำลายศักดิ์ศรีของตระกูลตี๋มากเกินไป!
“นี่มันไม่ยุติธรรมถือเป็นการฟาวน์ ไม่นับคะแนนงั้นหรือ? ผมเองก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งของสี่เมืองทะเลเหนือรึเปล่า แต่นี่คุณกำลังจะบอกให้การประลองในครั้งนี้ไม่นับ คิดใช้อำนาจเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวงั้นหรือ!” ฉินเฟิงตอกกลับคำพูดของตี๋เล่ยก่อนหน้านี้
ตี๋เล่ยกลายเป็นบื้อใบ้ แม้ปากจะอ้า แต่มิอาจเปล่งคำใดได้อีก
ฉินเฟิงก้าวลงจากสังเวียน ตี๋เล่ยทำได้เพียงพยุงตี๋เฉินลงมาอย่างช่วยไม่ได้
เมื่อเดินกลับมายังที่พักนักสู้ คนอื่นๆต่างฮือฮา เร่งถามเกี่ยวกับฉินเฟิงด้วยความตกใจ
“ท่านอาวุโส ฉินเฟิงคนนั้น เป็นใครกัน”
“ใช่ เขาถึงขั้นสามารถเอาชนะตี๋เฉินได้”
ฝูงชนต่างมองไปยังอาวุโสด้วยความคาดหวัง ตั้งอกตั้งใจฟังไม่เว้นกระทั่งตี๋เฉินที่เวลานี้ฟุ้งไปด้วยอารมณ์อันซับซ้อน หมดแรงอยู่ข้างๆ
ในหัวใจของตี๋เฉินย้อนนึกไปถึงคำพูดของตัวเองบนสังเวียน ที่เอ่ยปากว่าเขาไม่สนใจที่จะรู้ชื่อเสียงของผู้พ่ายแพ้
อาวุโสยิ้มบิดเบี้ยวและกล่าว “งานประลองอีกสองเกมจากนี้ ถ้าใครก็ตามถูกจับคู่ให้สู้กับฉินเฟิง ขอให้เอ่ยปากยอมแพ้โดยตรง”
“ทำไมกัน! เขาโค่นตี๋เฉินได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะโค่นคนอื่นๆได้นี่ อย่างพวกเราบางคนก็เป็นผู้ใช้อบิลิตี้เลเวล E น่าจะสามารถใช้โล่พลังสมาธิป้องกันเขาได้เหมือนกัน”
“ใช่”
อาวุโสส่ายหัว “โล่พลังสมาธิของพวกเธอ ป้องกันเขาไม่ได้หรอก รู้รึเปล่าว่าเขาคือใคร –คนๆนั้นคือผู้การรัฐคนใหม่ของพวกเรา!”
ตลอดทั้งที่นั่งนักสู้ พลันเงียบเป็นเป่าสาก รุ่นเยาว์ที่เข้าร่วม รู้สึกเกิดอาการหลอนในหู
“ผู้การรัฐงั้นหรอ? เงื่อนไขของมัน … ไม่ใช่ว่าต้องเป็นเลเวล C ?”
“แต่ ผู้การรัฐอายุ 17 ปี นี่ … แบบนี้มันเป็นไปไม่ได้หรอก!”
“ผายลมเถอะ ถ้าเขาเป็นผู้การรัฐจริงๆ ฉันจะยอมมุดไปอยู่ในท้องหมาเลย!”
พรวดดด! ตี๋เฉินที่กำลังรับฟังอยู่ข้างๆ อดไม่ได้ที่จะกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้รับบาดเจ็บภายใน แต่ที่กระอักเลือดออกมา คงเพราะถูกคำพูดของเพื่อนๆกรีดแทงหัวใจ
งานประลองยังคงดำเนินต่อไป ในวันแรกมีทั้งสิ้น 40 เกม ใช้เวลาวันเดียวก็จบลง
แน่นอน นี่เป็นเกมการประลองที่แสนจะตื่นเต้นสำหรับคนทั่วไป แต่สำหรับฉินเฟิง มันจืดสนิท น่าเบื่อสิ้นดี
ในวันถัดมาของงานประลอง ฉินเฟิงไม่ได้เข้าร่วมแต่อย่างใด ทว่าคนที่ถูกสุ่มเลือกให้สู้กับเขา ในความเป็นจริงต้องการได้รับคำชี้แนะจากฉินเฟิงอยู่บ้าง แต่น่าเสียดาย ที่ฉินเฟิงไม่มา ทว่าแม้มิได้เข้าร่วม แต่คู่ต่อสู้ฝ่ายตรงข้าม อย่างไรไม่กล้ายืนบนสังเวียน ตัดสินใจเอ่ยปากขอยอมแพ้ไป
เพราะต่อให้คุณชนะด้วยวิธีนี้ แต่นั่นจะไม่ทำให้ผู้ใช้พลังเลเวล C เกิดความขุ่นเคืองหรือ?
เรื่องแบบนั้น ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นหรอก!
หลังจากการคัดเลือกได้สิ้นสุดลง ในบรรดาสิบคนที่ถูกเลือก ไม่น่าแปลกใจเลยว่ามีชื่อของฉินเฟิง
โจวฮ่าวกับจิ่นเฟยในฐานะม้ามืด ก็สามารถเป็นตัวแทนของสี่เมืองทะเลเหนือได้เช่นกัน บวกกับฉินเฟิง เท่ากับเฟิงหลีมีตัวแทนสามคน
ในลำดับถัดมา ก็เป็นหนึ่งต่อหนึ่งเมือง จากสี่เมืองทะเลเหนือ และอีกสามคนจากตระกูลผู้ใช้วรยุทธโบราณ
ในหมู่ตระกูลผู้ใช้วรยุทธโบราณ ในเวลานี้ แต่ละคนใบหน้ามืดมน
“เจ้าฉินเฟิง มันต้องมีเจตนาแอบแฝงแน่นอน ในอดีตตระกูลผู้ใช้วรยุทธโบราณของพวกเรา เดิมได้รับโควต้ามาครอบครองถึง 8 ตำแหน่ง แต่ตอนนี้ กลับเหลือแค่ 3 !”
“แต่ถ้าลองมองในภาพใหญ่ เขาอาจกำลังรักษาสมดุลก็ได้นะ”
“ทำแบบนี้ เขาไม่กลัวท่านผู้นำของพวกเราหรือ?”
“บางที … อาจจะไม่กลัวจริงๆ”
เมื่อหารือกันถึงช่วงท้าย ทุกคนต่างพากันถอนหายใจ และส่งข้อมูลไปยังผู้นำที่แยกตัวออกไป
หลังจากที่รอมาหลายวัน ข่าวที่พวกเขาได้รับกลับมา ก็เล่นเอาเจ้าตัวทำอะไรไม่ถูก
ด้วยการปรากฏตัวของฉินเฟิง ท้องฟ้าในสี่เมืองทะเลเหนือ ได้แปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง