โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ – ตอนที่ 489 – ทดสอบพลัง

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

เรือเหาะลอยสู่จุดหมายอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดก็เริ่มเข้าสู่อาณาเขตเมืองเป่ยหัว

รอบเมืองเป่ยหัวรายล้อมไปด้วยแปดเมือง สามารถกล่าวได้ว่าแต่ละเมืองเคยเป็นสถานชุมชนขนาดเล็กมาก่อน แต่เมื่อเมืองเป่ยหัวแข็งแกร่งขึ้น ความกระเจริญก็ค่อยๆกระจายสู่พวกมัน จนสุดท้ายกลายเป็นเมือง ตั้งรกรากอยู่รอบเมืองเป่ยหัวในรูปแบบทรงแปดเหลี่ยม

และเมืองที่พวกเขาอยู่ ณ ตอนนี้ มีชื่อว่าเมืองหมิงกวง ฉินเฟิงสั่งการให้ลงจอดที่นี่

ท่ามกลางทุ่งล่า ฉินเฟิงลดระดับเรือเหาะลง มีใครบางคนมาเฝ้ารออยู่ก่อนแล้ว

“ยินดีต้อนรับ คุณคงจะเป็นมิสเตอร์ฉินเฟิง , ประธานฉินแห่งกลุ่มเฟิงหลี ช่างเป็นเด็กหนุ่มอนาคตไกล!”

“ยินดีที่ได้พบ มิสเตอร์มู่จิน”

ฉินเฟิงยื่นมือเชคแฮนด์อีกฝ่าย

มู่จินคือผู้ใช้พลังเลเวล B เขาไม่ได้จัดตั้งกลุ่มองค์กรเป็นของตัวเอง แต่ครอบครองกองทหารรับจ้างที่แข็งแกร่ง ถ้าให้อธิบายก็คล้ายๆกับฉินเฟิงในชีวิตก่อน เหล่าทหารรับจ้างต่างอุทิศชีวิตเพื่อรับใช้ตน เป็นกองทหารรับจ้างระดับสูง ซึ่งมีมู่จินเป็นกำลังรบสูงสุด

ในครั้งนี้ เห็นได้ชัดว่าใส่ใจต่อการเดินทาง และให้ความสำคัญต่อเหล่าลูกน้องทหารรับจ้างของตน ดังนั้นมู่จินจึงส่งคำสั่งซื้อเรือเหาะจากฉินเฟิง

ระหว่างเดินทาง ฉินเฟิงขายเรือเหาะไปแล้ว 3 ลำ และนี่คือการขนส่งสินค้าครั้งสุดท้าย

“มิสเตอร์มู่ ให้ฉันแนะนำคุณเกี่ยวกับอุปกรณ์ภายในของเรือเหาะ” โกวก๋วนกล่าว พลางผายมือ เชิญมู่จินสำรวจเรือเหาะ

มู่จินพยักหน้า รับข้อเสนอตามธรรมชาติ

แต่ในขณะที่พวกเขากำลังขึ้นไปบนเรือเหาะ ฉินเฟิงพลันสังเกตเห็นจุดไฟสีน้ำเงิน ตกลงบนหน้าผากของมู่จิน

สีหน้าของฉินเฟิงแปรเปลี่ยนทันใด

จุดไฟสีน้ำเงินที่เล็กยิ่งกว่าตาแมวนี้ มีลักษณะคล้ายคลึงกับตัวช่วยเล็งของปืนสไนเปอร์ อีกทั้งยังถูกปกปิดไว้เป็นอย่างดีโดยพลังสมาธิ หากมิใช่เพราะพลังสมาธิของฉินเฟิงแข็งแกร่ง คงไม่มีทางพบมัน

‘พวกมันมาเพื่อฆ่าฉัน หรือว่ามาเพื่อฆ่ามู่จินกันแน่?’ ความคิดนี้วาบผ่านเข้ามาในจิตใจของฉินเฟิง

อย่างไรก็ตาม แม้จะผ่านไปพักหนึ่งแล้ว แต่จุดแสงสีน้ำเงินยังคงนิ่งค้าง ไม่เคลื่อนไหว ฉินเฟิงเลยได้ข้อสรุป ว่าเป้าหมายของศัตรูคือมู่จิน

มือปืนเลเวล C แม้ยากจะพบเจอ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีเลย ในขณะที่มือปืนเลเวล B ความแข็งแกร่งของพวกเขา จะน่ากลัวมาก สอดคล้องกับจำนวนน้อยนิดที่มี

ดังที่กล่าวมา มือปืนที่กำลังเล็งอยู่ อย่างน้อยที่สุดย่อมสามารถตัดผ่านการฝึกฝนพลังสมาธิ นอกจากนี้ยังครอบครองอาวุธเทคโนโลยีเหนือชั้น

และอาวุธที่เขาใช้ ไม่น่าจะใช่สิ่งที่โรงงานสามารถผลิตได้

มันสามารถเป่าศีรษะของศัตรูที่อยู่ไกลได้ถึงระดับพันไมล์

ไม่มีเวลาทันได้บอกกล่าว ฉินเฟิงเร่งเร้าพลังสมาธิทันใด

ขณะเดียวกัน ลำแสงอันทรงอานุภาพอย่างหาที่ใดเปรียบ จากยอดเขาที่ห่างออกไปหลายพันเมตร จี้ลงมาเป็นเส้นตรง ยิงมายังตำแหน่งที่พวกเขายืนอยู่

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากฉินเฟิงยืนอยู่ตรงข้ามกับมู่จิน ปราณกำลังภายในที่ปลดปล่อยออกมาจึงขยายออกไปไกลกว่าหนึ่งเมตร กลายเป็นโล่ปิดกั้นลำแสงนั้นไว้ได้อย่างทันท่วงที

รูม่านตาของมู่จินหดวูบลงทันใด มองเห็นลำแสงกระทบกับปราณกำลังภายในของฉินเฟิงได้อย่างถนัดตา

บรึ้ม!

ปราณกำลังภายนอกปะทะกับแรงระเบิดอย่างกะทันหัน มันส่งเสียงลั่นเปรี๊ยะๆ ปริร้าวราวกับใยแมงมุม บ่งบอกชัดว่าเป็นการโจมตีที่ทรงพลัง

“รีบหลบเร็วเข้า!” มู่จินตระหนักได้ทันทีว่าสถานการณ์ไม่ถูกต้อง สั่งการให้ทุกคนหลบไป

ศัตรูที่อยู่ห่างออกไป เมื่อพบว่าสังหารเป้าหมายไม่สำเร็จ ก็ไม่ตื่นตระหนกหรือคิดรั้งรอ สาดกระสุนปืนใหญ่สามลูกตามมาทันที

กระสุนปืนใหญ่เหล่านี้เคลือบสีดำสนิท ดูเหมือนว่าจะทาทับไว้ด้วยรูนมืด ส่งผลให้มันแทบไม่ต่างจากเงา ยากนักที่จะล็อคเป้าได้อย่างถูกต้อง หลบซ่อนสายตาเป็นอย่างดี

แต่สำหรับฉินเฟิง วิธีการนี้ไม่อาจเล็ดลอดสายตาเขาไปได้

ฉินเฟิงยกมือขึ้น ปืนใหญ่มือปรากฏขึ้นครอบแขนของเขา เล็งไปบนท้องฟ้า

ตูม! ตูม! ตูม!

สามกระสุนปืนใหญ่ถูกยิงออก สอยสามกระสุนรูนมืดที่โถมเข้ามา ทว่ายามระเบิดออก เมฆควันทะมึนกลับลอยฟุ้งลงมา

“อย่ายิง นั่นเป็นกับดัก!” มู่จินร้องอุทานทันที แต่เห็นได้ชัดว่าสายเกินไป

“มิสเตอร์มู่ ดูเหมือนว่าคุณกำลังมีปัญหานะ” ฉินเฟิงกล่าวน้ำเสียงทุ้มลึก

“ใช่ ฉะนั้นตอนนี้พวกคุณรีบหนีไปกันก่อนเถอะ พวกศัตรูมาจากพันธมิตรองค์กรมืด พวกมันเคยผิดใจกับฉันในทุ่งล่า เลยพยายามลอบฆ่าฉัน แต่ไม่คิดเลย ว่าแม้จะใกล้ตัวเมืองแต่ก็ยังกล้าลงมือ พวกมันบ้าบิ่นเกินไปแล้ว” มู่จินอธิบาย เขาเป็นถึงผู้ใช้พลังเลเวล B ที่ทรงพลัง แต่กลับถูกลอบโจมตีจนสร้างความลำบากให้แก่ผู้อื่น รู้สึกเสียหน้านัก

อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าผู้ใช้พลังที่กำลังปิดล้อม ก็สามารถต่อสู้กับมู่จินได้เช่นกัน ความแข็งแกร่งของพวกมันไม่อ่อนแอเลย จะต้องมีเลเวล B รวมอยู่ด้วยอย่างแน่นอน

“ผมคงไม่หนีหรอก เมื่อลูกค้ามีปัญหา ผมก็จะช่วยแก้!” ฉินเฟิงกล่าว

มู่จินยิ้มเล็กน้อย กล่าวอย่างไร้หนทาง “กำลังรบของคนกลุ่มนี้ใช่อ่อนแอ คุณไม่สามารถจัดการพวกเขาได้ รีบหนีไปเถอะ”

ขณะเดียวกัน เมฆหมอกสีดำได้กวาดกระจายไปทั่ว มู่จินคล้ายเกิดความตื่นกลัว ค่อยๆพาผู้คนฝั่งตนขยับถอยหนี

ตรงกันข้ามกับฉินเฟิง เขาก้าวไปข้างหน้าแทน

“รีบกลับมาเร็วเข้า นั่นคือพลังงานจากรูนมืด มันจะทำร้ายคุณ ร่างกายจะอ่อนแอลง จนไม่มีกำลังต่อสู้”

ฉินเฟิงราวกับคนหูหนวก ทั้งคนทั้งร่างของเขาราวกระแสน้ำวน

กระแสน้ำวนดูดซับรูนดำที่ลอยล่องอย่างสมบูรณ์ ทั้งหมดจมเข้ามาในหน้าผากของฉินเฟิง

ในโลกใบนี้ สิ่งที่ฉินเฟิงกลัวน้อยที่สุด ย่อมเป็นรูนมืด!

เมื่อรูนมืดจางหาย เมฆหมอกเริ่มกระจัดกระจาย กลุ่มคนที่หลบอยู่เบื้องหลังมันเผยโฉมทันที

ปรากฏว่าเป็นผู้ใช้พลังเลเวล B กว่าสามคนที่กำลังก้าวเข้ามา

พวกเขาตกใจมาก ไม่คิดว่าฉินเฟิงจะกำจัดหมอกมืดได้อย่างกะทันหัน ต้องทราบนะว่าสิ่งที่สามารถทำให้มู่จินยอมถอยได้ ย่อมเป็นสิ่งที่มีคุณภาพสูง หากเป็นของชั้นต่ำ ไม่มีทางให้ผลลัพธ์เช่นนี้

ในเวลาเดียวกัน สีหน้าของมู่จินเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดยยิ่ง

“กู่ฉาง , ฉีหยาน , กวนซวงตง เป็นพวกแกจริงๆ!”

ทั้งสามคนล้วนเป็นตัวตนทรงพลังขององค์กรมืด ในเครือข่ายนักล่าเงินรางวัล ต่างก็มีประกาศจับของพวกเขา แต่ละคนมีค่าหัวนับหลายแสนล้าน

อย่างไรก็ตาม หากคุณไม่แข็งแกร่งพอ ย่อมไม่สามารถได้รับหมายจับของพวกเขาได้

ดังนั้นอุปกรณ์สื่อสารของฉินเฟิงจึงไม่ส่งเสียงแจ้งเตือน

หน้าผากของฉินเฟิงเริ่มยับย่น เอ่ยปากกล่าว “มือปืนยังไม่ยอมปรากฏตัว! ไป๋หลี ช่วยไปดูศัตรูอีกคนหนึ่งที”

“รับทราบ อยากจะให้จับกลับมาด้วยไหม?”

“อืม จับมันไว้ อาวุธของเขาไม่เลวเลย” ฉินเฟิงกล่าว

ทั้งสองสนทนาโดยไม่คิดปิดบังใดๆ มู่จินรู้สึกว่าตนกำลังได้ยินเรื่องเหลือเชื่อ ศัตรูที่อยู่ตรงข้ามอย่างกู่ฉางและฉีหยานเอง สีหน้ายังเปลี่ยนเป็นไม่น่าดู

“ไอ้เด็กนี่มาจากไหนกัน? ทำเป็นพูดจาใหญ่โต ไม่เคยได้ยินรึไง ว่าคนพูดมาก มักถูกกระแสลมตัดลิ้นโดยไม่รู้ตัว!”

“อ้อ? ก็แค่เลเวล C ที่ได้รับตำแหน่งผู้การรัฐ เลยทำตัวหยิ่งผยอง?”

เห็นได้ชัดว่าฉินเฟิงไม่ได้อยู่ในสายตาของทั้งสาม และทั้งหมดต่างคิดว่าฉินเฟิงยะโสเกินไป

ณ เวลานี้ มู่จินก็รู้สึกไม่ต่างกัน

‘เป็นไปได้ไหมว่าฉินเฟิงคนนี้จะยังมีอาวุธลับเก็บงำไว้? เพราะกลุ่มของเขาผลิตอุตสาหกรรมปืน อาจจะมีบางอย่างจริงๆก็ได้ ถ้างั้น .. ฉันจะต้องเบี่ยงเบนความสนใจจากอีกฝ่าย แล้วให้มิสเตอร์ฉินใช้อาวุธบนเรือเหาะ โจมตีทีเผลอ’

มู่จินขบคิด และวางแผนในหัวใจ

แต่ในเวลานั้นเอง เขากลับเห็นฉินเฟิงค่อยๆยกมือขึ้นอย่างช้าๆ รูนมืดมหาศาลกำลังถูกเร่งเร้า รวบรวมออกมา

“มาได้จังหวะพอดี ขอให้ฉันได้ทดสอบอบิลิตี้ใหม่ที่เพิ่งได้เรียนรู้หน่อยเถอะ ว่ามันจะทรงพลังแค่ไหน!”

มู่จินตกตะลึง แผนการที่วางไว้พังทลายสิ้น ในหัวใจอดสบถด่าไม่ได้

‘โง่เง่า! ฉินเฟิงคนนี้สมองเน่าไปแล้วหรือไร? ศัตรูเป็นเลเวล B นะ’

แน่นอน ฉินเฟิงไม่ทราบความคิดของมู่จิน และต่อให้เขาได้ยิน ก็ไม่คิดใส่ใจ

เพราะท้ายที่สุดแล้ว กำลังภายในในปัจจุบัน และความจุในตันเถียนของฉินเฟิง มันก้าวล้ำไปอยู่ในระดับที่น่าหวาดกลัว ต่อให้ศัตรูเป็นเลเวล B ก็ไม่นับเป็นสิ่งใด

ฉินเฟิงรู้สึกมั่นใจว่าอย่างไรย่อมชนะ!

“ดอกไม้แห่งการทำลายล้าง!”

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Status: Ongoing
ยุคมืดได้มาเยือน รอยแยกมิติปรากฏขึ้นบนผืนโลก เหล่าสัตว์ร้ายเข้ามารุกราน สัตว์ป่าเองก็เริ่มกลายพันธุ์ ส่งผลให้ทุกสิ่งพลิกตลบ มนุษย์ที่เคยยืนอยู่บนจุดสูงสุดตลอดมา กลับกลายเป็นสิ่งมีชีวิตต่ำสุดในห่วงโซ่อาหาร …ร้อยปีต่อจากนั้น จึงได้ถือกำเนิดสามอาชีพหลักที่ใช้ต่อกรกับพวกที่กล่าวมาข้างต้นขึ้น อันได้แก่ ผู้ใช้อบิลิตี้ , ผู้ใช้วรยุทธ และมือปืนขึ้น‘ฉินเฟิง’ เด็กกำพร้าที่เกิดในช่วงยุคมืด ได้ถูกลักพาตัวไปในวันที่เขาสามารถปลุกอบิลิตี้ของตนเองให้ตื่นขึ้น ถูกจับไปทรมานทดลอง แต่สุดท้ายก็รอดหนีรอดมาได้ และใช้ชีวิตยาวนานกว่า 10 ปี และหลังจากนั้นเอง ในช่วงโลกาวินาศของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เขาก็ได้กลับไปเกิดใหม่อีกครั้ง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท