โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ – ตอนที่ 496 – ที่แท้เป็นเขา

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.496 – ที่แท้เป็นเขา

เพราะสุดท้าย ในการออกล่าสัตว์ร้ายระดับสูง คุณจำเป็นต้องสร้างกองกำลังทหารรับจ้าง หรือไม่ก็ต้องร่วมมือกับคนอื่นๆ และเงินรางวัล ต้องแบ่งปันอย่างเหมาะสม

กล่าวได้ว่าตัวตนทรงพลังก็มีเรื่องที่ตนเองต้องคอยกังวล ไม่ใช่ทุกคนที่จะกล้าหาญพอๆกับเกาหยูคัง

ฝูงชนเริ่มมองสำรวจไป๋หลี เมื่อพบว่าอีกฝ่ายติดตราเลเวล D ผู้คนในที่นี้ ก็พอคาดเดาออก ว่าเธอมาเพื่อทดสอบการรับรองตราผู้ใช้พลัง

ผู้ใช้พลังหน้าใหม่ได้มาเยือน แต่ผู้ใช้พลังคนนี้ ดูเด็กจนน่าประหลาดใจ คล้ายยังเยาว์วัย ไม่บรรลุนิติภาวะด้วยซ้ำ

ไม่ต้องกล่าวถึงใบหน้าอันงดงาม ไป๋หลีกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของผู้คนจำนวนมากทันที

แต่ในเวลานั้นเอง เสียงร้องอุทานจากอีกทาง ก็ดังแทรกเข้ามาในรูหูของฝูงชน

“นี่ … ตะเกียงสำริดของคุณ ไม่ได้เสียใช่ไหม!” ผู้ตรวจสอบร้องเสียงหลง

คราวนี้ ฝูงชนถูกเบนความสนใจ หันไปมองผู้ตรวจสอบ และคนที่ยืนอยู่ตรงกันข้ามเขา

–เป็นฉินเฟิง

“ตะเกียงนี่ผมเช่ามาจากพวกคุณ มันเสียหรือไม่ พวกคุณเองน่าจะรู้ดี”

“ตะ .. แต่บันทึกของคุณมัน ..! ”

“ทำไม บันทึกมีอะไรผิดพลาด?” หยางเป่ยหันมองเจ้าหน้าที่และฉินเฟิง พลางเอ่ยถาม กระทั่งเขาก็ยังอดให้ความสนใจไม่ได้ เพราะอย่างไรเสีย บุคคลคนนี้ ก่อนเข้าหุบเหว เหมือนจะมีปัญหากับชุ่ยหยาง

“หัวหน้า คุณดู”

เจ้าหน้าที่มอบตะเกียงสำริดแก่หยางเป่ย หลังจากหยางเป่ยตรวจสอบมัน รูม่านตาเขาหดวูบทันใด แทบไม่อยากเชื่อสายตาของตัวเอง

เพราะบนตะเกียงสำริด กำลังแสดงตัวเลขสีขาวมากถึง 5219 อย่างกะทันหัน!

ยังไม่พอ ต่อท้ายมัน ยังมีเลขสีเขียวกว่า 68 หมายเลข และสีม่วงอีก 12 หมายเลข!

ซึ่งตัวเลขสีเขียวและม่วง คือตัวแทนปริมาณของสัตว์ร้ายระดับทหารและนายพลที่ถูกสังหารลง

และทั้งหมดนี้ มันดันปรากฏขึ้นในตะเกียงสำริด

ในขณะที่ฉินเฟิงเข้าสู่หุบเหวตอนเหนือเป็นเวลาแค่ 5 – 6 ชั่วโมงเท่านั้น แล้วแบบนี้ หากเขาเข้าไปข้างในสัก 1 เดือนเล่า? จำนวนสังหารมันจะน่าหวาดกลัวขนาดไหน

ยิ่งไปกว่านั้น หุบเหวตอนเหนือยังไม่อนุญาตให้ใช้อาวุธปืนที่ทรงพลังในการโจมตี แล้วนี่ฉินเฟิงสามารถทำแบบนี้ได้อย่างไร?

หยางเป่ยตรวจสอบตะเกียงสำริดอย่างระมัดระวัง แต่ก็ไม่พบความผิดปกติ หรือชำรุดเสียหายใดๆเลย

“มิสเตอร์ฉิน” น้ำเสียงของหยางเป่ย ฟังดูสุภาพ นอบน้อมลงโดยไม่รู้ตัว หากตัวเลขนี้ไม่ถูกตบแต่ง และเป็นของจริง .. หยางเป่ยไม่กล้าจินตนาการไปมากกว่านี้

“ตะเกียงสำริดใบนี้ไม่มีปัญหาอะไร แต่ตัวเลขภายในมันเยอะเกินไป แต้มสงครามที่ได้ก็น่าจะมหาศาลเช่นกัน ฉันคิดว่าตัวบันทึกอาจมีข้อผิดพลาด ดังนั้นขอตรวจซ้ำอีกรอบจะได้รึเปล่า?”

ฉินเฟิงมองหยางเป่ย “คุณจะใช้วิธีไหนในการตรวจซ้ำ?”

หยางเป่ยพอได้ยินว่าฉินเฟิงไม่ขัดข้อง ก็กล่าวตามตรง “คุณสมควรเก็บวัตถุดิบทั้งหมดที่ได้มาจากสัตว์ร้ายใช่ไหม? ขอให้ฉันดูมันหน่อย”

“ไม่มีปัญหา”

ฉินเฟิงไม่ปฏิเสธ เขาหันไปพยักหน้าให้ไป๋หลี

ไป๋หลีแยกตัวออกจากฝูงชน มาหยุดหน้าพื้นที่โล่ง วาดมือไปในอากาศ ช่องว่างมิติปรากฏขึ้น จากนั้น วัตถุดิบจำนวนมหาศาลก็ร่วงตกลงมา

มันคือวัตถุดิบสัตว์ร้ายเลเวล C ระดับสามัญ จากที่โดนแยกส่วนแล้ว อาจมีถึงล้านชิ้นหรือมากกว่านั้น อันที่จริง หากนับวัตถุดิบทั้งกองรวมๆกัน มันจะมีมากถึง 5 ล้านชิ้น ถือเป็นปริมาณมหาศาล

ทว่าวัตถุดิบมากมายขนาดนี้ หากคิดรวบรวม จำเป็นต้องล่าสังหารสัตว์ร้ายจำนวนมากถึงจะได้รับมัน

ช่วงเวลานี้ เลเวล B และ C ในที่เกิดเหตุ ทุกคนต่างอ้าปากค้าง

ขณะที่หยางเป่ย ต่อให้เขาไม่ปลดปล่อยพลังสมาธิเข้าตรวจสอบ ก็ตระหนักได้ทันที ว่าฉินเฟิงไม่ได้โกงบันทึก

“แบบนี้ใช้ได้ไหม?” ฉินเฟิงถาม

หยางเป่ยปาดเหงื่อบนหน้าผาก ตอบรับทันที “ใช้ได้ ใช้ได้อยู่แล้ว!”

แม้เขาจะเป็นผู้ใช้พลังเลเวล B แต่หากต้องล่าสัตว์ร้ายเพื่อให้ได้วัตถุดิบเท่าตรงหน้าในวันเดียว คงไม่มีทางเป็นไปได้ ในเวลานี้สายตาที่เขามองฉินเฟิง แฝงไปด้วยความยำเกรง

‘คนๆนี้ ถึงตอนนี้จะเป็นแค่เลเวล C แต่ไม่ใช่คนที่สมควรจะยั่วยุแน่นอน’

“งั้นรบกวนรวมแต้มสงครามให้ผมด้วย”

“รับทราบ จะทำให้ทันที!”

ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด! อุปกรณ์สื่อสารของฉินเฟิงสั่นไหว แต้มสงครามถูกโอนเข้ามา เขาเปิดหน้าต่างแลกเปลี่ยนในเครือข่ายนักสู้ ที่มีเฉพาะในเมืองเป่ยหัว

ผลปรากฏว่าฉินเฟิงได้รับแต้มสงครามมามากถึง 6,000 แต้มในครั้งนี้ ซึ่งโดยปกติแล้ว หากเป็นเลเวล C ธรรมดา จะต้องใช้ระยะเวลาสะสมมันมากถึงสามเดือน! แต่เขาสามารถทำได้ในวันเดียว รับทรัพย์มหาศาล!

“โอ้ ดูเหมือนว่าในรายการแลกเปลี่ยน จะมีชุดเกราะหวังหมิงอยู่ด้วย” ดวงตาของฉินเฟิงเปล่งประกายสดใส

ชุดเกราะในหวังหมิง เป็นหนึ่งในสมบัติเทวะที่มีชื่อเสียง

เจ้าสิ่งนี้ไม่ทราบเหมือนกันว่ามีที่มาจากมิติใด แต่พลังป้องกันของมันแข็งแกร่งมาก หากคำนวณตามคุณภาพ อย่างน้อยสมควรอยู่ในเลเวล A

แน่นอน แต้มที่ต้องใช้แลกมัน เป็นจำนวนที่น่าหวาดกลัวตามคุณภาพ

ต้องใช้แต้มสงครามถึง 50,000 แต้ม!

“เหอๆ ก็ไม่มากเท่าไหร่นี่”

แต่ในความคิดของฉินเฟิง เขารู้สึกว่าเจ้าสิ่งนี้ ตนสามารถแลกได้

หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ฉินเฟิงก็ไม่คิดรั้งอยู่ เขาเรียกเมฆครามออกมา พาไป๋หลีกลับไปยังโรงแรมในเมืองเป่ยหัว

หลังอาบน้ำจนสะอาดสะอ้าน ฉินเฟิงก็เริ่มตรวจสอบตัวแทนอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่มาจากสี่เมืองทะเลเหนือ และพบว่าพวกรุ่นเยาว์จากตระกูลวรยุทธโบราณไม่ได้อยู่ในห้อง โจวฮ่าวกับจิ่นเฟยก็ไม่อยู่เช่นกัน แต่พวกเขาน่าจะไปฝึกฝนอยู่ในสุสานเทพสงคราม

มีอัจฉริยะเพียงสองคนเท่านั้น ที่ฝึกฝนอยู่ในห้องของตัวเอง

ฉินเฟิงจดจำทั้งสองคนไว้ในใจ ตัดสินใจว่าจะสังเกตดูอีกสักพัก หากพวกเขาไม่เลว ก็จะรับมาเป็นคนของตัวเอง และช่วยฝึกฝนสักเล็กน้อย

เพราะกลุ่มองค์กร มิอาจอยู่ได้หากมีผู้แข็งแกร่งเพียงคนเดียว นับจากนี้ไปมันต้องข้ามผ่านช่วงเวลาอันโหดร้าย ในขณะที่ชะตาของฉินเฟิงถูกกำหนดเอาไว้แล้ว ว่าแม้เขาจะเป็นผู้ก่อตั้งกลุ่ม แต่มิอาจเป็นผู้นำได้ตลอดไป

ฉินเฟิงน่ะเป็นหมาป่า –หมาป่าเดียวดาย! ดังนั้นกลุ่มองค์กรนี้ จำเป็นต้องมีคนอื่นมาดูแล นั่งตำแหน่งประธานแทนเขา

อีกด้านหนึ่ง ในเมืองเป่ยหัว ซางฮันกลับมาจากต่างมิติ เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังงานอันแผ่วจางของโลกมนุษย์ จิตใจของเธอก็อดห่อเหี่ยวไม่ได้

ในความเป็นจริง มนุษย์ได้มีการเริ่มสำรวจมิติอื่นๆแล้ว และพวกเขายังค้นพบว่าอีกฟากหนึ่งของรอยแยกมิติ มันเหมาะแก่การอยู่อาศัยและฝึกฝนเป็นอย่างมาก แต่มนุษย์ในที่แห่งนั้น เป็นเพียงตัวตนเล็กจ้อยและอ่อนแอ

ยังไงก็ตาม สำหรับตัวตนทรงพลัง ที่นั่นเหมาะใช้ชีวิตกว่าบนโลกมนุษย์เป็นไหนๆ

แต่โลกใบนั้นมันไม่ใช่ของมนุษย์ ดังนั้นต่อให้ใช้ฝึกยุทธได้ดีเพียงใด แต่ถ้าไม่มีบ้าน ใครจะไปอยากอยู่?

เนื่องด้วยความสัมพันธ์อันแสนสลับซับซ้อน ทำให้เหล่าตัวตนทรงพลัง ทุกคนต่างต้องคอยปกป้องโลกมนุษย์แห่งนี้

แต่ในบางครั้ง ก็มีบ้างที่รู้สึกเหนื่อยหน่าย

ซางฮันนวดหน้าผาก สักพักอุปกรณ์สื่อสารของเธอก็ดังขึ้น

“หยวนห่าว วันนี้มีเรื่องอะไรสำคัญเกิดขึ้นรึเปล่า?”

ชายหนุ่มคนหนึ่งปรากฏกายขึ้นบนอุปกรณ์สื่อสาร ความแข็งแกร่งของเขาอยู่ในเลเวล C เท่านั้น ซึ่งสำหรับเมืองเป่ยหัว มีเฉพาะเลเวล B ถึงจะเป็นผู้โดดเด่น แต่คนๆนี้เป็นข้อยกเว้น เขามีอิทธิพลพอสมควร เนื่องจากเขาเป็นหัวหน้าเลขานุการของซางฮัน

“จ้าวพรมแดน พวกสัตว์ร้ายไม่มีความเคลื่อนไหวผิดปกติในวันนี้ และยังไม่มีรายงานผู้ใช้พลังที่เสียชีวิตเช่นกัน”

ซางฮันพยักหน้า แค่นี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว

“แต่ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง” หยวนห่าวกล่าว

“เรื่องอะไร?”

“มีเลเวล C คนหนึ่งเข้าไปยังหุบเหวตอนเหนือเมื่อช่วงเที่ยงวันนี้ เขาได้สังหารสัตว์ร้ายเลเวล C ระดับสามัญไปมากถึง 5,000 ตัว และยังมีระดับทหารและนายพลอีกจำนวนหนึ่ง ที่สำคัญก็คือ เขาใช้เวลาเพียง 5 ชั่วโมง 40 นาทีเท่านั้น”

“อะไรนะ! แน่ใจหรอว่าเป็นเลเวล C แค่คนเดียว?” ซางฮันตกใจกับข่าวนี้

“ใช่ ยิ่งไปกว่านั้น คนๆนี้ ท่านจ้าวพรมแดน คุณเองก็รู้จักเขา”

“โอ้? เป็นใครกัน”

“ตามข้อมูล บอกมาว่าเขาชื่อฉินเฟิง เป็นผู้การรัฐของสี่เมืองทะเลเหนือ”

“ที่แท้เป็นเขา!?”

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Status: Ongoing
ยุคมืดได้มาเยือน รอยแยกมิติปรากฏขึ้นบนผืนโลก เหล่าสัตว์ร้ายเข้ามารุกราน สัตว์ป่าเองก็เริ่มกลายพันธุ์ ส่งผลให้ทุกสิ่งพลิกตลบ มนุษย์ที่เคยยืนอยู่บนจุดสูงสุดตลอดมา กลับกลายเป็นสิ่งมีชีวิตต่ำสุดในห่วงโซ่อาหาร …ร้อยปีต่อจากนั้น จึงได้ถือกำเนิดสามอาชีพหลักที่ใช้ต่อกรกับพวกที่กล่าวมาข้างต้นขึ้น อันได้แก่ ผู้ใช้อบิลิตี้ , ผู้ใช้วรยุทธ และมือปืนขึ้น‘ฉินเฟิง’ เด็กกำพร้าที่เกิดในช่วงยุคมืด ได้ถูกลักพาตัวไปในวันที่เขาสามารถปลุกอบิลิตี้ของตนเองให้ตื่นขึ้น ถูกจับไปทรมานทดลอง แต่สุดท้ายก็รอดหนีรอดมาได้ และใช้ชีวิตยาวนานกว่า 10 ปี และหลังจากนั้นเอง ในช่วงโลกาวินาศของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เขาก็ได้กลับไปเกิดใหม่อีกครั้ง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท