โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ – ตอนที่ 535 – พ่ายแพ้ในพริบตา

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Ep.535 – พ่ายแพ้ในพริบตา

กำลังภายในอันทรงพลัง เข้าถึงตัวอ้ายโตว

เพล้ง!

เสียงกังวานกระจ่างใสดังขึ้น ปราณกำลังภายในของอ้ายโตว พังทลายลงทันที

จากนั้น กำลังภายในร่างเงากำปั้นก็สัมผัสลงบนตัวอ้ายโตวโดยตรงและ–

–ปงงงง!

ส่งอ้ายโตวลอยกลับหัวกลับหางทันที

ด้วยกำลังภายในมหาศาล อ้ายโตวปลิวไปไกลกว่า 50 เมตร ก่อนกระแทกเข้ากับขอบสนามดังโครม!

เนื่องจากโรงฝึกไม่ได้เปิดโล่พลังงาน ดังนั้นกำลังภายในจึงส่งตัวอ้ายโตว ลอยไปชนกับเสาสนามอย่างแรง

กราว กราว …

สุดท้ายมิอาจยื้อ กระทั่งเสายังพังทลายลง อ้ายโตวร่วงตกไปหลังเสา สุดท้ายจึงหยุดลง

แม้จะถูกเขี่ยลงจากเวทีประลอง แต่เขาก็สามารถปีนกลับขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว อ้ายโตวลองแตะๆตามร่างกายตน แต่พบว่าไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร

อย่างไรก็ตาม นี่หมายความว่าการโจมตีของฉินเฟิงไม่ได้รุนแรงอะไรใช่ไหม?

ไม่ ตรงกันข้ามเลยต่างหาก การโจมตีของฉินเฟิงรุนแรงเกินไป ทว่าเขาสามารถสั่งการมันได้ดั่งแขนขา ปลดปล่อยออกมาให้เพียงพอแก่การทำลายปราณกำลังภายในเท่านั้น

หลังจากทำลายปราณกำลังภายในของอ้ายโตว ร่างเงาหมัดกำลังภายในของฉินเฟิงก็ระเบิดออก ผลพวงจากแรงระเบิดส่งตัวอ้ายโตวปลิวกระเด็นออกจากเวทีประลองไป

และทุกสิ่งที่กล่าวมา เกิดขึ้นในระยะเวลาแค่เพียง 3 วินาทีเท่านั้น

มุมปากที่กำลังสาแก่ใจของเก๋อหลางยังไม่ทันจางหาย ฝั่งซางฮันดวงตายังมิคลายจากแววเยาะหยัน รู้สึกตัวอีกที ก็พบว่าอ้ายโตวปลิวตกเวทีไปแล้ว!

“นายแพ้” ฉินเฟิงกล่าว

อ้ายโตวพยายามอ้าปากอย่างยากลำบาก ในหัวใจฟุ้งไปด้วยความประหลาดใจ จ้องมองฉินเฟิงอย่างไม่อยากจะเชื่อ จริงอยู่ว่าเขาแพ้แน่นอน แต่แพ้ได้อย่างไร ตนเองไม่เข้าใจ!

เพราะเขาเป็นถึงผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล D3 แต่อีกฝ่ายมีความแข็งแกร่งเท่าไหร่กัน? เลเวล D4 หรือ D5? ถึงสามารถทำแบบนี้ได้!

“ฮ่าๆ สหายเก๋อ อย่าลืมทำตามสัญญาล่ะ คุณต้องกระโดดท่ากบวนรอบเมืองหลวงมังกร แล้วอย่าลืมถ่ายวิดีโอมาให้ฉันดูด้วย!” ซางฮันหัวเราะ

“นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น?” เก๋อหลางไม่อาจยอมรับฉากเบื้องหน้าได้

“ท่านนายพล อ้ายโตวแพ้แล้ว!”

“แพ้แล้วอย่างงั้นหรอ? อย่ามาล้อกันเล่น นี่มันใช้เวลาสักเท่าไหร่เชียว วินาทีเดียวถึงไหม? ฉันยังไม่ทันได้หันหัวไปมองด้วยซ้ำ แต่แพ้แล้ว? นี่น่ะเหรออัจฉริยะ? นี่น่ะเหรอลูกรักของพระเจ้า ก็แค่พวกขยะ!”

จากในตอนแรกคิดประจบเก๋อหลาง เวลานี้ทั้งหมดตัวหดลีบ ไม่กล้าเอ่ยอะไรอีก เพราะเก๋อหลางโกรธจริงๆแล้ว

“นายพลเก๋อ หรือคิดจะไม่ยอมรับคำเดิมพัน แบบนั้นคงเสียศักดิ์ศรีแย่!” ซางฮันเอ่ยหยันประโยคหนึ่ง

สีหน้าของเก๋อหลางแปรเปลี่ยนกลับกลาย ตวาดดุร้าย “ใครไม่ยอมรับคำเดิมพัน! กระโดดก็กระโดดสิวะ เธอคิดหรอว่าฉันไม่กล้า?”

จากนั้น สองขาของเก๋อหลางกางออกเล็กน้อง ย่อตัวลง และเคลื่อนตัวไปข้างหน้าทันที แต่ก็ยังพอเห็นได้ในก้าวแรกว่าเป็นการกระโดด ทว่าด้วยความเร็วของผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล A หลังจากก้าวแรก ใครอีกเล่าจะมองทัน?

อย่างน้อยฉากนี้ ก็มีซางฮันกับหนานกงชิสองคนที่เห็นชัดๆ ส่วนฉินเฟิงกับไป๋หลี เห็นแค่เงาร่างๆของเก๋อหลางเท่านั้น

ซางฮันคิดว่าเก๋อหลางมันปากเสียมานานแล้ว แต่ไม่นึกเลย ว่าในวันนี้ ในที่สุดก็มีวันที่ได้ตอบโต้หมาในปากเขาเสียที

“ฉินเฟิง วันนี้ฉันติดหนี้คุณแล้ว ขอบคุณมาก” ซางฮันกล่าว

สีหน้าของฉินเฟิงเรียบเฉย กล่าวอย่างไม่แยแส “ก็แค่เรื่องเล็กน้อย ถ้าเทียบกับการสร้างความประทับใจแก่ผู้ใช้พลังเลเวล A แล้ว ถือว่าคุ้มค่ามาก”

แม้ปากจะกล่าวแบบนั้น แต่ท่าทีของฉินเฟิง ดูไม่เหมือนที่พูดแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตาม ทัศนคติของซางฮันที่มีต่อฉินเฟิงในเวลานี้ บังเกิดความเชื่อมั่นขึ้นหลายส่วน เพราะท้ายที่สุดแล้ว ฉินเฟิงได้ช่วยตนเองเอาไว้ ก้าวออกมารับหน้าอย่างกล้าหาญ ซางฮันซึ้งน้ำใจในครั้งนี้มาก

หลังจบเรื่องราว ซางฮันยังไม่ไปจากโรงฝึกแห่งนี้ทันที แต่เธอยึดโรงฝึกที่เก๋อหลางจองเอาไว้ ขอยืมเวทีประลอง และเริ่มให้คำแนะนำแก่รุ่นเยาว์คนอื่นๆรวมไปถึงฉินเฟิง

“งานประลองลูกรักของพระเจ้ารอบชิงชนะเลิศ มันไม่ใช่การต่อสู้กันระหว่างมนุษย์ แต่เป็นการต่อสู้กับสัตว์ร้าย” ซางฮันอธิบาย

หลายคนรู้เรื่องนี้อยู่ก่อนแล้ว เพราะงานประลองนี้ พวกเขาได้รับชมทุกปี อย่าลืมสิว่ามันคืองานประลองลูกรักของพระเจ้า ที่เหล่าอัจฉริยะต่างใฝ่ฝันว่าจะคว้าชัยชนะ!

“การจะสังหารสัตว์ร้ายที่ว่าได้ พวกเธอต้องเข้าไปยังหอคอยประตูมังกร อันที่จริงแล้วหอคอยประตูมังกรถือเป็นเขตแดนลับใจกลางเมืองหลวงมังกร นอกจากลูกรักของพระเจ้าแล้ว คนอื่นๆก็สามารถเข้าไปได้เช่นกัน ตราบใดที่จ่ายค่าธรรมเนียมที่เหมาะสม ทว่าสำหรับลูกรักของพระเจ้า พวกเขาสามารถขึ้นไปได้ฟรีๆ นี่เหมือนกับงานเลี้ยงประจำปี!”

คนอื่นๆต่างพยักหน้า ซางฮันอธิบายต่อว่า “ในความเป็นจริงแล้ว ที่พวกเธอเคยดูๆกันจากปีก่อนๆ สัตว์ร้ายที่สู้กับลูกรักของพระเจ้า แท้จริงแล้วทั้งหมดเป็นของปลอม ในหอคอยประตูมังกร อันที่จริงมีเทคโนโลยีฉายภาพจำลอง ดังนั้นสัตว์ร้ายในหอคอยเป็นเพียงโฮโลแกรมที่ใส่พลังงานเสมือนจริงลงไปเท่านั้น เอาล่ะ … สิ่งที่พวกเธอต้องฝึกจากนี้ก็คือ ทำตัวให้คุ้นเคยกับภาพโฮโลแกรมที่ว่ามาซะ เวลาอีกสามวันที่เหลือ น่าจะเพียงพอ!”

จากนั้น ซางฮันก็เปิดใช้งานอุปกรณ์ฉายภาพโฮโลแกรม บนเวทีใหญ่ขนาดร้อยเมตร สภาพแวดล้อมแปรเปลี่ยนเป็นในทุ่งล่าอย่างกะทันหัน มีกระทั่งต้นไม้ , ใบหญ้า , ก้อนหิน ฯลฯ รวมไปถึงสัตว์ร้ายที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน

ช่วงเวลาต่อมา หนึ่งในฝูงสัตว์ร้ายก็กระโจนเข้าหาพวกเขา เตรียมขย้ำสังหาร

เหล่าอัจฉริยะภาคเหนือตกใจ ปลดปล่อยทั้งอบิลิตี้และกระบวนท่าวรยุทธเข้าต้านทาน และผลลัพธ์กลับกลายเป็นรู้สึกเบาหวิว โจมตีตัดอากาศอย่างรุนแรงแทน

อย่างไรก็ตาม ร่างเงาที่สมควรจะหายไป ทั้งตัวของมันกลับเกิดไฟสีแดงกะพริบขึ้นแทน

“ติ๊ง! การปลดปล่อยพลังงานไม่เพียงพอ! ยังไม่เพียงพอที่จะขับไล่!”

วินาทีต่อมา ร่างเงาสัตว์ร้ายก็เคลื่อนไหวต่อทันที โฉบกายไม่ต่างจากของจริง ขย้ำลงบนคอของอัจฉริยะคนหนึ่ง

“อ๊าาาาาา!”

อัจฉริยะร้องเสียงหลง แต่พอเอามือสัมผัสลงบนคอ กลับไม่พบบาดแผลใดๆ

ทว่าเสียงๆหนึ่งได้ดังขึ้นแทน

“ติ๊ง! ผู้ทดสอบพ่ายแพ้ ถูกกำจัด!”

ซางฮันปิดภาพโฮโลแกรมและกล่าว “ตัวอย่างก็ประมาณนี้ เอาล่ะ เริ่มฝึกกันได้!”

เหล่าอัจฉริยะที่รู้สึกสดใหม่กับการฝึกนี้ ดังนั้นเริ่มฝึกฝนอย่างกะตือรือร้น

แม้แต่ฉินเฟิงเอง ก็ยังเริ่มทดลองมัน

สัตว์ร้ายกระโจนเข้าหาฉินเฟิง มีดกษัตริย์ครามในมือปาดออกอย่างรวดเร็ว เฉือนสวนเพียงครั้งเดียว สัตว์ร้ายก็หายไปกับกลุ่มควัน

มองดูฉินเฟิงลงมือ มันกลับง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ว่าจะทั้งความเร็วหรือพละกำลัง เขาทำได้อย่างยอดเยี่ยม

แต่สำหรับคนอื่นๆ ยังห่างไกลจากคำว่าเรียบง่ายนัก

เนื่องจากมันเป็นภาพเสมือนจริง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถควบคุมความแข็งแกร่งได้ ยามใช้ออกน้อยเกินไป ก็ไม่สามารถสังหารสัตว์ร้ายโฮโลแกรม , ใช้ออกมากไป ก็เสียพลังงานโดยเปล่าประโยชน์ หลังจากฝึกฝนได้เพียงหนึ่งชั่วโมง ทั้งหมดต่างรู้สึกว่าพลังสมาธิและกำลังภายในเหือดหายไปเร็วมาก

“ตอนนี้ขอให้พวกเธอทุ่มเทพลัง ต่อสู้กับความว่างเปล่าแบบนี้ไปก่อน เพราะในหอคอยประตูมังกรจะยากกว่านี้ หากต้องการจะผ่านด่านหอคอยประตูมังกร การควบคุมพลังเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นรีบฝึก แล้วเตรียมตัวให้พร้อม!”

ซางฮันกำชับ

ทุกคนเริ่มฝึกฝนอย่างหนัก

ส่วนฉินเฟิงทำตรงกันข้าม เขาไม่ได้ฝึกฝนอะไรอีก เลือกกล่าวลาซางฮัน และออกไปเดินท่องเมืองหลวงมังกร

หลังจากการต่อสู้กับกองทัพสัตว์ร้ายมาตลอดหนึ่งเดือน ร่างกายของฉินเฟิงฟุ้งไปด้วยกลิ่นอายสังหาร จำเป็นต้องการสภาพแวดล้อมที่ผ่อนคลายสักเล็กน้อย

ดังนั้น เขาเลยตัดสินใจพาไป๋หลีเดินเที่ยวในย่านคึกคักของเมืองหลวงมังกร เดินเล่น ช้อปปิ้งตามห้างร้านต่างๆ กินขนมอร่อยๆ พยายามทำอะไรให้ใจมันสงบ

แน่นอน ว่าการพักผ่อนนี้ จบลงแค่ในช่วงบ่ายเท่านั้น หลังจากนั้น ฉินเฟิงก็กลับไปยังโรงแรมและเริ่มฝึกฝน

แก่นสัตว์ร้ายนับไม่ถ้วนถูกดูดซับโดยฉินเฟิง แปรสภาพเป็นพลังงานให้แก่เขา

ยิ่งแข็งแกร่ง การเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางกายภาพของเขา ก็เริ่มยากขึ้นเรื่อยๆ โชคยังดี ที่การเสริมสร้างที่ว่า มันเหมือนจะไร้ขีดจำกัด ส่งผลให้ฉินเฟิง กลายเป็นสัตว์ประหลาดในคราบมนุษย์

สามวันผ่านพ้นไปราวกับพริบตา เงื่อนไขความแข็งแกร่งทางกายภาพของฉินเฟิง แทบจะถูกเติมเต็ม มันเกือบจะไปถึงเลเวล C3 อยู่รอมร่อแล้ว ขอเวลาอีกสักนิดก็จะสำเร็จ

อย่างไรก็ตาม วันนี้ งานประลองลูกรักของพระเจ้าดันเริ่มต้นขึ้นซะก่อน!

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Status: Ongoing
ยุคมืดได้มาเยือน รอยแยกมิติปรากฏขึ้นบนผืนโลก เหล่าสัตว์ร้ายเข้ามารุกราน สัตว์ป่าเองก็เริ่มกลายพันธุ์ ส่งผลให้ทุกสิ่งพลิกตลบ มนุษย์ที่เคยยืนอยู่บนจุดสูงสุดตลอดมา กลับกลายเป็นสิ่งมีชีวิตต่ำสุดในห่วงโซ่อาหาร …ร้อยปีต่อจากนั้น จึงได้ถือกำเนิดสามอาชีพหลักที่ใช้ต่อกรกับพวกที่กล่าวมาข้างต้นขึ้น อันได้แก่ ผู้ใช้อบิลิตี้ , ผู้ใช้วรยุทธ และมือปืนขึ้น‘ฉินเฟิง’ เด็กกำพร้าที่เกิดในช่วงยุคมืด ได้ถูกลักพาตัวไปในวันที่เขาสามารถปลุกอบิลิตี้ของตนเองให้ตื่นขึ้น ถูกจับไปทรมานทดลอง แต่สุดท้ายก็รอดหนีรอดมาได้ และใช้ชีวิตยาวนานกว่า 10 ปี และหลังจากนั้นเอง ในช่วงโลกาวินาศของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เขาก็ได้กลับไปเกิดใหม่อีกครั้ง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท