โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ – ตอนที่ 548 – ครั้งนี้คงร่วมมือกันได้นะ!

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Ep.548 – ครั้งนี้คงร่วมมือกันได้นะ!

ประโยคดังกล่าว ทำให้จิตใจของผู้ฟังรู้สึกไม่สบายใจ

แต่คนที่เป็นห่วงฉินเฟิงจริงๆ ไม่ใช่เหล่าเลเวล A ตรงกันข้าม กลับเป็นจิ่นเฟย , โจวฮ่าว และคนจากกลุ่มเฟิงหลี

เพราะท้ายที่สุดแล้ว เมื่อไปยังมิติอื่น จะไม่สามารถติดต่อกับฉินเฟิงได้ กลุ่มเฟิงหลีในปัจจุบันเปรียบดั่งต้นไม้ใหญ่ดึงดูดสายลม บังเกิดเสียงวิพากวิจารย์ จนเริ่มสั่นคลอนเล็กน้อยจากภายใน

ณ เมืองหลวงมังกร ภายในห้องฝึกฝน สีหน้าของโจวฮ่าวกลายเป็นเย็นชา แรงกดดันจากทั้งคนทั้งร่างระเบิดออกถึงขีดสุด นางพญามดทองบนไหล่เขากระพือปีก คล้ายพร้อมจู่โจมทุกขณะ

“จดชื่อพวกมันทั้งหมดเอาไว้ รอฉินเฟิงกลับมาเมื่อไหร่ ก็เสนอให้ไล่พวกมันออกให้หมด!” โจวฮ่าวโกรธมากอย่างเห็นได้ชัด

ฝั่งตรงข้ามเขา คือซูซิงฝู

ซูซิงฝูกล่าวว่า “จริงอยู่ว่าทุกครั้งที่ท่านประธานจากไป มักกลับมาด้วยผลลัพธ์ดีๆเสมอ แต่คราวนี้เขาไปยังเมืองหลวงมังกร เข้าไปในเขตแดนลับ ซึ่งมันอันตรายแค่ไหน ไม่มีใครรู้!”

“ซูซิงฝู ไม่อยากจะเชื่อเลย เพิ่งผ่านมาแค่ไม่กี่วันเท่านั้นเอง คุณก็พ่นเรื่องไร้สาระแบบนี้ออกมาแล้ว!” โจวฮ่าวตวาดลั่น

ซูซิงฝูเร่งส่ายมือและกล่าว “ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น ก็แค่รู้สึกกังวลนิดหน่อย เพราะสุดท้าย สิ่งที่ฉันแบกรับก็ใหญ่เกินตัวเหมือนกัน ถ้าท่านประธานสบายดีมันก็ไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าไม่มีเขา ฉันคงรับไม่ไหว คงได้แต่โทษตัวเอง ที่ยังแข็งแกร่งไม่พอ เธอเองก็คงไม่ต่างกัน!”

ความแข็งแกร่งของซูซิงฝูในตอนนี้ ถูกส่งเสริมไปด้วยทรัพยากรมากมาย ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีรากฐานที่มั่นคง แต่ก็สามารถมาถึงเลเวล D ได้อย่างรวดเร็ว

ในขณะที่โจวฮ่าวพยายามปีนป่ายขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง จนรากฐานมั่นคง ดังนั้นศักยภาพในอนาคตไร้ขีดจำกัด แต่ตอนนี้มันยังไม่มากพอจริงๆ

“ผมไม่อยากให้คุณพูดอะไรแบบนี้อีก ฉินเฟิงยังมีไป๋หลีอยู่ข้างกายเขา ดังนั้นไม่น่าจะมีอะไรผิดพลาด กลุ่มเฟิงหลีตอนนี้มีขนาดใหญ่แล้วมันยังไง พวกเราก็ถือโอกาสปรับปรุงพนักงาน ไล่ไอ้พวกคิดคดทรยศออกซะเลย! ”

แม้คำว่า ‘ไล่พวกคิดคดทรยศออก’ มีแนวโน้มเป็นไปได้สูงว่าอาจเกิดพายุภายในกลุ่ม จนตามมาซึ่งเหตุนองเลือดขึ้น แต่โจวฮ่าวไม่สามารถจัดการ ควบคุมดูแลพนักงานทั้งหมดในตอนนี้ได้!

เลยต้องเหลือแค่คนที่จำเป็น เพราะใครจะรู้ ไอ้พวกคิดร้าย มันอาจทำอะไรไม่สมควรก็ได้

“เฮ้อ ก็ได้ๆ ฉันเข้าใจแล้ว” ซูซิงฝูพยักหน้า

ทั้งสองวางสายสื่อสาร ซูซิงฝูกลับไปจัดการปัญหาของกลุ่ม ส่วนโจวฮ่าวทุ่มเทเวลาทั้งหมดยกระดับตัวเอง

ความแข็งแกร่งของเขายังน้อยเกินไป ไม่อาจไล่ตามฝีเท้าฉินเฟิงได้ทัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เขาจะไม่สามารถปกป้องรากฐานของกลุ่มเฟิงหลี

ดังนั้น ต้องพยายามอย่างหนัก เพื่อกลายเป็นคนมีประโยชน์ให้จงได้

มิฉะนั้น ตัวเขาจะไปแตกต่างอะไรกับคำจำกัดความว่าขยะ?

ขณะเดียวกัน ในดินแดนล่มสลายของของเผ่าวิญญาณ ฉินเฟิงค่อยๆใกล้เข้าไปยังใจกลางซากเมืองปรักหักพังมากขึ้นเรื่อยๆ

เห็นได้ชัดว่านี่คือศูนย์กลางของสนามรบ ระหว่างก้าวเดินยังสามารถเก็บกู้อาวุธปืนชั้นสูงได้ แต่แรงกดดันจากเผ่าพันธุ์อื่นก็มากขึ้นเช่นกัน

ในตอนนี้ ผู้ใช้พลังที่อยู่รอบๆมีความแข็งแกร่งโดยเฉลี่ยระดับ C3 และในแต่ละกลุ่ม ล้วนมีสมาชิกระดับราชันย์!

กระทั่งในบางเผ่าพันธุ์ที่ทรงพลัง ยังมีสมาชิกเป็นถึงระดับจักรพรรดิ!

หากไม่ใช่เพราะฉินเฟิงครอบครองกำลังภายในแข็งแกร่งกว่าคนอื่นนับสิบเท่า หรือมีตันเถียนใหญ่กว่าสิบเท่าจนสามารถระเบิดความแข็งแกร่งในเลเวล B ได้ การเดินทางมายังที่นี่ คงมิแคล้วพบเผชิญกับหายนะ

“ไป๋หลี พอจะตรวจสอบสถานการณ์รอบๆได้บ้างรึเปล่า?” ฉินเฟิงเอ่ยปากถาม

“อืม มีอย่างน้อย 123 ชีวิตอยู่ที่นี่ ส่วนใหญ่แล้วเลือกที่จะซุ่มซ่อน แถมระดับของพวกวิญญาณต่างมิติแถบนี้ยังสูงมาก ”

สองคิ้วของฉินเฟิงขมวดเข้าหากัน

ที่มีมีคนอยู่เยอะเกินไป!

แต่ก็ถือเป็นเรื่องปกติ เพราะที่นี่ ทุกสิ่งที่ปรากฏ ล้วนควรค่าแก่การนำไปศึกษาเพิ่มเติมในเชิงลึก เป็นดั่งสมบัติล้ำค่า

โชคยังดี ที่ฉินเฟิงไม่อ่อนแอ ไม่ต้องกล่าวถึงไป๋หลี

ไป๋หลีเก็บแก่นสัตว์ร้ายไว้ในมิติของตัวเอง เธอสามารถดูดซับมันได้ตลอดเวลา เทียบกับฉินเฟิงแล้ว หากเขาไม่สังหารสัตว์ร้ายเพื่อดูดซับพลังงานจากมัน การยกระดับคงเป็นไปอย่างเชื่องช้า ขณะที่ไป๋หลี สามารถยกระดับได้เร็วจนเห็นได้ชัด

ในวันนี้ เธอก้าวไปถึงระดับจักรพรรดิในเลเวล C6 แล้ว เมื่อเทียบกับเผ่าต่างมิติในที่นี้ แข็งแกร่งกว่ามาก

“เมื่อการต่อสู้เริ่มต้นขึ้น จะไม่ใช่แค่ 123 คน แต่กลัวว่าจะมีคนมาเยอะกว่านี้ เพราะสุดท้าย ที่นี่เป็นจุดที่มีเกราะศักดิ์สิทธิ์ชั้นรองอยู่” ฉินเฟิงกล่าว มองทอดยาวออกไปในระยะไกล เขาพบถุงมือสีเงินขาวลอยล่องกลางอากาศ

เห็นได้ชัดว่าเจ้าสิ่งนั้น ทรงพลังเป็นอย่างมาก

ตลอดทั้งหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา เขาได้ศึกษาจนสามารถเข้าใจถึงสถานที่แห่งนี้จนถ่องแท้ สิ่งที่เรียกว่าเกราะศักดิ์สิทธิ์มีจำนวนน้อยมาก ว่ากันว่าในช่วงที่ยังมีเผ่าวิญญาณ มีเกราะศักดิ์สิทธิ์ชั้นรองอยู่เพียง 12 ชิ้น ส่วนเกราะศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูง มีเพียงชิ้นเดียว

แม้นี่จะเป็นเพียงถุงมือหนึ่งข้างของชุดเกราะศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็มากพอที่จะดึงดูดความสนใจของลูกรักของพระเจ้านับไม่ถ้วน

แต่ฉินเฟิงก็รู้เช่นกัน ว่าเมื่อคืนนี้มีวิญญาณต่างมิติที่ทรงพลัง ครอบครองความสูงกว่า 30 เมตร กวาดโจมตีเข้าใส่ตัวตึกรอบๆ ลูกรักของพระเจ้าที่ไม่สามารถหลบได้ทัน ต่างถูกดูดพลังงานวิญญาณออกไปจนสิ้น กลายเป็นอาหารเสริมให้จิตวิญญาณของมันให้แข็งแกร่งขึ้น

ปัจจุบัน ทุกคนจึงทำได้เพียงเฝ้าสังเกตในที่แห่งนี้ หัวใจเต้นแรง แต่ยังมิกล้าลงมือ

ดั่งวลีตั๊กแตนจับจั๊กจั่น นกขมิ้นอยู่ข้างหลัง –ไม่มีใครอยากเป็นตั๊กแตน พวกเขาต่างต้องการเป็นนกขมิ้น เหตุการณ์ทำให้ทุกคนไม่มีใครคิดลงมือ!

ในตอนนั้นเอง ร่างๆหนึ่งได้ก้าวเดินออกมา

ปรากฏว่าเป็นเผ่าสวรรค์อีกครั้ง — ไป่หยู!

ที่ตามหลังเธอมาเป็นสตรีเผ่าสวรรค์สี่คน ความแข็งแกร่งมิได้อ่อนแอ แต่ถ้าจะให้พูดตรงๆ เทียบกับลูกรักของพระเจ้าจากเผ่าพันธุ์อื่นๆที่ก้าวตามมามากกว่า 20 คนแล้ว ยังสู่ไม่ได้

และในบรรดานั้น มีกระทั่งลูกรักของพระเจ้าจากเผ่าหินเหล็ก ในเลเวล C5 !

เผ่าหินเหล็ก มีความสูงกว่า 5 เมตร ร่างกายถูกเสริมแกร่งด้วยกระดูกเหล็ก และยามเมื่อคิดป้องกันตนเองจากสิ่งใด พวกมันสามารถกลายเป็นหินได้ทันที แม้ตัวจะโตจนเป็นจุดเด่น แต่ก็ไม่มีใครกล้าเผชิญหน้า จึงอยู่รอดมาได้นานถึงจุดนี้

ส่วนเรื่องความแข็งแกร่ง ค่อนข้างน่าหวาดหวั่นเล็กน้อย

เห็นได้ชัดว่าไป่หยูรู้ว่ามีผู้คนมากมายซุ่มซ่อนตัวอยู่ พลังสมาธิของเธอกวาดกระจายออกไป

“ถ้าทุกคนยังเอาแต่นิ่งอยู่แบบนี้มันจะเสียเวลาเปล่า ฉะนั้นสนใจมาร่วมเป็นพันธมิตรกันไหม? ช่วยกันสังหารวิญญาณต่างมิติตัวนี้เป็นอันดับแรก จากนั้นพอโค่นมันจนได้รับเกราะศักดิ์สิทธิ์มา พวกเราค่อนแบ่งปันกันจากผลงานที่ทำได้!”

แบ่งกันตามผลงานที่ทำได้?

ทุกคนต่างมองไปยังเผ่าหินเหล็กในเลเวล C5 ก่อนนึกในใจว่า นั่นยังไม่ชัดเจนพออีกหรือ?

ถึงเวลานั้น ต่อให้โค่นวิญญาณต่างมิติลงได้จริงๆ แต่ก็ไม่มีใครสามารถขโมยมันไปจากเขา

เมื่อเห็นว่าเผ่าพันธุ์อื่นๆยังไม่ขยับตัว ไป่หยูก็ยังไม่ยอมแพ้ เธอกล่าวต่อ “งั้นเอาแบบนี้ หลังจากที่พวกเรารวมตัวกัน แม้จะมาจากต่างถิ่น แต่ก็จะเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว ใช้การโหวตเป็นเอกฉันท์ ใครที่ไม่ได้มีส่วนร่วม ก็ไม่มีคุณสมบัติครอบครองเกราะศักดิ์สิทธิ์ชั้นรอง ฉันเชื่อว่าทุกคน คงไม่ต้องการให้คนที่ไม่พยายามฉกชิงมันไป!”

“ถ้าทุกคนไม่ตัดสินใจ งั้นก็เชิญเสียเวลาที่นี่ต่อไปเถอะ! แต่ถ้าเราทำตามขั้นตอนนี้ ทุกคนก็จะเป็นพันธมิตรกัน ถึงเวลานั้น การร่วมมือชิงเกราะศักดิ์สิทธิ์ชิ้นต่อไปก็ไม่ใช่ปัญหา!”

แม้ปากจะพูดแบบนั้น แต่สุดท้ายแล้ว ใครจะเป็นเจ้าของเกราะศักดิ์สิทธิ์ล่ะ? ไม่ใช่ว่าขึ้นอยู่กับจำนวนคนโหวตหรอกหรอ?

แต่ในตอนนั้นเอง ก็เริ่มมีกลุ่มคนก้าวออกมา รวมๆแล้วมากกว่า 20 คน

จากนั้น สมาชิกจากต่างเผ่าพันธุ์ก็เริ่มรวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ

ฉินเฟิงเผยรอยยิ้มจาง เปิดปาก “พวกเราก็ไปร่วมสนุกกันบ้างสิ”

“เห็นด้วย!”

ไป๋หลีไม่ปฏิเสธ ในหัวใจขบคิดว่า ถ้าในเรื่องปล้นชิงแล้วล่ะก็ เธอไม่เคยเป็นสองรองใคร!

เธอน่ะ … สุดยอดปรมาจารย์มืออาชีพในสายนี้!

ฉินเฟิงสลายอบิลิตี้มืด เดินออกไปพร้อมไป๋หลี ร่างกายของทั้งสองแม้ดูผอมแห้ง แต่ไม่มีใครกล้าประเมินฉินเฟิงต่ำไป

ช่วงเวลานี้ ไป่หยูก็สังเกตเห็นฉินเฟิงเช่นกัน เธออุตส่าห์เข้าหา แต่กลับถูกเขาปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย เป็นธรรมดาที่จะรู้สึกไม่พอใจฉินเฟิง

‘ไม่ได้บอกว่าไม่อยากร่วมมือกับคนอ่อนแอหรอกหรอ? แล้วทำไมตอนนี้ถึงเสนอหน้าออกมาเล่า!’

แต่แน่นอน ว่าไป่หยูรู้ดี ว่าที่ฉินเฟิงออกมา มันไม่ใช่เพราะตัวเธอ!

ยิ่งความคิดนี้ปรากฏขึ้นมา ความไม่พอใจในตัวฉินเฟิงก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม!

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Status: Ongoing
ยุคมืดได้มาเยือน รอยแยกมิติปรากฏขึ้นบนผืนโลก เหล่าสัตว์ร้ายเข้ามารุกราน สัตว์ป่าเองก็เริ่มกลายพันธุ์ ส่งผลให้ทุกสิ่งพลิกตลบ มนุษย์ที่เคยยืนอยู่บนจุดสูงสุดตลอดมา กลับกลายเป็นสิ่งมีชีวิตต่ำสุดในห่วงโซ่อาหาร …ร้อยปีต่อจากนั้น จึงได้ถือกำเนิดสามอาชีพหลักที่ใช้ต่อกรกับพวกที่กล่าวมาข้างต้นขึ้น อันได้แก่ ผู้ใช้อบิลิตี้ , ผู้ใช้วรยุทธ และมือปืนขึ้น‘ฉินเฟิง’ เด็กกำพร้าที่เกิดในช่วงยุคมืด ได้ถูกลักพาตัวไปในวันที่เขาสามารถปลุกอบิลิตี้ของตนเองให้ตื่นขึ้น ถูกจับไปทรมานทดลอง แต่สุดท้ายก็รอดหนีรอดมาได้ และใช้ชีวิตยาวนานกว่า 10 ปี และหลังจากนั้นเอง ในช่วงโลกาวินาศของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เขาก็ได้กลับไปเกิดใหม่อีกครั้ง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท