โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ – ตอนที่ 559 – กลับเมืองหลวงมังกร

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Ep.559 – กลับเมืองหลวงมังกร

ฉินเฟิงเสียเวลาคิดเพียงสองวินาที ก็เอ่ยปากออกมา “เปลี่ยนร่างเถอะ พวกเราจะกลับ”

มิติล่มสลายของเผ่าวิญญาณ จะยังคงอยู่แม้สูญเสียเกราะศักดิ์สิทธิ์ แต่มันจะเปิดขึ้นอีกครั้งรึเปล่าก็ไม่ทราบ แต่เกรงว่ามันยังคงอยู่ต่อไปอีกหลายหมื่นปี!

อีกอย่าง หากฉินเฟิงกลับมิติของตนเอง แน่นอนย่อมต้องบอกข้อมูลบางอย่างออกไป และถ้าเขาเอ่ยถึงเรื่องขีดกำจัด 15 วัน แต่ตัวเองดันอยู่ในมิติแห่งนี้นานกว่านั้น มันจะไม่มีพิรุธหรอ?

ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ฉินเฟิงก็รู้สึกเช่นกัน ว่ามีบางอย่างไม่ปกติ พลังงานแปลกๆของที่นี่ เริ่มทำให้ฉินเฟิงรู้สึกว่าร่างกายของเขา กำลังเสี่ยงต่อการกัดกร่อน

“ไม่ว่าคนๆหนึ่งจะทรงพลังเพียงใด แต่กลัวว่าคงไม่แกร่งไปกว่ากฏเกณฑ์ของมิติ อย่าต่อต้านมันเลยถ้าไม่จำเป็น การทำตามเงื่อนไขจะเป็นทางเลือกที่ฉลาดกว่า”

สีหน้าของฉินเฟิงสงบและมั่นคง ทั้งยังเผยให้เห็นถึงร่องรอยบางอย่างที่ต่างออกไปจากเดิม

หลังข้ามผ่านประสบการณ์ต่อสู้ในครั้งนี้ กระทั่งตัวฉินเฟิงเอง ยังเกิดการเปลี่ยนแปลง!

นี่ไม่ใช่แค่ในเรื่องของความแข็งแกร่งเท่านั้น แต่มันยังรวมไปถึงสภาพจิตใจของเขาด้วย!

ฉินเฟิงถอดชุดเกราะศักดิ์สิทธิ์ กลับมาสวมชุดต่อสู้ธรรมดา ส่วนไป๋หลีคืนร่างเป็นสัตว์ร้ายตัวเล็ก กระโจนเข้ามาในอ้อมอกเอา

ฉินเฟิงเปิดใช้งานตัวเชื่อมมิติทันที

ตั้งแต่งานเปิดหอคอยประตูมังกร นี่ก็ผ่านพ้นมากว่า 15 วันแล้ว

และภายใน 15 วันนี้ จากจุดเริ่มต้นที่เต็มไปด้วยความหวัง ต่อมากลายเป็นความสงสัย สุดท้ายทอดถอนหายใจด้วยความเสียดาย ดูเหมือนว่าบางคน จะคิดว่าลูกรักของพระเจ้าผู้มากพรสวรรค์จากภูมิภาคเหนือ ได้ถูกฝังอยู่ในต่างโลกไปเสียแล้ว

แน่นอน แม้จะมีบางคนคิดว่าฉินเฟิงยังคงมีชีวิตอยู่ แต่ก็ไม่อยากรออีกต่อไป

กระทั่งซางฮันเอง อันที่จริงเมื่อถึงวันที่ 6 เธอถูกเรียกตัวกลับอย่างเร่งด่วน ให้ไปปราบปรามกองทัพสัตว์ร้ายจากในรอยแยกมิติทางภาคเหนือ ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน

ซางฮันเลยต้องจากไป และสิ่งนี้นำไปสู่เหตุการณ์ที่ตัวตนทรงอำนาจคนอื่นๆที่ยังคงคาดหวังกับฉินเฟิง จากไปด้วยเช่นกัน

หอคอยประตูมังกรกลับคืนสู่ความสงบ ในขณะที่กลุ่มเฟิงหลี มั่นคงดุจขุนเขา

เพราะท้ายที่สุดแล้ว ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ฉินเฟิงคอยเติมอุปกรณ์รูนมิติจำนวนมากลงในสุสานเทพสงคราม เพื่อพิสูจน์ว่าเขาไม่เป็นอะไร

ขณะนี้ บนยอดสุดของหอคอยประตูมังกร ผู้พิทักษ์หอคอยเลเวล A กำลังนั่งสมาธิ ฝึกฝนกำลังภายใน

ความแข็งแกร่งของเขาได้มาถึงคอขวดแล้ว ดังนั้นทำได้เพียงฝึกฝนกำลังภายในไปทีละขั้น ทีละตอน ขัดเกลาลมปราณ ให้ก้าวหน้าต่อไป

อีกอย่าง ภายในหอคอยประตูมังกร ยังอุดมไปด้วยพลังงานบริสุทธิ์จากฟ้าดิน ดังนั้นจึงเหมาะสมอย่างยิ่ง

แน่นอน ในกรณีที่ปรากฏอัจฉริยะศักยภาพสูงขึ้น มันยังสะดวกสำหรับเขา ที่จะส่งข้อมูลให้แก่เมืองหลวงมังกร

ทันใดนั้นเอง ห่างออกไปสิบเมตรเบื้องหน้า รูนมิติเกิดการแปรปรวน ต่อมา ช่องว่างมิติก็ปรากฏขึ้น

ผู้พิทักษ์หอคอยผงะตกใจ ลืมตามองด้วยความงงงวย แต่สักพักหนึ่ง คล้ายนึกอะไรบางอย่างออก ความประหลาดใจผุดขึ้นบนใบหน้าเขา

และเป็นอย่างที่คิดจริงๆ ในช่องว่างมิติ ปรากฏชายหนุ่มที่ดูหนักแน่นและเด็ดเดี่ยวคนหนึ่งก้าวออกมา!

อันที่จริงสมควรจะเรียกว่าเด็กหนุ่ม เพราะท้ายที่สุดแล้ว คนๆนี้เพิ่งอายุเพียง 17 ปี

มิใช่ใครอื่น เป็นฉินเฟิง!

“เจ้าหนู เธอ เธอกลับมาแล้ว! ประเสริฐ ประเสริฐมาก ประเสริฐจริงๆ!”

ผู้พิทักษ์หอคอยพูดประเสริฐๆอยู่หลายคำในลมหายใจเดียว เห็นได้ชัดว่าการปรากฏตัวของฉินเฟิง ทำให้เขามีความสุขมาก

แต่หลังจากนั้น สีหน้าของเขาก็เริ่มสั่นไหว เผยถึงความรู้สึกตกใจ เพราะเขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงความแข็งแกร่งของฉินเฟิงที่เปลี่ยนแปลงไป

ปัจจุบันเป็นถึงเลเวล C4!

ตอนแรกที่ฉินเฟิงเข้าสู่หอคอยประตูมังกร เขายังมีความแข็งแกร่งอยู่ในเลเวล C2 อยู่เลย และตอนขึ้นไปด้านบนสุด สามารถดูดซับพลังงานจนเข้าถึง C3 แต่ตอนนี้ ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะได้รับโชคอีกครั้ง สามารถก้าวขึ้นสู่เลเวล C4 แล้ว

พัฒนาการนี้มันรวดเร็วเกินไป ในเวลาเพียงครึ่งเดือน เด็กคนนี้ สามารถยกระดับได้ถึงสองขั้น

หากยังคงอัตราเร็วนี้ต่อไปเรื่อยๆ ตราบใดที่อีกฝ่ายไม่ถูกสังหาร และเติบโตขึ้น อนาคตจะต้องไม่ด้อยไปกว่าการดำรงอยู่เช่นเขา

ณ ตอนนี้ผู้พิทักษ์หอคอยเกิดความรู้สึกอิจฉาฉินเฟิง แต่ยิ่งกว่าความอิจฉา คือความรู้สึกเคารพอย่างเท่าเทียมในฐานะผู้แข็งแกร่งในอนาคต

ผู้พิทักษ์หอคอยไม่มองว่าฉินเฟิงเป็นแค่ชนรุ่นหลังอีกต่อไป!

“ผมแค่โชคดีที่ไม่ทำภารกิจล้มเหลว” ฉินเฟิงกล่าว

“ไม่ใช่แค่โชคดี แต่เธอได้กลายเป็นคนแรกนับตั้งแต่เมืองหลวงมังกรถูกสร้างขึ้น กลายเป็นมนุษย์ที่รอดชีวิตได้ยาวนานที่สุดในต่างมิติ! พอจะบอกฉันได้ไหม ว่าเธอเก็บเกี่ยวอะไรมาได้บ้าง ฉันขอเป็นตัวแทนตระกูลรับซื้อมันเอง และคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเธอจะให้ความร่วมมือ!”

ใครมาก่อนก็ได้ก่อน ผู้พิทักษ์หอคอยเริ่มเปิดประเด็นกับฉินเฟิงทันที

แม้ฉินเฟิงจะไม่เคยเข้าร่วมงานประลองลูกรักของพระเจ้าในชีวิตก่อน แต่ในฐานะที่ซางฮันเป็นคนนำเขามา เรื่องแบบนี้ เขาย่อมมีคำตอบอยู่ในใจ

“ผมกลัวว่า ตอนนี้คงต้องถามจ้าวพรมแดนซางก่อน”

“อา! จริงๆด้วย นั่นคือสิ่งที่ควรจะเป็น มันคือสิ่งที่ควรจะเป็น!”

“แน่นอน ผมสามารถรายงานข้อมูลที่ผมรู้ ส่งไปยังกลุ่มพันธมิตรมนุษย์ได้”

“นั่นก็ดีเหมือนกัน ทางพันธมิตรมนุษย์จะให้รางวัลตอบแทนผลงานของเธอ และไม่ต้องกังวลไป เธอจะไม่เสียเปรียบแน่นอน”

รายงานต่อพันธมิตรมนุษย์ ก็เท่ากับรายงานต่อเมืองหลวงมังกร พูดกันตรงแล้วๆ ก็ยังถือว่าเป็นตระกูลทรงอำนาจในเมืองหลวงมังกรที่ได้รับประโยชน์!

แต่เมื่อเทียบกับทรัพยากรที่อยู่ในมือฉินเฟิงแล้ว มันน้อยกว่ามาก

อย่างไรก็ตาม แม้ผู้พิทักษ์หอคอยจะทราบดีถึงเรื่องนี้ แต่เขาก็ไม่สามารถบังคับให้ฉินเฟิงขายของที่อยู่ในมือได้

จากนั้น ผู้พิทักษ์หอคอยก็ส่งฉินเฟิงออกจากหอคอยประตูมังกร และพริบตาที่ออกมา ฉินเฟิงก็ถูกตรวจสอบทันที

ฉินเฟิงย่อมรับรู้ได้ถึงพวกมันทั้งหมด แต่เขาไม่ใส่ใจ เดินกลับไปยังโรงแรมที่ซางฮันเคยจองเอาไว้ให้

เขาต้องการจะพักผ่อน แต่เสียงจากอุปกรณ์สื่อสารก็ดังขัดจังหวะ!

เป็นซางฮัน!

“ฉินเฟิง คุณกลับมาแล้ว ฉันดีใจจริงๆที่คุณไม่เป็นอะไร!” น้ำเสียงของซางฮันฟังดูตื่นเต้น ฉินเฟิงอยู่ในมิตินั้นมานานเกินไป ทำให้เธอวิตกกังวลมาก

“ความแข็งแกร่งของผม มันไม่พอให้ท่านจ้าวพรมแดนวางใจเลยหรือ?”

ซางฮันยิ้ม “ฉันมันคิดตื้นไปจริงๆ ฉันควรจะเชื่อใจคุณให้มากกว่านี้ ในขณะที่ลูกรักของพระเจ้าคนอื่นๆ ไม่ถึง 2 – 3 วันก็ออกมากันหมดแล้ว มันเลยอดสงสัยไม่ได้”

“แล้วนั่นมันเป็นความผิดของผมรึไง?” ฉินเฟิงผายมือราวกับเป็นผู้บริสุทธิ์

ซางฮันเห็นได้ชัดว่ากำลังมีความสุข แต่ในตอนนี้ เธอก็ยังย้ำเตือนเขาอย่างจริงจัง “ฉินเฟิง เป็นเพราะคุณแข็งแกร่งเกินไปนี่ล่ะ ฉันกลัวว่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้นกับคุณ เพราะบุคคลที่แข็งแกร่ง ศัตรูที่ต้องเผชิญก็จะแข็งแกร่งตามไปด้วย ไม่มีใครรับประกันได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต”

“ตัวคุณในตอนนี้ ได้กลายเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งแล้ว ต้นไม้ใหญ่ย่อมตกเป็นเป้าของกระแสลม นกที่โผบินจากฝูงเป็นตนแรกมักตกเป็นเป้ายิง เรื่องนี้คุณน่าจะทราบดี ถ้าเป็นไปได้ ฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคุณจะปกปิดความสามารถของตน บดบังประกายที่มีไม่ให้มันสว่างเกินไป เอาไว้รออีกสักสองสามปี แล้วค่อยเผยโฉมออกมา ทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า!”

ฉินเฟิงมิได้ปฏิเสธความคิดเห็นนี้ เขาเข้าใจดีถึงความหมายของซางฮัน

ซางฮันต้องการให้ฉินเฟิงมายืนอยู่ในจุดเดียวกันกับเธอในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ช่วงเวลานี้ปิดด่านฝึกตน ปรับปรุงความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง เฝ้ารอจนเข้าก้าวขึ้นสู่เลเวล A หรืออย่างน้อยเลเวล B จากนั้นก็ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้แล้ว

แต่ช่างน่าเสียดาย ที่วิธีการฝึกฝนของฉินเฟิง นำไปสู่ความจริงที่ว่า การฝึกฝนอยู่เฉยๆ มันทำไม่ได้

ดังนั้นไม่สามารถหดหัวอยู่ในกระดอง ขณะเดียวกัน ตัวเขาในตอนนี้ ไอ้เรื่องหวาดกลัวว่าจะตกเป็นเป้าหมายของคนอื่น มันเป็นเพียงเรื่องไร้สาระ!!

ซางฮันไม่รู้ว่าฉินเฟิงได้รับผลประโยชน์มากมายเพียงใดในครั้งนี้ เธอยังไม่รู้ว่าเขามีความแข็งแกร่งขนาดไหน

สำหรับฉินเฟิงแล้ว ระยะทางก้าวขึ้นสู่เลเวล B –มันอีกแค่ไม่ไกล!

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ

Status: Ongoing
ยุคมืดได้มาเยือน รอยแยกมิติปรากฏขึ้นบนผืนโลก เหล่าสัตว์ร้ายเข้ามารุกราน สัตว์ป่าเองก็เริ่มกลายพันธุ์ ส่งผลให้ทุกสิ่งพลิกตลบ มนุษย์ที่เคยยืนอยู่บนจุดสูงสุดตลอดมา กลับกลายเป็นสิ่งมีชีวิตต่ำสุดในห่วงโซ่อาหาร …ร้อยปีต่อจากนั้น จึงได้ถือกำเนิดสามอาชีพหลักที่ใช้ต่อกรกับพวกที่กล่าวมาข้างต้นขึ้น อันได้แก่ ผู้ใช้อบิลิตี้ , ผู้ใช้วรยุทธ และมือปืนขึ้น‘ฉินเฟิง’ เด็กกำพร้าที่เกิดในช่วงยุคมืด ได้ถูกลักพาตัวไปในวันที่เขาสามารถปลุกอบิลิตี้ของตนเองให้ตื่นขึ้น ถูกจับไปทรมานทดลอง แต่สุดท้ายก็รอดหนีรอดมาได้ และใช้ชีวิตยาวนานกว่า 10 ปี และหลังจากนั้นเอง ในช่วงโลกาวินาศของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เขาก็ได้กลับไปเกิดใหม่อีกครั้ง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท